ศาลภัญชิกา
ศาลภัญชิกา หรือ สาลภัญชิกา (ศาลภํชิกา [ศาละภัญชิกา], อักษรโรมัน: shalabhanjika หรือ salabhanjika) เป็นคำในศิลปะอินเดียและวรรณกรรมอินเดียที่มีความหมายหลายแบบ ในศิลปะพุทธ คำนี้ใช้เรียกรูปสตรีหรือยักษียืนข้างหรือยืนเกาะต้นไม้ หรือใช้เรียกเหตุขณะพระนางสิริมหามายาทรงประทับข้างต้นสาละ ขณะทรงให้กำเนิดเจ้าชายสิทธัตถะ[1] ในศิลปะฮินดูและไชนะ ไม่ได้มีความหมายเฉพาะเจาะจงเท่าในศิลปะพุทธ คำนี้อาจใช้เรียกประติมากรรมใด ๆ ก็ตามที่ประดับบนผนังไม่ให้ดูจืดชืดน่าเบื่อ โดยส่วนใหญ่เป็นประติมากรรมรูปสตรี[2] นอกจากนี้ ในวรรณกรรมพุทธยังปรากฏใช้คำว่า สาลภัญชิกา เรียกเทศกาลอินเดียโบราณหนึ่งซึ่งฉลองเมื่อต้นสาละออกดอก ในบริลทที่เปรียบเทียบกับประสูติกาลของพระโคตมพุทธเจ้า[3]
ในวรรณกรรม นอกจากความหมายทางประติมากรรมแล้ว ยังอาจหมายถึงตุ๊กตา เทวดา ภูติ ไปจนถึงโสเภณี ทั้งหมดนี้ขึ้นกับบริบท[2] ในบริบทเหล่านี้ยังปรากฏคำอื่น ๆ เช่น มทนไก (madanakai), มทนิกา (madanika) หรือ ศิลาพาลิเก (shilabalika) โดยเฉพาะในวรรณกรรมภาษากันนาดา ส่วนในบริบทของกวีนิพนธ์และดนตรีอินเดีย คำนี้มีความหมายใกล้เคียงกับจังหวะ ปัถยา (pathyā) ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวะย่อย จันทะ (chanda) ในกลุ่ม จตุษปาทิ (catuṣpadi) ใช้สำหรับการเปลี่ยนผ่าน[4]
นอกจากจะหมายถึงเหตุการณ์ที่พระนางสิริมหามายาให้ประสูติแก่เจ้าชายสิทธัตถะแล้ว ตามสถูปในศาสนาพุทธยังปรากฏประติมากรรมที่แสดงสตรีเคียงต้นไม้ ส่วนมากมักจับหรือเกาะกิ่งไม้นั้นในลักษณะคล้ายกับพระนางสิริมหามายา แต่ในบริบทเหล่านี้สาลภัญชิกาจะหมายถีงรุกขเทวดาในคติชนของอินเดียโบราณ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการมีบุตร[5]
ศัพทมูล
[แก้]คำว่า ศาลภัญชิกา ประกอบมาจากคำภาษาสันสกฤต คือ ศาลา และ ภัญชิกา คำว่า ภัญชิกา มีความหมายว่า 'การหัก, รบกวน" ส่วน ศาลา หมายถึง "บ้าน, พื้นที่, พื้นที่ปิด, ผนัง, ศาลา" เช่นในคำว่า ธรรมศาลา หรือ โคศาลา[6] คำเดียวกันนี้ยังสามารถหมายถึงต้นสาละซึ่งเป็นไม้มีค่า[6] นักวิชาการด้านภาษาสันสกฤต วอเกล (Vogel) ระบุว่าความหมายอันหลากหลายของ ศาลภัญชิกา ในธรรมเนียมต่าง ๆ ของอินเดีย อาจเกี่ยวเนื่องกับความสำคัญของต้นสาละ ซึ่งในศาสนาพุทธมองต้นสาละเกี่ยวกับประสูติกาลของพระโคตมพุทธเจ้า และในฮินดูกับไชนะมองต้นสาละในฐานะไม้มีค่าสำหรับแกะสลักประติมากรรม[3]
