ข้ามไปเนื้อหา

หม่อมซ่มจีน ราชานุประพันธ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หม่อม[a]

ซ่มจีน ราชานุประพันธ์
เกิดราว พ.ศ. 2400–2405
เสียชีวิตราวเมษายน พ.ศ. 2454
จังหวัดพระนคร อาณาจักรสยาม
สัญชาติสยาม
ชื่ออื่นส้มจีน
อาชีพนักร้อง, แม่ครัว
คู่สมรสพระยาราชานุประพันธ์ (สุดใจ บุนนาค)
อาชีพทางดนตรี
แนวเพลงไทยเดิม
เครื่องดนตรีเสียงร้อง

หม่อมซ่มจีน ราชานุประพันธ์ หรือบางแห่งสะกดว่า ส้มจีน (เสียชีวิต เมษายน พ.ศ. 2454) เป็นภรรยานางหนึ่งของพระยาราชานุประพันธ์ (สุดใจ บุนนาค) เธอเป็นนักร้องหญิงผู้ขับเพลงได้ไพเราะ เสียงสูง มีลีลาการเอื้อนละเอียดชัดเจนหมดจด แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรด ทั้งยังทรงเขียนชมเชยน้ำเสียงของเธอ[2] หม่อมซ่มจีนเป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องหญิงสยามคนแรกที่ได้รับคัดเลือกให้ร้องเพลงบันทึกลงแผ่นเสียง ช่วงก่อน พ.ศ. 2449[3] นอกจากนี้เป็นที่รู้จักในฐานะหญิงผู้มีฝีมือในการประกอบอาหาร เพราะเป็นผู้เรียบเรียงตำราอาหารเล่มแรกของไทย คือ ตำรากับเข้า ตีพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ. 2433[4]

หม่อมซ่มจีนถือเป็นนักร้องที่โด่งดังยิ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[3][5] และเป็นครูเพลงผู้ทรงอิทธิพลมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้แต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร แนวทางการขับร้องอย่างหม่อมซ่มจีนยังตกทอดไปยังนักร้องรุ่นหลังคือ ท้วม ประสิทธิกุล และอุสา สุคันธมาลัย ที่มีลีลาการร้องแบบเดียวกับหม่อมซ่มจีน[3]

ประวัติ

[แก้]

ชีวิตตอนต้นและการสมรส

[แก้]
ภาพถ่ายของพระยาราชานุประพันธ์ (สุดใจ บุนนาค) ราว พ.ศ. 2407–2408 สามีของเธอขณะยังเป็นหนุ่ม ถ่ายโดยจอห์น ทอมสัน ช่างภาพชาวสกอต

ประวัติช่วงต้นของหม่อมซ่มจีนไม่เป็นที่กล่าวถึงนัก ไม่มีข้อมูลของบิดามารดาผู้ให้กำเนิด จากการสอบถามของพูนพิศ อมาตยกุล คาดว่าหม่อมซ่มจีนน่าจะเกิดช่วง พ.ศ. 2400–2405 ตรงกับปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่เรือนของพระยาราชานุประพันธ์ (สุดใจ บุนนาค) ที่คลองซอยในคลองบางไส้ไก่ซึ่งขึ้นกับตำบลคลองบางหลวงตั้งแต่ยังเยาว์[2] แต่เพราะมีเสียงดี จึงมีโอกาสได้ร้องเพลงตามเรือนของขุนนางสกุลบุนนาค จนมีชื่อเสียงในเชิงขับร้องเป็นอันมาก[5] ภายหลังจึงมีผู้เชื้อเชิญหม่อมซ่มจีนไปเป็นครูสอนขับร้อง หรือขับเพลงตามวังต่าง ๆ[2][3] หม่อมซ่มจีนมีสหายคนสนิทคือ หม่อมสุด บุนนาค กับหม่อมเพื่อน บุนนาค เป็นอนุภรรยาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ทั้งคู่[6]

