ผู้ใช้:นางสาววรรณภา/กระบะทราย
การคลังสาธารณะประเทศไทย[แก้]
ประเทศไทย มีพื้นที่ 514,000 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวงชื่อ กรุงเทพมหานคร มีประชากร 69,519,000 คน กำลังแรงงาน จำนวน 36.42 ล้านคน ผู้มีงานทำ 35.68 ล้านคน ซึ่งประกอบคนที่ทำงานในภาคเกษตรกรรมร้อยละ 39.45 และทำงานนอกภาคเกษตรกรรมร้อยละ 60.55 มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ศาสนาที่นับถือส่วนมากเป็นพุทธร้อยละ 95.6 อิสลามร้อยละ 4.6 คริสต์ร้อยละ 0.7 และอื่นๆร้อยละ 0.1 ภาษาราชการที่ใช้คือ ภาษาไทย[1]
โครงสร้างอำนาจรัฐของประเทศไทย[แก้]
รัฐ หมายถึง ชุมชนทางการเมืองของมนุษย์ อันประกอบด้วยดินแดนที่มีขอบเขตแน่นอน มีประชากรอาศัยอยู่ในจำนวนที่เหมาะสม โดยมีรัฐบาลปกครองและมีอำนาจอธิปไตยของตัวเอง ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ใช้รูปแบบรัฐเดี่ยว (Unitary state) ยึดหลักการแยกอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการออกจากกัน
- อํานาจนิติบัญญัติ รัฐสภา ทําหน้าที่ตรากฎหมายขึ้นใช้ในประเทศ
- อํานาจบริหาร คณะรัฐมนตรี (รัฐบาล) ทําหน้าที่บริหารประเทศ
- อํานาจตุลาการ ศาล ทําหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี
ความสัมพันธ์กันระหว่างอํานาจทั้ง 3 คือจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยที่รัฐธรรมนูญจะให้ความสัมพันธ์ของอํานาจทั้งสามสมดุลกันควบคุมซึ่งกันและกันและไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอำนาจใดอำนาจหนึ่ง เนื่องจากการปกครองระบอบประชาธิปไตย ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภาคณะรัฐมนตรีและศาลจึงเป็นไปตามหลักการของประชาธิปไตย แบบรัฐสภา [2]
รายละเอียดเกี่ยวกับหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลประเทศไทย และหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายการเงินของประเทศไทย[แก้]
หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐบาลประเทศไทย[แก้]
กระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลังแผ่นดิน การประเมินราคาทรัพย์สิน การบริหารพัสดุภาครัฐ กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่ผู้เดียวตามกฎหมายและไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น การบริหารหนี้สาธารณะ การบริหารและการพัฒนารัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์องรัฐ และราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการคลังหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงการคลัง
พันธกิจตามกฎหมายของกระทรวงการคลัง
- เสนอแนะและกำหนด นโยบายการคลังและระบบการเงิน, นโยบายภาษี, นโยบายรายจ่ายและหนี้สาธารณะ
- บริหารการจัดเก็บภาษี, บริหารรายรับรายจ่ายและหนี้สาธารณะ,บริหารพัสดุภาครัฐ ที่ราชพัสดุ เหรียญกษาปณ์ รัฐวิสาหกิจและหลักทรัพย์, บริหารทรัพย์สินอื่นๆของรัฐ[3]
หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายการเงินของประเทศไทย[แก้]
ธนาคารแห่งประเทศไทย มีหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินภายใต้อำนาจตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 สถาบันการเงินที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำกับดูแล ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ไทย ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ สาขาของธนาคารต่างประเทศ สำนักงานผู้แทนธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ บริษัทบริหารสินทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (non-bank) บางประเภท ได้แก่ ธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
บทบาทหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย
- ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาลและบัตรธนาคาร
- กำหนดและดำเนินนโยบายการเงิน
- บริหารจัดการสินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย
- เป็นนายธนาคารและนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล
- เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน
- จัดตั้งหรือสนับสนุนการจัดตั้งระบบการชำระเงิน
- กำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
- บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราภายใต้ระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา รวมทั้งบริหารจัดการสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตรา ตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา
- ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน[4]
โครงสร้างระบบภาษีของไทย[แก้]
ผู้เสียภาษีหรือหน่วยภาษี หมายถึง บุคคลที่กฎหมายกำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี
- หลักแหล่งเงินได้ เช่น บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
- หลักถิ่นที่อยู่ เช่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบำรุงท้องที่
- หลักสัญชาติ เช่น คนต่างด้าวเสียภาษีรายหัวที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมคนต่างด้าว
- หลักการบิริโภค เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต อากรแสตมป์
ฐานภาษี หมายถึง ฐานภาษี คูณ อัตราภาษี จะได้จำนวนภาษีมี 4 ฐาน
- ฐานเงินได้ เช่น เงินได้พึงประมาณสุทธิบุคคลธรรมดา กำไรทางภาษีนิติบุคคล
- ฐานการบริโภค เช่น รายรับก่อนหักรายจ่าย รายได้ที่ใช้เป็นฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจ ภาษีสรรพสามิต อากรศุลกากร
- ฐานทรัพย์สิน เช่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีรถยนต์ ภาษีบำรุงท้องที่ทรัพย์สิน
- ฐานสิทธิพิเศษในการประกอบกิจการ เช่น สัมปทานภาครัฐ สุรา รังนก ปิโตรเลียม
ฐานภาษี หมายถึง อัตราร้อยละในการคำนวณหาจำนวนภาษี คูณ ฐานภาษี
- อัตราคงที่ เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยทั่วไปร้อยละ 30 องกำไรทางภาษี
- อัตราเพิ่มขึ้นหรืออัตราก้าวหน้า เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- อัตราลดลงหรืออัตราถอยหลัง เช่น อัตราภาษีบำรุงท้องที่จะลดลงเมื่อราคากลางต่อกำไรสูงขึ้น
วิธีการชำระภาษี หมายถึง เมื่อคำนวณภาษีได้แล้วสามารถชำระได้ 4 วิธี
- การประเมินตนเอง เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ วิธีนี้เหมาะกับภาษีอากรที่มีฐานก้าว ผู้เสียภาษีจำนวนมาก คำนวณภาษีอากรไม่ยุ่งยาก
- การประเมินโดยเจ้าพนักงาน เช่น ภาษีสรรพสามิต อากรศุลกากร ภาษีโรงเรือนและที่ดิน การยื่นแบบเพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าพนักงาน ผู้เสียภาษีต้องชำระภาษีทันทีเมื่อเจ้าพนักงานประเมิน วิธีนี้เหมาะกับฐานภาษีที่แคบ ผู้เสียภาษีจำนวนน้อย การคำนวณยุ่งยาก ซึ่งอาจมีการคำนวณภาษีภายหลัง
- การหักภาษี ณ ที่จ่าย เป็นการเครดิตภาษีของผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
- การชำระภาษีล่วงหน้า เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีโดยการประมาณกำไรเพื่อเสียภาษี
วิธีการหาข้อยุติในจำนวนภาษี หรือวิธีขจัดข้อโต้แย้งทางภาษีอากร
ขั้นที่ 1 การประเมินของเจ้าหน้าที่พนักงานภาษีอากร
กรณีที่ 1 ภาษีอากรจากการประเมินตนเอง เมื่อเจ้าพนักงานภาษีอากรเพิ่ม ถ้าผู้เสียภาษีไม่คัดค้านเป็นอันยุติลง แต่ถ้าผู้เสียภาษีคัดค้านจะนำไปสู่ขั้นที่ 2
กรณีที่ 2 ภาษีอากรจากการประเมินโดยเจ้าพนักงาน เมื่อเจ้าพนักงานภาษีอากรเพิ่ม ถ้าผู้เสียภาษีไม่คัดค้านเป็นอันยุติลง แต่ถ้าผู้เสียภาษีคัดค้านจะนำไปสู่ขั้นที่ 2
ขั้นที่ 2 การวินิจฉัยองหน่วยอุทธรณ์ของฝ่ายบริหาร คือ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หรืออธิบดีหน่วยงานจัดเก็บภาษี มีคำวินิจฉัยชี้ขาดออกมา หากผู้เสียภาษีไม่พอใจให้ดำเนินการขั้นที่ 3
ขั้นที่ 3 การพิจารณาคดีในศาล คือ ศาลภาษีอากรและศาลฎีกา รัฐไม่มีสิทธินำคดีขึ้นสู่ศาลภาษีอากร แต่มีสิทธินำขึ้นศาลฎีกาได้ กฎหมายภาษีอากรอาจกำหนดให้ใช้วิธีอนุญาตตุลาการโดยไม่ผ่านศาลก็ได้
การบังคับทางภาษี
- โทษทางอาญา มีทั้งโทษจำและปรับ
- โทษทางแพ่ง-เบี้ยปรับ การไม่เสียภาษีอากรหรือเสียน้อยกว่าที่ควรเสีย ต้องโทษปรับเงินเพิ่ม 1 หรือ 2 เท่า ศาลมีอำนาจที่จะงดหรือลดเบี้ยปรับนี้ได้
- โทษทางแพ่ง-เงินเพิ่ม ไม่ชำระเงินภายในการกำหนดเวลา เสียดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือน ศาลไม่มีอำนาจที่จะงดหรือลดเงินเพิ่มนี้ได้
