ผู้ใช้:Patsungnoen wuttichai/กระบะทราย
ระบบราชการสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
[แก้]ระบบราชการ คือคำว่าระบบราชการ (Bureaucracy) เป็นคำที่มีความหมายได้หลายทัศนะ และลักษณะของระบบราชการก็แตกต่างกันไปในแต่ละชาติแต่ละกาลเวลา ดังนั้น จึงขอนำทัศนะของนักวิชาการหลายสาขามาเสนอเพื่อพิจารณาความหมายของระบบราชการ ศาสตราจารย์ Harold J.Laski ได้ให้ความหมายของระบบราชการในเชิงปรากฎการณ์ของสังคมในองค์การขนาดใหญ่ที่มีลักษณะซับซ้อนว่า หมายถึงระบบบริหารราชการของรัฐที่ตกอยู่ในมือของข้าราชการโดยเด็ดขาด และอาจก่อให้เกิดอำนาจอันอาจทำลายเสรีภาพของประชาชนได้ ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติงานประจำวันของข้าราชการที่ดำเนินไปตามระเบียบแบบแผนตายตัว ไม่มีการยืดหยุ่นผ่อนสั้นผ่อนยาว การวินิจฉัยสั่งการก็เต็มไปด้วยความลังเล ชักช้า ขาดความริเริ่ม เป็นผลให้เกิดการแบ่งชั้นวรรณะและประพฤติปฏิบัติเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ ส่วนศาสตราจารย์ Victor A. Thompsan ได้ให้ความหมายของระบบราชการไปในลักษณะพื้นฐานโครงสร้างขององค์การว่า “ระบบราชการ คือองค์การที่ประกอบด้วยสายการบังคับบัญชาที่จัดไว้อย่างละเอียดรัดกุม โดยอาศัยหลักของการแบ่งแยกการทำงาน (Division of work) สำหรับผู้เขียนมีความเห็นว่า ถ้าพิจารณาระบบราชการในลักษณะโครงสร้างขององค์การหรือสถาบัน ระบบราชการก็คือองค์การ (Bureaucracy is a form of organization) [1]
ข้อมูลทั่วไป
[แก้]ประเทศลาวหรือชื่อเป็นทางการ คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีพื้นที่ 236,800 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนติดต่อกับหลายประเทศ ทางทิศเหนือติดต่อกับประเทศจีน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับประเทศพม่า ทิศตะวันตกติดต่อกับประเทศเวียดนาม ทิศใต้ติดต่อกับประเทศกัมพูชา และทิศตะวันตกติดต่อกับประเทศไทย[2][3] ประเทศลาวมีรูปแบบการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ มีการแบ่งเขตการปกครองเป็นทั้งหมด 16 แขวง แขวงเวียงจันทน์ แขวงหลวงพระบาง แขวงหลวงน้ำทา แขวงอุดมไชย แขวงบ่อแก้ว แขวงพงสาลี แขวงหัวพัน แขวงเชียงขวาง แขวงไชยบุรี แขวงบอลิคำไซ แขวงคำม่วน แขวงสะหวันนะเขต แขวงสาละวัน แขวงอัดตะปือ แขวงจำปาสัก แขวงเซกองและ1 เขตการปกครองแบบพิเศษคือ นครหลวงเวียงจันทน์ การบริหารงานของข้าราชการของลาวจึงมีความสำคัญอย่างมากที่จะไปดูแลแขวงต่างๆอย่างทั่วถึง เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นระบบ
ข้อมูลทางการเมือง
[แก้]ประเทศลาวมีการบริหารประเทศเหมือนกันกับประเทศไทย โดยมีการแบ่งอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ
1.ฝ่ายนิติบัญญัติ มีการดำเนินงานโดยสภาประชาชนสูงสุด
2.ฝ่ายบริหาร แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
- องค์การบริหารส่วนกลาง เป็นการบริหารประเทศโดยสภารัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี
- องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น โดยประเทศลาวแบ่งการบริหารส่วนท้องถิ่นออกเป็น 3 ระดับ
- ระดับแขวง เทียบเท่ากับจังหวัด (ปัจจุบันมีทั้งหมด 16 แขวง)
- ระดับเมือง เทียบเท่ากับอำเภอ (ปัจจุบันมีทั้งหมด 154 เมือง)
- ระดับตาแสง เทียบเท่ากับตำบล
3.ฝ่ายตุลาการ ได้มีการจัดโครงสร้างของส่วนตุลาการ แบ่งเป็น 2 องค์กร
- ระบบศาลประชาชน แบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ ศาลประชาชนสูงสุด ศาลประชาชนแขวง ศาลประชาชนเมือง ศาลกำแพงหรือนครเวียงจันทน์ และศาลทหาร
- องค์กรอัยการประชาชน เป็นองค์กรที่ทำงานคู่ขนานกับศาลประชาชนสูงสุด[4]
วิสัยทัศน์ เป้าหมายและยุทธศาสตร์
[แก้]- วิสัยทัศน์
