ปัญหาราชวงศ์
ปัญหาราชวงศ์ (ฝรั่งเศส: Question royale, ดัตช์: Koningskwestie) เป็นวิกฤตการเมืองครั้งใหญ่ในเบลเยียม ในช่วงปี ค.ศ. 1945 ถึง 1951 และความขัดแย้งปะทุถึงขีดสุดในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1950 "ปัญหา" ที่เกิดขึ้นนั้นอยู่รายล้อมพระเจ้าเลออปอลที่ 3 แห่งเบลเยียมในเรื่องที่พระองค์จะสามารถกลับประเทศและทรงกลับมามีบทบาทตามรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ท่ามกลางข้อกล่าวหาถึงบทบาทของพระองค์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญเบลเยียมหรือไม่ ปัญหานี้แก้ไขโดยการสละราชบัลลังก์ของกษัตริย์เลออปอลให้แก่สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงแห่งเบลเยียม พระราชโอรส ในปี ค.ศ. 1951
วิกฤตเกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์เลออปอลที่ 3 และรัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรีอูแบร์ ปิแยร์โลต์ในช่วงกองทัพเยอรมันรุกรานเบลเยียม ค.ศ. 1940 กษัตริย์เลออปอลทรงถูกตั้งข้อสงสัยว่าทรงเห็นอกเห็นใจระบอบเผด็จการและพระองค์ทรงบัญชาการกองทัพเบลเยียมในช่วงสงคราม เมื่อพิจารณาถึงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญของพระองค์ พระองค์จะทรงมีฐานะเป็นผู้บัญชาการทหารที่มีความสำคัญกว่าบทบาทหน้าที่พลเรือนในฐานะประมุขแห่งรัฐ พระองค์ปฏิเสธที่จะละทิ้งกองทัพของพระองค์และปฏิเสธที่จะร่วมรัฐบาลพลัดถิ่นเบลเยียมในฝรั่งเศส การที่กษัตริย์เลออปอลที่ 3 ทรงปฏิเสธที่จะเชื่อฟังคณะรัฐบาลถือเป็นวิกฤตรัฐธรรมนูญ และหลังจากทรงยอมจำนนต่อเยอรมนีในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 กษัตริย์เลออปอลทรงถูกประณามอย่างแพร่หลาย ในช่วงการยึดครองของเยอรมัน กษัตริย์เลออปอลทรงถูกกักบริเวณในพระราชวังซึ่งพระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าทรงประทับเพื่อรับความทุกข์ทรมานร่วมกับพสกนิกรของพระองค์ ฝ่ายสัมพันธมิตรปลดปล่อยประเทศในปี ค.ศ. 1944 นาซีได้ย้ายพระองค์ไปอยู่เยอรมนี
เมื่อเบลเยียมได้รับการปลดปล่อยแต่พระมหากษัตริย์ยังคงถูกคุมขังอยู่ ได้มีการเลือกเจ้าชายชาลส์ เคานต์แห่งฟลานเดอร์ พระอนุชาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าพระมหากษัตริย์ "ไม่สามารถปกครองได้อีกต่อไป" ตามรัฐธรรมนูญ ประเทศเกิดความแตกแยกทางการเมืองด้วยปัญหาว่าพระมหากษัตริย์จะสามารถกลับมาทำหน้าที่ได้อีกหรือไม่ และด้วยขบวนการทางการเมืองฝ่ายซ้ายเข้ามาควบคุมการเมือง กษัตริย์เลออปอลจึงทรงลี้ภัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1950 มีการลงประชามติระดับชาติที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลใหม่สายกลาง-ขวา เพื่อตัดสินว่ากษัตริย์เลออปอลจะทรงสามารถเสด็จกลับมาได้หรือไม่ แม้ว่าผลการลงประชามติที่ออกมาจะเป็นชัยชนะของฝ่ายนิยมกษัตริย์เลออปอล แต่ก็ทำให้เกิดความแตกแยกในระดับภูมิภาคอย่างรุนแรงระหว่างแฟลนเดอส์ ซึ่งต้องการให้พระมหากษัตริย์กลับมา กับบรัสเซลส์และเขตวัลลูน นั้นต่อต้านพระมหากษัตริย์ กษัตริย์เลออปอลที่ 3 เสด็จกลับเบลเยียมในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1950 พระองค์ได้รับการต้อนรับด้วยการประท้วงขนานใหญ่ในประเทศโดยเฉพาะในเขตวัลลูนและมีการนัดหยุดงานทั่วไป ความไม่สงบดังกล่าวนำมาซึ่งกรรมกร 4 คนถูกสังหารโดยตำรวจในวันที่ 30 กรกฎาคม ด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายลงอย่างรวดเร็วในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1950 กษัตริย์เลออปอลที่ 3 ทรงประกาศตั้งพระทัยที่จะสละราชบัลลังก์ หลังจากช่วงการเปลี่ยนผ่าน พระองค์สละราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1951