หม่อมซ่มจีนเข้าเป็นภรรยานางหนึ่งของพระยาราชานุประพันธ์ (สุดใจ บุนนาค) บุตรชายของเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) ที่เกิดกับคุณหญิงสุ่น อดีตภรรยาเอก[7][8] พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวส่งเขาเข้าเรียนจนสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ[9] พระยาราชานุประพันธ์กับหม่อมซ่มจีนไม่มีบุตรด้วยกัน แต่ชีวิตสมรสของเธอไม่สู้ดีนัก เพราะสามีมีภรรยาหลายคน ซ้ำยังเป็นผีพนันทำให้สถานะทางการเงินของครอบครัวย่ำแย่ลง สุดท้ายพระยาราชานุประพันธ์ได้ต้องพระราชอาญาและถูกถอดยศ หม่อมซ่มจีนจำต้องออกหาเงินเลี้ยงครอบครัว ซึ่งเธอยังรักและเคารพในตัวสามีอยู่มาก เธอเรียกสามีของตัวว่า "ท่านผู้นั้น" ไม่เรียก "เจ้าคุณ" เพราะถูกถอดยศไปแล้ว[2]

เสียชีวิต

[แก้]

เมื่อคราวพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. 2454 หม่อมซ่มจีนได้ถวายตัวเข้าไปช่วยงานให้แก่พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา (เรียกโดยย่อว่า พระอัครชายา ตามตำแหน่งในขณะนั้น) ภายในพระบรมมหาราชวังด้านงานครัวและการร้อยดอกไม้ โดยทำติดต่อกันเป็นประจำทุกวันและพักอาศัยอยู่ในเขตพระตำหนักของกรมพระสุทธาสินีนาฏ กระทั่งเดือนเมษายน พ.ศ. 2454 หม่อมซ่มจีนป่วยด้วยอหิวาตกโรค ถ่ายท้องอย่างรุนแรง เพียงคืนเดียวก็มีอาการเพียบหนัก เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ในรัชกาลที่ 5 ได้ตามหม่อมเพื่อน บุนนาค ซึ่งเป็นสหายคนสนิทของหม่อมซ่มจีน มารับตัวออกไปจากพระบรมมหาราชวัง ครั้นออกไปอยู่กับหม่อมเพื่อนได้เพียงวันเดียว หม่อมซ่มจีนก็ถึงแก่กรรมในวัย 50 ปีโดยประมาณ[2][3][10]

การทำงาน

[แก้]

การขับร้อง

[แก้]

เมื่อหม่อมซ่มจีนเข้าไปอาศัยในเรือนของพระยาราชานุประพันธ์ ได้เรียนขับร้องที่นั่น โดยเริ่มต้นจากเพลงละคร 2 ชั้น และต่อเพลงอัตรา 3 ชั้นกับพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) จนได้รับการยกย่องว่าเป็นคนร้องเพลงสามชั้นที่ดีมากคนหนึ่ง จากนั้นเธอได้เข้าไปร้องเพลงในวังบูรพาภิรมย์[2][10]

เจ้าดารารัศมี พระราชชายา โปรดเกล้าฯ ให้พระยาประสานดุริยศัพท์ไปสอนดนตรี กับหม่อมซ่มจีนไปสอนขับร้อง แก่ข้าหลวงในพระตำหนักภายในพระบรมมหาราชวัง ช่วง พ.ศ. 2440–2446[2][5] ครั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับอยู่พระที่นั่งวิมานเมฆ พระราชวังดุสิต ใน พ.ศ. 2447 พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ทรงตั้งวงมโหรีหญิงขึ้น โดยมีขุนเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทรวาทิน) เป็นผู้ควบคุม แต่ทว่าไม่มีครูสอนขับร้องเพลง 3 ชั้น กรมพระสุทธาสินีนาฏจึงขอยืมตัวหม่อมซ่มจีนไปเป็นครูสอนขับร้องภายในพระราชวังดุสิต หม่อมซ่มจีนได้เป็นครูของนักร้องหลายคน เช่น เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ในรัชกาลที่ 5 คุณหญิงเยี่ยม รามบัณฑิตสิทธิเศรณี (สกุลเดิม ณ นคร) และท้วม ประสิทธิกุล ส่วนศิษย์ที่เป็นชายมีคนหนึ่งชื่อ ขุนลิขิตสุนทร (หยิน) เป็นนักร้องประจำแตรวงกองทัพเรือ[2][10]