สปป.ลาว ต้องการเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง จะนำพาประชาชนหลุดพ้นจากความยากจนภายในปี พ.ศ.2558 พร้อมทั้งพัฒนาประเทศให้พ้นจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาภายในปี พ.ศ.2563
- เป้าหมาย
เป้าหมายหลักของลาวคือ ต้องการขจัดความยากจน สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน และการหลุดพ้นจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาน้อยที่สุด ซึ่งมีสามเรื่องใหญ่ๆที่ทางลาวจะต้องทำให้ได้คือ
- แก้ไขความอ่อนแอด้านทรัพยากรมนุษย์
- แก้ไขความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ
- การทำให้รายได้เฉลี่ยสามปีของประชาชนทั้งประเทศมากกว่า 1086 ดอลล่าห์สหรัฐ
- ยุทธศาสตร์
ปัจจุบันลาว อยู่ภายใต้แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 (พ.ศ.2554-2558) การดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามยุทธศาสตร์ เพื่อนำประเทศลาวไปสู่การพัฒนาและเปลี่ยนประเทศเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมที่ทันสมัยจากประเทศที่ด้อยพัฒนา แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 7 (พ.ศ.2554-2558) สามารถสรุปเป้าหมายที่สำคัญของแผนฯได้ดังนี้
- การขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปีและรายได้ต่อหัวของประชากรอยู่ที่ระดับ 1,700 ดอลล่าห์สหรัฐต่อคนต่อปีในปี พ.ศ.2558
- บรรลุเป้าหมาย Millennium Development Goals (MDGs) ในปี พ.ศ.2558 และพัฒนาประเทศเพื่อให้พ้นจากสภาพประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด(LDC)ในปี พ.ศ.2563
- มุ่งการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับความก้าวหน้าทางสังคมและวัฒนธรรม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- รักษาเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อให้เกิดความสันติและความสงบเรียบร้อยในสังคม[5]
ประวัติความเป็นมาของระบบราชการ
[แก้]ลาวภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส
[แก้]ครั้นถึงช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 24 ต่อช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ประเทศฝรั่งเศสเริ่มให้ความสนใจที่จะขยายอำนาจเข้ามาสู่ดินแดนในแถบลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อหาทางเข้าถึงดินแดนตอนใต้ของจีนเพื่อเปิดตลาดการค้าแห่งใหม่แข่งกับอังกฤษ ซึ่งสามารถยึดเวียดนามได้ก่อนหน้านั้นแล้ว โดยฝรั่งเศสเริ่มจากการยึดครองแคว้นโคชินจีนหรือเวียดนามใต้ก่อนในปี พ.ศ. 2402รุกคืบเข้ามาสู่ดินแดนเขมรส่วนนอกซึ่งไทยปกครองในฐานะประเทศราชในปี พ.ศ. 2406 (ไทยตกลงยอมสละอำนาจเหนือเขมรส่วนนอกอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2410) จากนั้นจึงได้ขยายดินแดนในเวียดนามต่อจนกระทั่งสามารถยึดเวียดนามได้ทั้งประเทศในปี พ.ศ. 2426 พรมแดนของสยามทางด้านประเทศราชลาวจึงประชิดกับดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในระยะเวลาเดียวกัน ในประเทศจีนได้เกิดเหตุการณ์กบฏไท่ผิงต่อต้านราชวงศ์ชิง กองกำลังกบฏชาวจีนฮ่อที่แตกพ่ายได้ถอยร่นมาตั้งกำลังซ่องสุมผู้คนอยู่ในแถบมณฑลยูนนานของจีน ดินแดนสิบสองจุไทย และตามแนวชายแดนประเทศราชลาวตอนเหนือ กองกำลังจีนฮ่อได้ทำการปล้นสะดมราษฏรตามแนวพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง สร้างปัญหาต่อการปกครองของทั้งฝ่ายไทยและฝรั่งเศสอย่างยิ่ง เพราะส่งกำลังไปปราบปรามหลายครั้งก็ยังไม่สงบ เฉพาะกับอาณาจักรหลวงพระบางนั้น ทางกรุงเทพถึงกับต้องปลดพระเจ้ามหินทรเทพนิภาธร เจ้าผู้ครองนครหลวงพระบางออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สามารถรักษาเมืองและปล่อยให้กองทัพฮ่อเข้าปล้นสะดมและเผาเมืองหลวงพระบางลง และตั้งเจ้าคำสุกขึ้นเป็นพระเจ้าสักรินทรฤทธิ์ปกครองดินแดนแทน ไทย (หรือสยามในเวลานั้น)จึงร่วมกับฝรั่งเศสปราบฮ่อจนสำเร็จ โดยทั้งสองฝ่ายไล่ตีกองกำลังจีนฮ่อจากอาณาเขตของแต่ละฝ่ายให้มาบรรจบกันที่เมืองแถง (เดียนเบียนฟูในปัจจุบัน) แต่ก็เกิดปัญหาใหม่ คือ ฝ่ายฝรั่งเศสฉวยโอกาสอ้างสิทธิปกครองเมืองแถงและสิบสองจุไทย โดยไม่ยอมถอนกำลังทหารออกจากเมืองแถงเพราะอ้างว่าเมืองนี้เคยส่งส่วยให้เวียดนามมาก่อน ปัญหาดังกล่าวนี้มีที่มาจากภาวะการเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้าของเมืองปลายแดน ซึ่งจะส่งส่วยให้แก่รัฐใหญ่ทุกรัฐที่มีอิทธิพลของตนเองเพื่อความอยู่รอด พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) แม่ทัพฝ่ายไทย เห็นว่าถ้าตกลงกับฝรั่งเศสไม่ได้จะทำให้ปัญหาโจรฮ่อบานปลายแก้ยาก จึงตัดสินใจทำสัญญากับฝรั่งเศสในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2431 ให้ฝ่ายไทยตั้งกำลังทหารที่เมืองพวน (เชียงขวาง) ฝรั่งเศสตั้งกำลังทหารที่สิบสองจุไทย ส่วนเมืองแถงเป็นเขตกลางให้มีทหารของทั้งสองฝ่ายดูแลจนกว่ารัฐบาลทั้งสองชาติจะเจรจาเรื่องปักปันเขตแดนได้ ผลจากสนธิสัญญานี้แม้จะทำให้ฝ่ายไทยร่วมมือปราบฮ่อกับฝรั่งเศสจนสำเร็จ และสามารถยุติความขัดแย้งเรื่องแคว้นสิบสองจุไทย เมืองพวน และหัวพันทั้งห้าทั้งหกยุติลงไปชั่วคราว แต่ก็ต้องเสียดินแดนสิบสองจุไทยโดยปริยายไปวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ดินแดนลาวทั้งหมดก็เปลี่ยนไปตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ ประเทศฝรั่งเศส จากการใช่เล่ห์เหลี่ยมของโอกุสต์ ปาวี กงสุลฝรั่งเศส โดยการใช้เรือรบมาปิดอ่าวไทยเพื่อบังคับให้ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง รวมทั้งดินแดนอื่น ๆ ลาวถูกรวมเข้าเป็นอินโดจีนของฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2436[6]
ลาวยุคสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
[แก้]ในระยะหลังทศวรรษ 1980 สภาพการปกครองและกาบริหารดารเศรษฐกิจของลาวเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ต่อมาเมื่อเจ้าสุภานุวงศ์สละตำแหน่งจากประธานประเทศ ผู้ดำรงตำแหน่งต่อมาคือท่านไกสอน พมวิหาน ซึ่งเป็นประธานประเทศผู้มีความเชื่อมั่นในระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ หลังจากการอสัญกรรมของท่านไกสอน พมวิหาน ในปี พ.ศ.2535 ท่านหนูฮัก พูมสะหวัน ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน และได้มีนโยบายลดหย่อนการจำกัดเสรีภาพของชาวลาว จึงเป็นผลให้ชาวลาวที่อพยพไปอยู่ต่างประเทศได้รับการเชิญชวนกลับคืนสู่บ้านเกิด ทางลาวเริ่มเปิดประเทศและฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศไทย และเมื่อท่านไกสอนถึงแก่กรรมกระทันหัน ท่านหนูฮัก พูมสะหวัน ก็ได้ดำรงตำแหน่งประธานประเทศต่อมา ยุคนี้ทางลาวกับไทยเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ในปี พ.ศ.2538 ต่อมาท่านหนูฮักสละตำแหน่งท่านคำไต สีพันดอน รับดำรงตำแหน่งประธานประเทศต่อจนถึงปี พ.ศ.2549 ท่านคำไตลงจากตำแหน่ง และในปัจจุบันคือพันเอกบุนยัง วอละจิด ดำรงตำแหน่งประธานประเทศลาวคนปัจจุบัน[7]
หลักการพัฒนาของระบบราชการหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
[แก้]- ดำเนินการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอัตราเงินเดือนข้าราชการลาวให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงตามนโยบายของรัฐบาลใหม่
- ปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ในการบริหารข้าราชการ
- แต่งตั้งคณะกรรมการร่างกฎหมายใหม่สำหรับใช้ในการบริหารและพัฒนาคุณภาพข้าราชการ
- สนับสนุนโครงการด้านสาธารณสุข
- เปิดโอกาสให้ชาวลาวที่เป็นชนกลุ่มน้อยให้ได้รับโอกาสในการรับราชการเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม
- พัฒนาด้านการสื่อสารในพื้นที่ห่างไกล
- พัฒนาศักยภาพของสภาแห่งชาติ
- รัฐบาลจะสนับสนุนโครงการวิจัยในด้านต่างๆ