- โทษทางแพ่ง-ยึด อายัดและขายทอดตลาด ยึดทรัพย์ขายทอดตลาดที่เหลือคืนได้
ภาษีที่จัดเก็บในประเทศไทยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม[แก้]
ภาษีทางตรง ประกอบด้วย
1.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- บุคคลธรรมดา
- ห้างหุ้นส่วน หรือ คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
- ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี
- กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
อัตราการเสียภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดา
- รายได้ตั้งแต่ 0-300,000 อัตราภาษีร้อยละ 5
- รายได้ตั้งแต่ 300,001-500,000 อัตราภาษีร้อยละ 10
- รายได้ตั้งแต่ 500,001-750,000 อัตราภาษีร้อยละ 15
- รายได้ตั้งแต่ 750,001-1,000,000 อัตราภาษีร้อยละ 20
- รายได้ตั้งแต่ 1,000,001-2,000,000 อัตราภาษีร้อยละ 25
- รายได้ตั้งแต่ 2,000,001-5,000,000 อัตราภาษีร้อยละ 30
- รายได้ตั้งแต่ 5,000,001 ขึ้นไป อัตราภาษีร้อยละ 35
2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล ผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
- บริษัทจำกัด บริษัทมหาชน ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ
- กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้า หรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ และนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
- กิจการร่วมค้า
- มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้
- นิติบุคคลที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง
อัตราการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
- รายได้ไม่เกิน 300,000 อัตราการเสียภาษี ยกเว้น
- รายได้ตั้งแต่ 300,001 แต่ไม่เกิน 3,000,000 อัตราการเสียภาษีร้อยละ 15
- รายได้ตั้งแต่ 3,000,000 ขึ้นไป อัตราการเสียภาษีร้อยละ 20
ภาษีทางอ้อม ประกอบด้วย
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดเก็บจากผู้บริโภคคนสุดท้ายเป็นภาษีทางอ้อมสามารถผลักภาระภาษีได้
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ จัดเก็บจากผู้บริโภคคนสุดท้าย เป็นภาษีทางอ้อมสามารถผลักภาระภาษีได้ เป็นกิจการที่ไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ธนาคาร ธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ ประกันชีวิต การขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้ากำไรการรับจำนำ
- อากรแสตมป์ การเก็บภาษีอากรจากการกระทำตราสารบางประเภทที่มีการลงลายมือชื่อตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนด[5][6][7]
การบริหารรายจ่ายภาครัฐ [แก้]
เมื่อฝ่ายบริหารได้จัดทำแผนงบประมาณและได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว จะเป็นนั้นตอนการนำแผนงบประมาณปฏิบัติ หรือเรียกว่า การบริหารงบประมาณรายจ่าย ซึ่งจรัส สุวรรณมาลา(2546) กล่าวว่าเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในวงจรงบประมาณภาครัฐ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมากที่สุด มีกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติข้อเกี่ยวข้องจำนวนมาก ใช้ระยะเวลายาวนานทั้งในระหว่างปีงบประมาณและเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณแล้วก็จำเป็นจะต้องมีการติดตามและประเมินผลโครงการ และเป็นกระบวนการที่มีปัญหาในเชิงปฏิบัติการมากที่สุด เช่น ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง ปัญหาการเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง ปัญหาความหย่อนยานในการทำงาน หรือปัญหาการรั่วไหลของงบประมาณ เป็นต้น
การบริหารงบประมาณรายจ่ายมีหลักการและขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้
- การจัดทำงบประมาณ
- การอนุมัติงบประมาณ
- การบริหารงบประมาณ
- การควบคุมและตรวจสอบติดตามประเมินผล
หน่วยงานที่มีหน้าที่เสนอร่างงบประมาณ[แก้]
หน่วยงานที่มีหน้าที่เสนอร่างงบประมาณคือ คณะรัฐมนตรี เป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ ซึ่งจัดตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการใช้กฎหมายในการบริหาร การเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ และร่างพระราชบัญญัติอื่น ๆ และการรายงานทั้งเรื่องภายในและภายนอกประเทศ ต่อสภาไทย