ภูมิหลัง
[แก้]สถาบันพระมหากษัตริย์และรัฐธรรมนูญ
[แก้]เบลเยียมได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1830 และมีการประกาศจัดตั้งราชาธิปไตยของปวงชนด้วยราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นระบบสองสภาของประชาธิปไตยแบบรัฐสภา รัฐธรรมนูญเบลเยียมแนวเสรีนิยมถูกร่างขึ้นในปี ค.ศ. 1831 ซึ่งบัญญัติในเรื่องของความรับผิดชอบและข้อจำกัดที่กำหนดให้กับพระมหากษัตริย์ แม้ว่าพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐจะถูกจำกัดไม่ให้กระทำการใด ๆ โดยปราศจากความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี แต่พระองค์ก็ได้รับอนุญาตให้มีพระอำนาจควบคุมกองทัพได้อย่างเต็มที่ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ความรับผิดชอบใดที่มีลำดับเหนือกว่าถ้าหากมีข้อขัดแย้งกันก็จะถูกปล่อยให้คลุมเครือ และความคลุมเครือนี้เป็นปัจจัยสำคัญของปัญหาราชวงศ์[1]
พระมหากษัตริย์พระองค์แรกคือ พระเจ้าเลออปอลที่ 1 แห่งเบลเยียม ทรงยอมรับเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญแต่พระองค์ทรงพยายามใช้โอกาสจากความคลุมเครือนี้ในการเพิ่มพระราชอำนาจของพระองค์อย่างละเอียดรอบคอบ สิ่งนี้ดำเนินต่อในรัชกาลถัดไป แม้ว่าจะประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก็ตาม[2]
กษัตริย์เลออปอลที่ 3
[แก้]พระเจ้าเลออปอลที่ 3 แห่งเบลเยียมครองราชย์ในปี ค.ศ. 1934 หลังจากพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1 พระราชบิดาเสด็จสวรรคตด้วยอุบัติเหตุขณะทรงปีนเขา กษัตริย์อัลแบร์ที่ 1 ทรงได้รับพระสมัญญานามว่า "กษัตริย์อัศวิน" (Knight King; roi-chevalier หรือ koning-ridder) ด้วยทรงได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชาวเบลเยียมจากการที่ทรงบัญชาการกองทัพเบลเยียมในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1914 - 1918) ซึ่งหลายประเทศตกอยู่ภายใต้การยึดครองของเยอรมนี รัชสมัยของกษัตริย์เลออปอลที่ 3 ต้องประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และความปั่นป่วนทางการเมืองจากพวกฝ่ายซ้ายจัดและฝ่ายขวาจัด ในช่วงวิกฤตนี้กษัตริย์เลออปอลที่ 3 มีประประสงค์ที่จะขยายพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์[3] พระองค์จึงถูกสงสัยอย่างกว้างขวางว่าทรงมีความคิดทางการเมืองแบบเผด็จการและเอียงขวา[4] ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 กษัตริย์เลออปอลทรงเป็นผู้สนับสนุนหลักของ "นโยบายความเป็นอิสระ" ของเบลเยียมต่อประเทศเป็นกลางในช่วงที่นาซีเยอรมนีขยายอำนาจและดินแดนอย่างแข็งกร้าวเพิ่มมากขึ้น[5]
การรุกรานของเยอรมันและการยึดครอง ค.ศ. 1940 - 1944
[แก้]ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 กองทัพเยอรมันบุกเบลเยียมที่เป็นกลางโดยไม่มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ กษัตริย์เลออปอลที่ 3 เสด็จไปยังป้อมบรีนดองก์ ศูนย์บัญชาการกองทัพเบลเยียมใกล้เมืองเมเคอเลิน เพื่อควบคุมกองทัพ พระองค์ปฏิเสธที่จะแจ้งต่อรัฐสภาเบลเยียมก่อน ดังเช่นในสมัยของกษัตริย์อัลแบร์ที่ 1 ซึ่งทรงเคยทำมาก่อนในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[6] ความรวดเร็วในการรุกคืบของกองทัพเยอรมันใช้ยุทธวิธีใหม่คือ บลิทซ์ครีค ผลักดันกองทัพเบลเยียมไปทางตะวันตก แม้ว่ากองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษจะเข้ามาช่วยก็ตาม ในวันที่ 16 พฤษภาคม รัฐบาลเบลเยียมออกจากกรุงบรัสเซลส์[7]