- จัดสรรนโยบายทางการเงินและการคลังให้มีความเหมาะ
- ประสานงานขอความช่วยเหลือด้านเงินทุนจากต่างประเทศ
ความเสี่ยงในการพัฒนาในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
[แก้]- กรอบของกฎหมายที่ร่างขึ้นใหม่ยังไม่ตอบสนองต่อความเป็นจริง
- เกิดปัญหาการคอร์รัปชั่นในการจัดเก็บภาษี
- ปัญหาการเข้ารับราชการ
- การแหล่งเงินทุนในการพัฒนาจากต่างประเทศ
ภาพรวมของระบบราชการ
[แก้]รัฐบาล นโยบายรัฐบาล และนโยบายการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
[แก้]นโยบายรัฐ
[แก้]พรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นองค์การที่มีอำนาจสูงสุด ผูกขาดการปกครองประเทศตามระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ พรรคฯ ได้กำหนดนโยบายและเป้าหมายการพัฒนาประเทศในการประชุมสมัชชาพรรคฯ ครั้งที่ 8 เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ 2549 ให้รัฐบาลและหน่วยงาน
- ปี พ.ศ. 2563 ต้องพ้นจากสถานการณ์เป็นประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด ต้องมีความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจต้องขยายตัวอย่างต่อเนื่องประชาชนต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากปัจจุบัน 3 เท่าตัว
- ปี พ.ศ. 2549-2553 เป็นช่วงการเสริมสร้างพื้นฐานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศที่กำหนดไว้สำหรับปี พ.ศ. 2563 เศรษฐกิจต้องมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7.5 ต่อปี ยุติการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย แก้ไขปัญหาความยากจนให้หมดสิ้นไปเตรียมพัฒนาบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรม ประชากรมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า 1,086 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีทางลาว ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มุ่งสร้างเสริมความสัมพันธ์
แบบรอบด้านกับทุกประเทศบนพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยไม่แบ่งแยกลัทธิและอุดมการณ์ เพื่อขอรับการสนับสนุนและความช่วยเหลือในการพัฒนาประเทศให้บรรลุเป้าหมายตามที่พรรคฯ ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ ทางลาว ให้ความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นลำดับแรก ได้แก่ ประเทศเวียดนาม ประเทศจีน ประเทศพม่า ประเทศกัมพูชา และประเทศไทย รองลงมาเป็นประเทศร่วมอุดมการณ์ ได้แก่ ประเทศรัสเซีย ประเทศเกาหลีเหนือ และประเทศคิวบา อย่างไรก็ดีแม้ว่าทางสปป.ลาวจะพยายามดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ให้สมดุล เพื่อลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นหลัก แต่ด้วยข้อจำกัดของทางสปป.ลาวที่ไม่มีทางออกทะเล และระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ด้อยอยู่ประกอบกับความใกล้ชิดด้านอุดมการณ์และประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อเอกราช ทำให้ทางสปป.ลาวมีความสัมพันธ์พิเศษกับเวียดนามและจีน อันเป็นผลให้ประเทศทั้งสองสามารถรักษาและขยายอิทธิพลในลาว ได้ต่อไป
สรุปนโยบายหลักเพื่อการเตรียมพร้อมของ AEC
[แก้]นโยบายต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นนโยบายที่ทางสปป.ลาวจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน พ.ศ. 2558 หรือก่อนการเปิดประเทศที่เป็นสมาชิกอาเซียนเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
- กำจัดปัญหาความยากจน
- จัดการแก้ไขปัญหาการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ประชาชนมีการศึกษาที่เท่าเทียมกัน
- ส่งเสริมสิทธิสตรีต่างๆ เพื่อให้เกิดความเสมอภาคในสตรี
- ลดอัตราการตายของเด็ก
- พัฒนาความรู้ของมารดา เพื่อใช้ในการอบรมเลี้ยงดูบุตร-ธิดาให้มีคุณภาพ
- ขจัดปัญหาโรคร้าย เช่น โรคเอดส์ โรคมาลาเรีย เป็นต้น