หม่อมซ่มจีนมีความสนิทสนมกับพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) เพราะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เล่นดนตรีด้วยกันเป็นประจำ รวมทั้งเข้าออกวังบูรพาภิรมย์อยู่บ่อย ๆ หม่อมซ่มจีนจึงได้มีโอกาสบันทึกเสียงลงกระบอกเสียงร่วมกับพระยาประสานดุริยศัพท์ และหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ถือว่าเป็นหญิงสยามคนแรกที่บันทึกเสียงลงกระบอกเสียงแบบเอดิสัน ต่อมาได้บันทึกเป็นจานเสียงกับบริษัท International Talking Machine เป็นแผ่นเสียงโอเดี้ยนตราตึกจำนวนมาก ปรากฎบนหน้าแผ่นเสียงว่า ใช้พิณพาทย์ วงนายแปลก นายสอน ซึ่งก็คือวงของวังบูรพาภิรมย์ เพลงที่บันทึกไว้มี ตับนางลอย เขมรใหญ่ 3 ชั้น ลมหวน 3 ชั้น มโหรีตับแขกมอญ มาลีหวน 3 ชั้น แสนเสนาะ 3 ชั้น บุหลัน 3 ชั้น ใบ้คลั่ง 3 ชั้น ต่อมา พ.ศ. 2452 หม่อมซ่มจีนได้อัดแผ่นเสียงรุ่นหลังสุดกับบริษัทพาโลโฟนและแผ่นเสียงตรารามสูร-เมขลา ชุดนี้มีมโหรี ตับทะแย ต่อยรูป 3 ชั้น การเวก 3 ชั้น ลมหวน 3 ชั้น ชมดงนอก แขกมอญ 3 ชั้น ทยอยนอก 3 ชั้น สี่บท 3 ชั้น เชิดจีน บุหลัน 3 ชั้น จระเข้หางยาว เป็นอาทิ โดยขับร้องร่วมกับวงปี่พาทย์ไม้แข็งของพระยาประสานดุริยศัพท์มาโดยตลอด[11] หม่อมซ่มจีนจึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับการขับร้องเพลง 3 ชั้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[2][3][10] งานบันทึกเสียงในสมัยนั้น ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าในการบันทึก เมื่อบันทึกผิดพลาดไปก็เข้าไปแก้ไขไม่ได้ จึงพบข้อผิดพลาดในการบันทึกเสียง เช่น เสียงร้องหรือเสียงดนตรีขาดหายไป อันเป็นลักษณะของการบันทึกเสียงในสมัยโบราณ[5]

หม่อมซ่มจีนเป็นนักร้องที่มีกระแสเสียงสูง เมื่อฟังไกล ๆ โดยไม่มีไมโครโฟน เสียงของเธอยังไพเราะไปได้ไกล เมื่อขับร้องกับวงปี่พาทย์ไม้แข็ง เสียงของหม่อมซ่มจีนจะลอยขึ้นมาเหนือเสียงปี่พาทย์ทำให้ไพเราะน่าฟังยิ่ง[5] จากการศึกษาของจตุพร สีม่วง (2561) พบว่า ลักษณะการร้องจะเน้นความเจิดจ้าของเสียงร้อง แต่ขาดความชัดแจ้งในการเอื้อน ต้องใช้กำลังมากเพราะใช้เสียงสูง และต้องร้องแข่งกับเสียงวงปีพาทย์ มีการเอื้อนตามทำนองหลัก และการร้องแบบคำร้องและเอื้อนผสมกันไป[12] หม่อมซ่มจีนได้กลายเป็นนักร้องหญิงที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เธอได้รับการยกย่องด้านสามารถในการร้องเพลง 3 ชั้นโดยทั่วกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดหม่อมซ่มจีนว่าร้องเพลงดีและทรงคุ้นเคย ขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่ฮัมบวร์คใน พ.ศ. 2450 ได้มีผู้ส่งแผ่นเสียงของหม่อมซ่มจีนชุดหนึ่งทูลเกล้าถวายให้พระเจ้าอยู่หัวสดับ ทรงบันทึกข้อความลงในพระราชนิพนธ์ ไกลบ้าน ตอนหนึ่งไว้ว่า "มีเพลงแสนเสนาะนั้น เพลงหนึ่ง ยายส้มจีนร้อง"[3] สอดคล้องกับคำกล่าวของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเหมวดี ทรงเล่าไว้ว่า "หม่อมส้มจีนมีเสียงเล็กแหลมดัง ร้องเพลงหมดจด ชัดถ้อยชัดคำ ลีลาการเอื้อนละเอียดละออหมดจด..."[3]