หน่วยงานที่เป็นผู้อนุมัติงบประมาณ[แก้]
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีของรัฐสภา ซึ่งจะแยกพิจารณา เป็น 3 วาระ ดังนี้
- วาระที่ 1 จะรับหลักการแห่งพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปีหรือไม่ ถ้ารับก็ดำเนินการตามวาระ ที่ 2 ต่อไป
- วาระที่ 2 เมื่อรับหลักการในวาระที่ 1 แล้ว วาระที่ 2 รัฐสภาก็จะตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นแปรบัญญัติ (พิจารณาแก้ไข) คณะกรรมาธิการจะประกอบด้วยสมาชิกรัฐสภา และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลพิจารณาแก้ไขตัดทอนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย
- วาระที่ 3 เมื่อพิจารณาแก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว คณะกรรมาธิการจะเสนอว่า พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบที่จะตราเป็นพระราชบัญญัติเพื่อบังคับใช้ต่อไป[8][9][10]
ปัญหาสำคัญในการบริหารรายจ่ายสาธารณะของไทย[แก้]
ปัญหากระบวนการจัดทำงบประมาณ[แก้]
- กฎหมาย ระเบียบข้อบังคบและมติคณะรัฐมนตรีไม่สอดคล้องกัน
- ขอบเขตงบประมาณไม่ครอบคลุมเงินทั้งหมด ขาดกระบวนการและกลไกบริหารการคลังมหาภาคของรัฐไม่สามารถบริหารเงินเข้าระบบได้อย่างแท้จริง
- เจ้าหน้าที่งบประมาณที่ทำหน้าจัดทำงบประมาณก็มีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการใช้ทรัพยากรของแผนงาน
- ขาดการนำเสนอภาพรวมของฐานะการเงินของภาครัฐ
- ขาดผลการประเมินผลของการใช้จ่ายเงินในโครงการและแผนงานต่างๆ สำหรับใช้ในการตัดสินใจในเชิงนโยบาย
ปัญหาการบริหารงบประมาณ[แก้]
- ความล่าช้า สาเหตุมาจากมีกฎระเบียบต่างๆมากมายเพื่อป้องกันการทุจริต
- บุคคลากร มีปัญหาในด้านปริมาณและคุณภาพของแต่ละหน่วยงานมีไม่เท่าเทียมกัน
- การบริหารงานงบประมาณเป็นแบบรวมอำนาจ และมีการควบคุมการจัดสรรงบประมาณอ่างเข้มงวด ขาดความยืดหยุ่น ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
ปัญหาในการติดตามและประเมินผล[แก้]
- ขาดความร่วมมือในการติดตามและประเมินผล
- เจ้าหน้าที่ที่จะไปติดตามและประเมินผลมีไม่เพียงพอ
- ระยะเวลาการจัดทำและพิจารณาน้อย ทำให้การพิจารณาให้ละเอียดและรอบคอบเป็นไปได้ยาก[11][12]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ ข้อมูลพื้นฐานประเทศไทย. กองประสานการลงทุน. 9 ม.ค. 2013 สืบค้นจาก http://th.aectourismthai.com/tourismhub/932 สืบค้นเมื่อ 1 เม.ย 2560
- ↑ นิติศาสตร์ ม.รามคำแหง รุ่นที่ 2 สืบค้นจาก http://rulawkk26.blogspot.com/ สืบค้นเมื่อ 1 เม.ย 2560
- ↑ กระทรวงการคลัง. สืบค้นจาก http://jameconomics.weebly.com/361036073610363436073649362136323627360936573634360736373656.html สืบค้นเมื่อ 1 เม.ย 2560
- ↑ ธนาคารแห่งประเทศไทย.สืบค้นจาก https://www.bot.or.th/Thai/AboutBOT/RolesAndHistory/Pages/RolesAndResponsibility.aspx สืบค้นเมื่อ 1 เม.ย 2560
- ↑ สมชัย ฤชุพันธ์. 2526 เศรษฐทัศน์ว่าด้วยภาษีอากรในเมืองไทย. กรุงเทพมหานคร:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ↑ ฐานเศรษฐกิจ, น.ส.พ. ภาษีมูลค่าเพิ่ม. หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับพิเศษครบรอบ 11 ปี (มกราคม 2535).
- ↑ กรมสรรพากร. ประมวลรัษฎากร ฉบับอิเล็กทรอนิกส์. (30 ธ.ค. 2559)
- ↑ ประยุทธ์ สวัสดิ์เรียวกุล “การจัดการงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์” สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี, 25 มกราคม 2547
- ↑ ดร.ณรงค์ สัจพันธ์โรจน์ “การจัดทำอนุมัติและการบริหารงบประมาณแผ่นดิน ทฤษฎีและปฏิบัติ” บพิธการพิมพ์.:กรุงเทพ 2538
- ↑ เอนก เธียรถาวร และคณะ. ๒๕๓๕. หนังสือเรียนสังคมศึกษา รายวิชา ส ๐๖๒ การเงิน การธนาคาร และการคลัง . กรุงเทพมหานคร : วัฒนาพานิช
- ↑ ร.ศ.นคร ยิ้มศิริวัฒนะ. 2548 “การคลังรัฐบาล” คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- ↑ อรัญ ธรรมโน, ดร. 2517. การคลัง. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์กรมสรรพสามิต