- ดำเนินการพัฒนาประเทศ พร้อมกับส่งเสริมสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติอย่างยั่งยืน
- พัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ เพื่อเป็นแรงสนับสนุนการพัฒนาประเทศของลาว[8]
จำนวนและรายชื่อกระทรวง
[แก้]รายชื่อกระทรวง
[แก้]ทางประเทศลาว มีกระทรวงที่ทำหน้าที่ในการดูแลกิจการต่างๆทั้งภายในและภายนอกประเทศรวมทั้งหมด 18 กระทรวงและอีกองค์การเทียบเท่าอีก 4 แห่ง มีดังนี้
- กระทรวงป้องกันประเทศ (Ministry of national Defence, Laos PDR)
- กระทรวงป้องกันความสงบ (Ministry of Public Security, Lao PDR)
- กระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง (Ministry of Public Works and Transport, Laos PDR)
- กระทรวงแผนการและการลงทุน (Ministry of Planning and Investment, Laos PDR)
- กระทรวงศึกษาธิการและกีฬา (Ministry of Education and Sports, Laos PDR)
- กระทรวงสาธารณสุข (Ministry of Public Heath (MOH), Laos PDR)
- กระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว (Ministry of Information, Culture and Tourism, Lao PDR)
- กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (Ministry of Labour Socail Welfare, Laos PDR)
- กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Ministry of Science and Technology, Laos PDR)
- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (Ministry of Natural Resources and Environment, Laos PDR)
- กระทรวงไปรษณีย์ โทรคมนาคมและการสื่อสาร (Ministry of Post, Telecommunication and Communication, Laos PDR)
- กระทรวงยุติธรรม (Ministry of Justice, Laos PDR)
- กระทรวงกสิกรรม และป่าไม้ (Ministry of Agriculture and Forestry, Laos PDR)
- กระทรวงพลังงาน และบ่อแร่ (Ministry of Energy and Mines, Laos PDR)
- กระทรวงการเงิน (Ministry of Finance, Laos PDR)
- กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (Ministry of Industry and Commerce, Laos PDR)
- กระทรวงภายใน (Ministry of Home Affairs)
- กระทรวงต่างประเทศ (Ministry of Foreign Affairs, Laos PDR)
- ห้องว่าการประธานประเทศ (Presidential Office)
- ห้องว่าการรัฐบาล (Government's Office )
- องค์การตรวจตรารัฐบาล (Government Inspection Authority)
- ธนาคารแห่ง สปป.ลาว (Bank of Lao PDR)[9]
คุณลักษณะของข้าราชการและคุณลักษณะหลักในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
[แก้]คุณลักษณะของข้าราชการ
[แก้]ระบบราชการของทางสปป.ลาว ได้แบ่งประเภทข้าราชการออกเป็น 6 ระดับ คือ ข้าราชการระดับที่ 1 และ 2 จัดเป็นเจ้าหน้าที่ทั่วไป ข้าราชการระดับที่ 3 และ 4 จัดให้เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีความเชี่ยวชาญ ข้าราชการระดับที่ 5 จัดเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับผู้บริหาร/หัวหน้างาน และข้าราชการระดับที่ 6 จัดเป็นผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาล
คุณลักษณะหลักของข้าราชการในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
[แก้]มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับอาเซียนและประชาคมอาเซียนรวมทั้งประเทศสมาชิก
- มีทักษะความรู้ด้านภาษาอังกฤษในระดับที่ดีมากในการสนทนา เจรจาต่อรอง การเขียนข้อกฎหมาย และการจัดทำข้อเสนอโครงการเป็นต้น
- มีทักษะการเจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์ รู้เทคนิคการเจรจา และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้
- มีความเชี่ยวชาญในงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของอาเซียน และมีความสามารถถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญนั้นๆ แก่เพื่อนร่วมงานได้