การประกอบอาหาร

[แก้]

หม่อมซ่มจีนได้เรียบเรียงตำราอาหารชื่อ ตำรากับเข้า ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ร.ศ. 109 ตรงกับ พ.ศ. 2433 เธอชี้แจงจุดประสงค์ของการตีพิมพ์หนังสือนี้ว่า "เรียบเรียงขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจในการหุงต้ม จะได้เป็นแนวทางรู้วิธีที่จะใช้ในครัวไทย ๆ เรานี้โดยง่าย" เนื้อหาส่วนใหญ่มักนำเสนอกับข้าวประเภทแกงต่าง ๆ เช่น มาซะแมนเนื้อโค (แกงมัสมั่นเนื้อ) แกงกะหลี่ไก่ (แกงกะหรี่) แกงเผ็ดไก่ ต้มยำ ต้มโพล้ง ฉู่ฉี่ และในหลายรายการมักจะมีเนื้อสัตว์ป่าเป็นวัตถุดิบหลัก เช่น แย้ อ้น ตะพาบน้ำ สุกรป่า กบ จังกวด หรือนกเป็ดน้ำ เช่น แกงบวนนกเป็ดน้ำ ต้มยำปลาไหลสด แกงคั่วส้มตะพาบน้ำ แกงคั่วอ้น และยำแย้ เป็นต้น[13] โดยเฉพาะ แกงคั่วส้มเนื้อหมูกับปลิงทะเล มีการระบุว่าสามารถใส่หนังแรดเคี่ยวจนเปื่อยแทนปลิงทะเลได้ โดยอธิบายไว้ว่า "มีรสแปลกไปได้อีกรสหนึ่ง"[14] เข้าใจว่าหม่อมซ่มจีนคงมีความถนัดในอาหารประเภทนี้[13]

T. K. Hanuman และเปรม สวนสมุทร กล่าวว่าตำราอาหารของหม่อมซ่มจีน น่าจะเป็นหนังสือคู่มือการประกอบอาหารที่สมบูรณ์ ตีพิมพ์ก่อนหนังสือ แม่ครัวหัวป่าก์ และ ปะทานุกรม การทำของคาวหวานอย่างฝรั่งแลสยาม ถือเป็นตำราอาหารรวมเล่มเล่มแรกของไทย และเป็นหนังสือหายาก ไม่ได้ตีพิมพ์บ่อยครั้งอย่าง แม่ครัวหัวป่าก์ โดยตำรากับเข้าของหม่อมซ่มจีนนี้มีการให้รายละเอียดวัตถุดิบ เครื่องปรุง และกรรมวิธีได้ชัดเจน มีการชี้แจงเป็นขั้นตอน ผู้อ่านสามารถทำตามได้โดยง่าย[13] รวมทั้งเป็นสิ่งสะท้อนรสนิยม ความหลากหลายของอาหาร และภูมิปัญญาของผู้คนในยุคสมัยนั้น[15]

ในบั้นปลาย หม่อมซ่มจีนได้ถวายตัวเข้าไปช่วยงานให้แก่พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดาภายในพระบรมมหาราชวังด้านงานครัวและการร้อยดอกไม้ใน พ.ศ. 2454 ก่อนเสียชีวิตลงหลังจากนั้นด้วยอหิวาตกโรคในปีเดียวกันนั้นเอง[2][3][10]

