ข้ามไปเนื้อหา

สมเด็จพระยอดฟ้า

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก พระยอดฟ้า)
สมเด็จพระยอดฟ้า
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
ครองราชย์พ.ศ. 2089–2091 (2 ปี)
ก่อนหน้าสมเด็จพระไชยราชาธิราช
ถัดไปขุนวรวงศาธิราช
พระราชสมภพประมาณ พ.ศ. 2078
สวรรคต10 มิถุนายน พ.ศ. 2091 (ประมาณ 13 พรรษา)
วัดโคกพระยา กรุงศรีอยุธยา
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
พระราชบิดาสมเด็จพระไชยราชาธิราช
พระราชมารดาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์

สมเด็จพระยอดฟ้า[1][2] หรือ สมเด็จพระแก้วฟ้า[1] (ประมาณ พ.ศ. 2078[1] – 10 มิถุนายน พ.ศ. 2091[3]) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 14 แห่งกรุงศรีอยุธยาจากราชวงศ์สุพรรณภูมิ[1]

สมเด็จพระยอดฟ้าเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระไชยราชาธิราชกับนางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์[1][2] เสวยราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2089 จนถูกสำเร็จโทษ

พระราชประวัติ

[แก้]

สมเด็จพระยอดฟ้าเสด็จพระราชสมภพประมาณปี พ.ศ. 2078[1] เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระไชยราชาธิราชกับท้าวศรีสุดาจันทร์ พระสนมเอกฝ่ายซ้าย[1] มีพระอนุชาหนึ่งพระองค์คือพระศรีศิลป์ พระชันษาอ่อนกว่า 6 ปี[2]

สมเด็จพระไชยราชาธิราชสวรรคตใน พ.ศ. 2089 พระยอดฟ้าจึงสืบราชสมบัติต่อ เวลานั้น มีพระชนมายุ 11 พรรษา พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) บันทึกว่า "นางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ผู้เป็นสมเด็จพระชนนีช่วยทำนุบำรุงประคองราชการแผ่นดิน"[2] การเมืองยามนั้นยังวุ่นวาย พระเฑียรราชา เชื้อพระวงศ์ฝ่ายสมเด็จพระไชยราชาธิราช น่าจะเป็นกำลังสำคัญในการประคับประคองราชการแผ่นดินได้ แต่กลับเกรงราชภัย หนีไปผนวชที่วัดราชประดิษฐาน ตำบลท่าทาง ในกรุงศรีอยุธยา ตลอดรัชกาลสมเด็จพระยอดฟ้า[1][4]

เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremais van Vliet) ว่า สมเด็จพระยอดฟ้าโปรด "ทรงม้าไปตามป่าตามทุ่งและไร่นา ชนช้าง ทรงพระแสง ฝึกหัดขัตติยวิชา" และ "ในรัชกาลของพระองค์บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ทุกแห่งหน มิได้อดอยากแห้งแล้ง"[1] ขณะที่พงศาวดารหลายฉบับของไทยบันทึกเกี่ยวกับนิมิตร้ายหลายประการซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่สมเด็จพระยอดฟ้าเสด็จสู่ราชสมบัติได้ไม่นาน เช่น คราวที่เสด็จออกสนามชนช้าง งาช้างที่ชื่อ "พระยาไฟ" ก็หักออกเป็น 3 ท่อน พอเวลาค่ำ ช้างต้นชื่อ "พระฉัททันต์" ร้องเหมือนเสียงคนร้องไห้ ทั้งได้ยินเสียงร้องออกมาจากประตูไพชยนต์[2]

ในเวลานั้น ท้าวศรีสุดาจันทร์ พระราชมารดาซึ่งสำเร็จราชการ ลักลอบเป็นชู้กับพันบุตรศรีเทพ พนักงานรักษาหอพระข้างหน้า ท้าวศรีสุดาจันทร์จึงมีพระเสาวนีย์ให้พระยาราชภักดีเลื่อนพันบุตรศรีเทพขึ้นเป็นขุนชินราช พนักงานรักษาหอพระข้างใน[5] ครั้นท้าวศรีสุดาจันทร์ทรงครรภ์กับขุนชินราชเห็นว่าจะปิดความไว้ไม่ได้อีกต่อไป จึงคิดอ่านยกขุนชินราชขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เริ่มด้วยการเลื่อนขุนชินราชเป็นขุนวรวงศาธิราช ให้สิทธิ์ขาดในการเกณฑ์และคุมกำลังคน ปลูกจวนให้อยู่ที่ริมศาลาสารบัญชีใกล้กำแพงวัง ปลูกศาลาขึ้นในวังตรงประตูดินริมต้นหมัน แล้วให้เอาเตียงอันเป็นราชอาสน์ไปตั้งไว้ในศาลานั้นสำหรับให้ขุนวรวงศาธิราชนั่งว่าราชการ ทั้งนี้ เพื่อให้ข้าราชการทั้งหลายยำเกรง[5] พระยามหาเสนา ข้าราชการผู้ใหญ่ เห็นสถานการณ์น่าเป็นห่วง ก็ปรารภกับข้าราชการคนอื่น ๆ พระยามหาเสนาจึงถูกท้าวศรีสุดาจันทร์กำจัด[5]

ครั้นสถานการณ์สุกงอมใน พ.ศ. 2091 ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ทรงเรียกประชุมข้าราชการ ตรัสว่าสมเด็จพระยอดฟ้ายังทรงพระเยาว์นัก เหตุการณ์ทางเหนือก็ยังไม่สงบ มีพระดำริว่า "เราคิดว่า จะให้ขุนวรวงศาธิราชว่าราชการแผ่นดินกว่าราชบุตรเราจะจำเริญวัยขึ้น" ข้าราชการทั้งหลายขัดไม่ได้ก็ยินยอม ท้าวศรีสุดาจันทร์จึงให้เอาราชรถและเครื่องสูงต่าง ๆ ตั้งกระบวนไปรับขุนวรวงศาธิราชเข้ามาราชาภิเษก[5] เมื่อขุนวรวงศาธิราชได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ก็ให้เอาสมเด็จพระยอดฟ้าไปสำเร็จโทษที่วัดโคกพระยา ส่วนพระศรีศิลป์ พระอนุชานั้น มีพระชนมายุเพียง 7 พรรษา จึงไว้ชีวิต[1]

จดหมายเหตุโหรว่า สมเด็จพระยอดฟ้าทรงถูกสำเร็จโทษเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ จ.ศ. 910 ตรงกับวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2091 ทรงอยู่ในราชสมบัติ 2 ปีเศษ สิริพระชนมพรรษา 13 พรรษาเศษ[3]

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

[แก้]

มีนักแสดงผู้รับบท สมเด็จพระยอดฟ้า ได้แก่

พงศาวลี

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
เชิงอรรถ
  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, หน้า 97
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) , หน้า 63-7
  3. 3.0 3.1 นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, หน้า 98
  4. กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (2494). ชุมนุมพระนิพนธ์ ภาค 2 (PDF). พระนคร: กรมศิลาปกร. p. 234.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย, หน้า 100-101
บรรณานุกรม

ดูเพิ่ม

[แก้]
ก่อนหน้า สมเด็จพระยอดฟ้า ถัดไป
สมเด็จพระไชยราชาธิราช
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (พ.ศ. 2076–2089)

พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
(ราชวงศ์สุพรรณภูมิ (พ.ศ. 2089–2091))
ขุนวรวงศาธิราช
(พ.ศ. 2091)
(ประวัติศาสตร์แบบดั้งเดิมถอดจากลำดับกษัตริย์)