- มีจิตสำนึกในการทำงานเป็นทีม มีการสร้างเครือข่ายกับทุกภาคส่วน และกับประเทศสมาชิก
- มีภาวะความเป็นผู้นำ โดยมียุทธศาสตร์ในการเป็นผู้นำภาคส่วนต่างๆ ของสังคมให้ตระหนักและเข้าใจเรื่องอาเซียนและประชาคมอาเซียน
- สามารถให้บริการได้อย่างมีมาตรฐานระดับสากล โปร่งใส คล่องตัว มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ระบบการพัฒนาข้าราชการ
[แก้]ภาพรวมการพัฒนาข้าราชการ
[แก้]การบริหารราชการในประเทศลาวเป็นการบริหารแบบรวมศูนย์(Centralized) โดยมีการดำเนินการแบบเดียวกันทั่วประเทศ โดยมีการแบ่งระดับการบริหารงาน ได้แก่
- ระดับส่วนกลาง (Central) ประกอบด้วย สำนักนายกรัฐมนตรี
- ระดับภาคส่วน (Sectoral) ประกอบด้วย กระทรวงหรือองค์การที่อยู่ในระดับเดียวกัน สำนักงานประธานประเทศ องค์การพรรคการเมืองกลุ่มแนวลาวสร้างชาติ ศาลประชาชน และศาลอุทธรณ์ และ
- ระดับท้องถิ่น (Local)
ข้าราชการในสปป.ลาว หมายถึง เจ้าหน้าที่ในองค์การพรรครัฐบาลกลุ่มแนวลาวสร้างชาติ องค์การมวลชนทั้งในระดับส่วนกลาง แขวง และเมือง รวมถึงสำนักงานตัวแทนของสปป.ลาวในต่างประเทศ ซึ่งไม่รวมถึงสมาชิกสภาที่มิได้เป็นสมาชิกพรรค ทหาร ตำรวจ พนักงานรัฐวิสาหกิจและลูกจ้างชั่วคราว โดยข้าราชการในสปป.ลาวแบ่งออกเป็น 6 ระดับได้แก่ ระดับ 1 และ 2 เป็นกลุ่มพนักงานธุรการ ระดับ 3 4 และ 5 เป็นกลุ่มพนักงานระดับผู้เชี่ยวชาญ และระดับ 6 เป็นระดับสูงสุดสำหรับตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาล เช่น รัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี และที่ปรึกษาอาวุโสในสปป.ลาวนอกจากข้าราชการที่มีตำแหน่งถาวร (การจ้างงานตลอดชีพ) ที่ได้รับค่าตอบแทนและผลประโยชน์อื่นๆ ตามที่กำหนดอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีตำแหน่งในระบบข้าราชการสปป.ลาวอีก 3 ประเภท
- ประเภทแรก คือ แบบสัญญาร้อยละ 95 โดยผู้ปฏิบัติงานจะได้ระบบบริหารราชการของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 127รับเงินค่าจ้างคิดเป็นร้อยละ 95 ของตำแหน่งถาวร แต่ไม่ได้รับประโยชน์ด้านสวัสดิการอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานแบบการทำสัญญานี้ ส่วนใหญ่จะถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะบรรจุเข้าในตำแหน่งแบบถาวร แต่จำเป็นต้องรอเนื่องจากอัตราการจ้างมีจำกัด
- ประเภทที่ 2 คือ แบบอาสาสมัคร ไม่มีการการันตีรายรับ แต่ผู้ปฏิบัติงานจะได้รับเงินค่าจ้างตามงานที่ทำและตามงบประมาณที่มีในหน่วยงานนั้น
- ประเภทสุดท้าย คือ แบบสัญญาจ้างงานชั่วคราว การจ้างงานรูปแบบนี้เคยบรรจุอย่างเป็นทางการ ซึ่งรัฐบาลสปป.ลาว ค่อยๆ ลดจำนวนลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 แต่ยังคงพบการจ้างงานประเภทนี้อยู่ในบางจังหวัดและบางภาคส่วน ผู้ปฏิบัติงานรูปแบบนี้จะได้รับเงินเดือนต่ำกว่าระดับสัญญาร้อยละ 95 และไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ และระยะเวลาของสัญญามีจำกัด แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีการต่อสัญญาเสมอก็ตาม
กลยุทธ์การพัฒนาข้าราชการ
[แก้]การจัดฝึกอบรมด้านการพัฒนาข้าราชการ
[แก้]รายงานของ สปป.ลาว ระบุว่า สปป.ลาวอยู่ในช่วงของการปฏิรูประบบราชการให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตามปัญหาที่ภาคราชการ สปป.ลาว กำลังประสบอยู่ คือ การสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้าสู่ภาคราชการ ดังนั้นการพัฒนาข้าราชการให้มีทักษะและภาวะผู้นำโดยวิธีการพัฒนาในการจัดหลักสูตรการศึกษา การจัดฝึกอบรม การฝึกอบรมข้าราชการใน สปป.ลาว แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- การฝึกอบรมขั้นพื้นฐาน (Basic Training) หมายถึง การอธิบายให้ข้าราชการเข้าใหม่ใจเกี่ยวกับกฎระเบียบสำหรับข้าราชการใน สปป.ลาว