เชิงอรรถ

[แก้]
  1. "หม่อม" เป็นคำนำหน้าสตรีที่เป็นอนุภรรยาของขุนนางชั้นเจ้าพระยาและพระยาชั้นผู้ใหญ่ ครั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตราพระราชกฤษฎีกาคำนำหน้าสตรี พ.ศ. 2460 คำว่าหม่อมสำหรับภรรยาขุนนางเป็นอันยกเลิกไป[1]

อ้างอิง

[แก้]
  1. เล็ก พงษ์สมัครไทย. "คำว่า หม่อม ใช้มาตั้งแต่เมื่อใด? หม่อมแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร?". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 28 Jul 2022.
  2. 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 "หม่อมส้มจีน (พ.ศ. ๒๔๐๐-๒๔๕๔)". หอสมุดดนตรีสมเด็จพระเทพรัตน์ มหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ 26 Jul 2022.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 3.8 ""หม่อมส้มจีน" นักร้องสตรีไทยคนแรกที่ได้รับเลือกให้อัดแผ่นเสียง". ศิลปวัฒนธรรม. 29 Dec 2020. สืบค้นเมื่อ 26 Jul 2022.
  4. ภาสพงษ์ ผิวพอใช้ (เมษายน 2564). คำแสดงโภชนลักษณ์ในตำราอาหารไทย : ศึกษาใน "ตำรากับเข้า" ของหม่อมซ่มจีน ราชานุประพันธ์. วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ (6:4). หน้า 451
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 "ตอนที่ 87 หม่อมส้มจีน ราชานุประพันธ์ บุนนาค เพลงแสนเสนาะ 3 ชั้น". หอสมุดดนตรีสมเด็จพระเทพรัตน์ มหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ 26 Jul 2022.
  6. "หม่อมสุด บุนนาค (ไม่ทราบปีที่เกิด และปีที่ถึงแก่กรรม)". หอสมุดดนตรีสมเด็จพระเทพรัตน์ มหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ 29 Jul 2022.
  7. "สายเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวลชั้นที่ 4 สายเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค)". ชมรมสายสกุลบุนนาค. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-05-22. สืบค้นเมื่อ 27 Jul 2022.
  8. ภาวิณี บุนนาค. รักนวลสงวนสิทธิ์. กรุงเทพฯ : มติชน, 2563, หน้า 155-160
  9. "บทที่ 7 สาเหตุการรับอิทธิพลจากวรรณคดีตะวันตก" (PDF). ห้องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. สืบค้นเมื่อ 27 Jul 2022.
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 "หม่อมส้มจีน บุนนาค". อุทยานการเรียนรู้. สืบค้นเมื่อ 26 Jul 2022.[ลิงก์เสีย]
  11. จตุพร สีม่วง (ตุลาคม–ธันวาคม 2561). คีตศิลปินหญิงราชสำนักจากแผ่นเสียงโบราณ (PDF). วารสารครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (46:4). p. 68. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2022-11-29. สืบค้นเมื่อ 2022-07-28.
  12. จตุพร สีม่วง (ตุลาคม–ธันวาคม 2561). คีตศิลปินหญิงราชสำนักจากแผ่นเสียงโบราณ (PDF). วารสารครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (46:4). p. 74. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2022-11-29. สืบค้นเมื่อ 2022-07-28.
  13. 13.0 13.1 13.2 ภาสพงษ์ ผิวพอใช้ (เมษายน 2564). คำแสดงโภชนลักษณ์ในตำราอาหารไทย : ศึกษาใน "ตำรากับเข้า" ของหม่อมซ่มจีน ราชานุประพันธ์. วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ (6:4). หน้า 453
  14. "ประวัติศาสตร์ปากว่าง: เปิดเมนูพิสดาร ที่ทำสัตว์ป่าสยามเกือบสูญพันธุ์". Voice TV. 19 Aug 2019. สืบค้นเมื่อ 28 Jul 2022.
  15. ภาสพงษ์ ผิวพอใช้ (เมษายน 2564). คำแสดงโภชนลักษณ์ในตำราอาหารไทย : ศึกษาใน "ตำรากับเข้า" ของหม่อมซ่มจีน ราชานุประพันธ์. วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ (6:4). หน้า 464-465