วอเกลระบุว่าคำว่า ศาลภัญชิกา ไม่ปรากฏในวรรณกรรมยุคพระเวทหรือในวรรณกรรมภาษาบาลี ไปจนถึงมหากาพย์ที่สำคัญของอินเดีย แต่มีปรากฏในวรรณกรรมยุคคลาสสิกของอินเดียจากต้นสหัสวรรษที่ 1 เช่น พุทธจริต (Buddhacarita, ราวปี 100) โดยอศวโฆษะ ส่วนคำที่คล้ายกัน ซึ่งคือ สาสตรี (salastri, หมายถึงสตรีที่เกิดออกจากต้นสาละ) ปรากฏในวรรณกรรมฮินดู นาฏยศาสตระ ที่วรรค 2.83–84[3] ข้อเท็จจริงเหล่านี้อาจสะท้อนว่าวรรณกรรมเขียนตามธรรมเนียมและความนิยมในการแกะสลักไม้สาละ[3] คำที่คล้ายกันยังรวมถึง มทนิกา (madanika), ปุตรีลิกา (putrilika), สตมภปุตรี (stambhaputri), สตมภปุตริกา (stambhaputrika) และ ปุตริกา (putrika)[7] ประสันนะ อาจารยะ (Prasanna Acharya) นักวิชาการภาษาสันสกฤต และผู้นิพนธ์ สารานุกรมสถาปัตยกรรมฮินดู (An Encyclopedia of Hindu Architecture) ระบุว่า ศาลา และ ภัญชิกา ที่ปรากฏในวรรค 2.79 ของ นาฏยศาสตระ เป็นบริบทที่หมายถึง "รูป [หรือประติมากรรม] ที่ทำจากไม้"[8]
วอเกล, อาจารยะ และนักวิชาการคนอื่น ๆ ให้ข้อสรุปว่าในศิลปกรรมและวรรณกรรมของฮินดูกับไชนะ คำนี้ใช้หมายถึงรูปปั้นใด ๆ บนผนัง เสา หรือโถง[7][9][8]
ดูเพิ่ม
[แก้]- คาร์ยาติด ลักษณะคล้ายกันในวัฒนธรรมยุโรป
- รายนามรุกขเทวดา
- ยักษินี
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Temple Strut with a Tree Goddess (Shalabhanjika)". The Metropolitan Museum of Art. สืบค้นเมื่อ 11 May 2013.
- ↑ 2.0 2.1 Udaya Nārāyaṇa Rāya (1979). Śālabhañjika in Art, Philosophy, and Literature. Lokbharti. pp. 1–9. OCLC 6828640.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 J Ph Vogel (1929). "The woman and tree or Salabhanjika in Indian Arts and Literature". Acta Orientalia. 7: 202–209.
- ↑ H.D. Velankar (1936). "Apabhramsa Meters". The Journal of the University of Bombay. V (9): 57–58.
- ↑ Heinrich Zimmer, Myths and Symbols in Indian Art and Civilization. (1946)
- ↑ 6.0 6.1 Monier Monier Williams (1994 updated), Sanskrit English Dictionary, शाल śāla śālá, page 260
- ↑ 7.0 7.1 J Ph Vogel (1929). "The woman and tree or Salabhanjika in Indian Arts and Literature". Acta Orientalia. 7: 206–219.
- ↑ 8.0 8.1 PK Acharya (1934). Encyclopedia of Hindu Architecture. Oxford University Press. p. 490. OCLC 697763683.
- ↑ Louis H. Gray (1906). "The Viddhaśālabhañjikā of Rājaśekhara, Now First Translated from the Sanskrit and Prākrit". Journal of the American Oriental Society. 27: 3–4. JSTOR 592847.