- การฝึกอบรมระหว่างการประจำการ (Regular ln-service Training) หมายถึง การฝึกอบรม การเสริมสร้างขีดความสามารถเกี่ยวกับทฤษฎีด้านกรเมือง ความรู้ด้านเทคนิคเฉพาะสำหรับข้าราชการ
- การฝึกอบรมก่อนเข้ารับตำแหน่งใหม่ (Training Prior to Assuming New Duty and position) หมายถึง การฝึกอบรม การเสริมสร้างขีดความสามารถเกี่ยวกับทฤษฎีด้านการเมือง ความรู้ด้านเทคนิคและความรู้พื้นฐานที่จำเป็นอื่นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับตำแหน่งหน้าที่ใหม่และซับซ้อนมากขึ้น[10]
โดยการคัดเลือกข้าราชการเพื่อรับการฝึกอบรมหรือเสริมสร้างขีดความสามารถจะพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
- ผลการประเมินการปฏิบัติงานที่ผ่านมาก
- ความจำเป็นต่อหน่วยงานและงานที่รับผิดชอบ
- มีจุดมุ่งหมายที่จะรับหน้าที่ในตำแหน่งที่ว่างหรือตำแหน่งผู้บริหาร
การกระตุ้นความสามารถในการทำงานโดยการปรับโครงสร้างรายได้ของข้าราชการ
[แก้]สปป.ลาวมีเป้าหมายในการพัฒนาเชิงกลยุทธ์เพื่อการดำเนินงานให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพและความมั่นคงในการตอบแทนรายได้ให้แก่บุคลากร เนื่องจากในปัจจุบันการจัดสัดส่วนอัตราเงินเดือนของ สปป.ลาวยังไม่เป็นระบบ และอัตราค่าจ้างโดยทั่วไปยังเป็นอัตราที่ต่ำกว่าความสามารถจริงตามตลาดแรงงานทำให้ประชาชนที่มีความรู้ความสามารถดังนั้นจึงได้มีการปรับปรุงระบบการจัดการทรัพยากรในการดึงดูดและกระตุ้นบุคลากรที่มีคุณภาพ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาโดยในปัจจุบันรัฐบาล สปป.ลาว ได้มอบหมายให้สำนักงานข้าราชการพลเรือนและการบริหารรัฐกิจเป็นผู้นำในการร่างกลยุทธ์ใหม่ที่คราอบคลุมการบริหารข้าราชการพลเรือนที่จะดำเนินการในช่วง พ.ศ. 2553-2563 โดยได้มีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานงานดังนี้
- มีความเป็นธรรมในการจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ คือ ค่าจ้างไม่สูงหรือต่ำกว่าความสามารถจริง
- สอดคล้องกับตลาดแรงงานและสามารถแข่งขันได้
- อัตราเงินเดือนต้องมีความยืดหยุ่นตามประสบการณ์
- ต้องสอดคล้องกับการประเมินผล
- สามารถอธิบายเหตุผลในความแตกต่างองการกำหนดหรือปรับค่าจ้างให้พนักงานได้เข้าใจชัดเจน
กระทรวงภายใน
[แก้]เป็นกระทรวงที่กำกับดูแล รวมถึงบังคับใช้มาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของสปป.ลาว โดยหน้าที่หลักของกระทรวงภายในมีดังนี้
- ศึกษาและทำความเข้าใจในนโยบายของพรรค รัฐบาล รัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อออกกฎระเบียบว่าด้วยการบริหารราชการ
- มีหน้าที่ประกาศนโยบายของพรรคและรัฐบาลที่เกี่ยวกับการประเมินผลการดำเนินงาน
- เผยแพร่ความรู้ต่อข้าราชการพลเรือนในประเด็นต่างๆทางการเมือง เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารราชการ
- ศึกษาวิจัย และกำหนดระเบียบ ข้อบังคับ และเสนอคำแนะนำในการฝึกอบรมและพัฒนาข้าราชการ
- เตรียมความพร้อมในการฝึกอบรม เพื่อการพัฒนาแผนการต่างๆสำหรับข้าราชการในแต่ละช่วงเวลา
- กำหนดหลักสูตรการบริหารราชการ และการบริหารงานสาธารณะสำหรับข้าราชการพลเรือนในเป้าหมายที่แตกต่างกันตามหน้าที่ความรับผิดชอบ
- เก็บรวบรวมสถิติ รวมถึงการสร้างฐานข้อมูล และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกอบรมต่างๆ
- จัดการประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการในการบริหารราชการตามระเบียบ
- สรุปและประเมินผลจากการประชุม ACCSM ในแต่ละครั้ง
- รับผิดชอบการสร้างศูนย์วิทยบริการของสปป.ลาว
- ติดต่อประสานงานในประเด็นความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศในการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาข้าราชการ
- สรุป และรายงานความคืบหน้าการทำงานของแผนกต่างๆ ในกระทรวงเพื่อจะรายงานผลสรุปแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงภายในต่อไปตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้
- รับผิดชอบงานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงภายใน
สำนักงานข้าราชการพลเรือนและการบริหารรัฐกิจ
[แก้]สำนักงานข้าราชการพลเรือนและการบริหารรัฐกิจหรือ (The Public Administration and Civil ServiceAuthority) เป็นองค์การของรัฐในระดับกลาง ซึ่งอยู่ภายใต้โครงสร้างองค์การของสำนักนายกรัฐมนตรี (Prime Minister’s Office, Lao PDR) โดยมีหน้าที่หลักดังนี้
- ดำเนินการร่างแผนกลยุทธ์ นโยบาย และแผนพัฒนาการบริหารงานภาครัฐ และการจัดการบริการทางแพ่ง
- กำหนดแผนงานและโครงการเพื่อการปรับปรุงกฎระเบียบของการบริหารงานภาครัฐ และปรับกฎระเบียบเกี่ยวกับข้าราชการเป็นระยะๆ
- ปลูกฝังค่านิยมของความซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดี เพื่อให้ขั้นตอนการบริหารงานเป็นไปอย่างโปร่งใส และมีความน่าเชื่อถือ
- ดำเนินการด้านการศึกษาเพื่อร่างกฎหมาย และกฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานภาครัฐ
- ดำเนินการด้านการศึกษาความเป็นไปได้ของการปรับปรุงโครงสร้างในการปรับปรุงคุณภาพของกระทรวง องค์การที่เทียบเท่าและองค์การภาครัฐในระดับจังหวัด- กำกับดูแล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับโครงสร้าง และบทบาทหน้าที่ของกระทรวง องค์การที่เทียบเท่ากับโครงสร้างของรัฐบาล
- ส่งเสริมรัฐบาลในการศึกษาการร่างระเบียบที่เกี่ยวกับการจัดตั้งองค์การมวลชน
- เป็นที่ปรึกษาเพื่อให้คำแนะนำแก่กระทรวง องค์การที่เทียบเท่าและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดตั้งและการบริหารจัดการกิจกรรมขององค์การดังกล่าว
- ส่งเสริมการสร้างงานอย่างถาวรในท้องถิ่น
- รวบรวมสถิติเพื่อเก็บเป็นข้อมูลของข้าราชการพลเรือนทั่วประเทศ[11]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ ความหมายของระบบราชการ.(ม.ป.ป.).สืบค้นมาจาก:www.thaihrwork.com/ความหมายของระบบราชการ.สืบค้นเมื่อ:วันที่27 เมษายน 2560.
- ↑ ศูนย์อาเซียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(2558).สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว.สืบค้นมาจาก:http://www.fact.fti.or.th/th/.สืบค้นเมื่อ:วันที่23 เมษายน 2560.
- ↑ ขนิษฐา โตเลี้ยง,และสุวิมล อุตอามาตย์.2556.100 เรื่องน่ารู้ในลาว.กรุงเทพฯ:บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน),ตลิ่งชัน.
- ↑ P.Anuwat.2556.สะบายดี ประเทศลาว.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์เพาเวอร์ เบสท์.
- ↑ (ม.ป.ป.).แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติลาวฉบับที่ 7(2554-2558).สืบค้นมาจาก:http://www.thaisavannakhet.com/vientiane/th/about/about_news/7th%20econ%20plan.pdf.สืบค้นเมื่อ:วันที่23 เมษายน 2560.
- ↑ ลาวยุคอาณานิคมฝรั่งเศส.(ม.ป.ป.).สืบค้นมาจาก:https://sites.google.com/site/pollawat1106/khwam-taek-yaek-ni-xns-cakr-lan-chang/law-yukh-xananikhm-frangses.สืบค้นเมื่อ:วันที่ 20 เมษายน 2560.
- ↑ มหาบุนมี เทบสีเมือง(2556).ความเป็นมาของชนชาติลาว.กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ตถาตา.600 หน้า.
- ↑ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(2556).ระบบราชการของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว:กรกนกการพิมพ์.200หน้า
- ↑ กระทรวงสปป.ลาว(ม.ป.ป.).สืบค้นมาจาก:http://chadiousburg.exteen.com/20120508/ministries-of-lao-pdr.สืบค้นเมื่อ:วันที่25 เมษายน 2560.
- ↑ ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท์(2556).อาเซียนศึกษา.กรุงเทพฯ.:สำนักพิมพ์แมกกอฮิลล์,พญาไท.
- ↑ สถาบันพระปกเกล้า.2556.ระบบการปกครองท้องถิ่นของประเทศลาว.สืบค้นมาจาก:www.kpi.ac.th/kpith/pdf/ผลงาน/.../เนื้อในลาว_ok%2013-08-56.pdf.สืบค้นเมื่อ:วันที่23 เมษายน 2560.