การแตกหักระหว่างพระมหากษัตริย์และรัฐบาล
[แก้]ไม่นานหลังจากเกิดสงคราม พระมหากษัตริย์และรัฐบาลเริ่มไม่ลงรอยกัน เมื่อรัฐบาลได้โต้แย้งว่าการรุกรานของเยอรมนีเป็นการละเมิดความเป็นกลางของเบลเยียมและทำให้เบลเยียมต้องร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง กษัตริย์เลออปอลทรงโต้แย้งว่าเบลเยียมยังคงเป็นกลางและไม่มีพันธะใด ๆ นอกเหนือจากการปกป้องพรมแดนเท่านั้น กษัตริย์เลออปอลทรงคัดค้านไม่อนุญาตให้กองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาในพรมแดนเบลเยียมเพื่อสู้รบเคียงข้างกองทัพเบลเยียม ด้วยการทำเช่นนั้นจะเป็นการละเมิดความเป็นกลาง[7]
ในวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 กษัตริย์เลออปอลทรงให้ผู้แทนอาวุโสของรัฐบาลเข้าเฝ้าเป็นครั้งสุดท้ายที่ปราสาทวิลนานเดลในมณฑลฟลานเดอร์ตะวันตก การพบปะครั้งนี้ถูกอ้างถึงหลายครั้งว่าเป็นชนวนเหตุของปัญหาราชวงศ์และเป็นการแตกหักระหว่างพระมหากษัตริย์และรัฐบาล[8] รัฐมนตรีสี่คนในการเข้าเฝ้าครั้งนี้ได้แก่ อูแบร์ ปิแยร์โลต์, ปอล-อ็องรี สปัก, อ็องรี เดนิส และอาเทอร์ ฟานเดอพอเทิน[8] ในที่ประชุมมีการต่อสู้ที่นองเลือดอยู่เบื้องหลังคือ ยุทธการที่แม่น้ำลิส (ค.ศ. 1940) รัฐบาลเบลเยียมเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับกองทัพเยอรมนีต่อไปจึงลี้ภัยไปยังฝรั่งเศส[7] พวกเขากราบทูลขอให้กษัตริย์ทรงติดตามไปด้วย เหมือนสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินาแห่งเนเธอร์แลนด์และแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อตแห่งลักเซมเบิร์ก กษัตริย์ทรงปฏิเสธข้อโต้แย้งของรัฐบาลและทรงทำให้จุดยืนของพระองค์ยากลำบากมากขึ้น พระองค์ปฏิเสธที่จะเสด็จออกจากแผ่นดินเบลเยียมและกองทัพของพระองค์ในแฟลนเดอส์ไม่ว่าจะต้องสูญเสียมากแค่ไหน รัฐมนตรีบางคนจึงสงสัยว่าข้าราชบริพารของกษัตริย์เลออปอลกำลังลอบเจรจากับเยอรมัน[7] การประชุมสิ้นสุดโดยไม่มีข้อตกลงใด ๆ และรัฐบาลเบลเยียมออกเดินทางไปยังฝรั่งเศส[9]
กษัตริย์เลออปอลทรงเจรจาหยุดยิงกับกองทัพเยอรมนีในวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 และกองทัพเบลเยียมได้ยอมจำนนอย่างเป็นทางการในวันต่อมา กษัตริย์เลออปอลทรงกลายเป็นเชลยศึกและทรงถูกกักบริเวณแต่ในพระราชวังลาเกินใกล้บรัสเซลส์[10] ด้วยความโกรธแค้นที่พระมหากษัตริย์เพิกเฉยต่อรัฐบาลและทรงเจรจายอมแพ้โดยไม่ปรึกษา นายกรัฐมนตรีปิแยร์โลต์จึงกล่าวสุนทรพจน์อย่างโกรธเกรี้ยวผ่านเรดิโอปารีส ประณามกษัตริย์เลออปอลที่ 3 และประกาศความตั้งใจของรัฐบาลที่จะร่วมต่อสู้เคียงข้างฝ่ายสัมพันธมิตร[10] นักการเมืองฝรั่งเศสโดยเฉพาะปอล แรโน ตำหนิกษัตริย์เลออปอลที่ 3 ว่าทรงทำให้เกิดยุทธการที่ฝรั่งเศสอันหายนะและประณามพระองค์อย่างโกรธเกรี้ยวว่า "กษัตริย์อาชญากร" (roi-félon)[11]
กษัตริย์เลออปอลในช่วงการยึดครองของเยอรมนี
[แก้]เจตจำนงทางการเมืองของกษัตริย์เลออปอลที่ 3 ในปีค.ศ. 1944[12]
เบลเยียมยอมจำนนในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 ต้องอยู่ภายใต้การยึดครองของเยอรมนีและมีการจัดตั้งการปกครองทางทหารในเบลเยียมและฝรั่งเศสตอนเหนือภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลอเล็กซานเดอร์ ฟอน ฟาลเคินเฮาเซินในการปกครองประเทศ ข้าราชการชาวเบลเยียมถูกสั่งให้ประจำอยู่ในตำแหน่งเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถทำงานต่อไปได้และพยายามปกป้องประชาชนจากอำนาจของเยอรมนี[13]
ด้วยการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสและการจัดตั้งระบอบการปกครองที่นิยมเยอรมันอย่าง ฝรั่งเศสเขตวีชี ทำให้มีการเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าเยอรมนีอาจจะได้ชัยชนะในสงคราม กษัตริย์เลออปอลทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น "มรณสักขี" หรือสัญลักษณ์แห่งความเข้มแข็งของชาติ ตรงกันข้ามกับรัฐบาลที่ถูกมองว่ายึดมั่นในอุดมการณ์มากกว่าผลประโยชน์ของชาวเบลเยียม ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 ผู้แทนอาวุโสจากศาสนจักรโรมันคาทอลิกในเบลเยียม พระคาร์ดินัลยอแซ็ฟ-เอิร์นเนสต์ ฟัน รูอีได้ส่งจดหมายศิษยาภิบาลเรียกร้องให้ชาวเบลเยียมทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกับพระมหากษัตริย์[14] บุคคลอื่น ๆ ในคณะผู้ติดตามของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ็องรี เดอ มาน นักสังคมนิยมอำนาจนิยม เชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยล้มเหลวและเมื่อสงครามสิ้นสุดจะเห็นว่าพระมหากษัตริย์จะเป็นผู้ปกครองรัฐเบลเยียมแบบเผด็จการ[15]
แม้จะทรงถูกกักบริเวณแต่พระองค์ยังทรงดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพระองค์เอง พระองค์เชื่อว่าเยอรมนีจะได้รับชัยชนะ ระเบียบใหม่ (ลัทธินาซี)จะถูกสถาปนาในยุโรป และในฐานะที่ทรงเป็นบุคคลทางการเมืองจากเบลเยียมที่มีศักดิ์สูงสุดในยุโรปที่ถูกยึดครอง พระองค์สามารถเจรจากับเจ้าหน้าที่เยอรมันได้ กษัตริย์เลออปอลทรงติดต่อกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และทรงพยายามที่จะประชุมเขา[16] ฮิตเลอร์ยังคงไม่สนใจและไม่เชื่อใจกษัตริย์ แต่ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1940 กษัตริย์เลออปอลประสบความสำเร็จในการเข้าประชุมแต่เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญอะไรที่แบร์คโฮฟ[17]
แรงสนับสนุนของกษัตริย์เลออปอลในเบลเยียมลดลงอย่างรวดเร็วในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 เมื่อมีข่าวสู่สาธรณชนว่ากษัตริย์อภิเษกสมรสใหม่กับลิเลียน เบลส์[18] การเสกสมรสครั้งนี้ไม่เป็นที่นิยมอย่างฝังรากลึกในหมู่สาธารณชนชาวเบลเยียม[a] ภาพลักษณ์ "กษัตริย์นักโทษ" (roi prisonnier) ซึ่งทรงแบ่งปันความทุกข์ทรมานของเชลยสงครามชาวเบลเยียม ถูกทำลายลงและความนิยมของพระองค์ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเขตวัลลูน ซึ่งเป็นเขตที่นักโทษชาวเบลเยียมส่วนใหญ่ยังคงถูกคุมขัง[18][20] ความเห็นหลักของสาธารณชนมองว่ากษัตริย์ไม่เต็มพระทัยที่จะมีพระราชดำรัสต่อต้านการยึดครองของเยอรมนี[19]
การพ่ายแพ้ของเยอรมนีต่อรัสเซียในแนวรบด้านตะวันออกหลังปี ค.ศ. 1942 กษัตริย์ทรงเตรียมการยุติสงคราม พระองค์ทรงให้จัดทำเอกสารที่เรียกว่า เจตจำนงทางการเมือง (Testament Politique) ซึ่งชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของพระองค์เองภายใต้การยึดครองและให้รายละเอียดเกี่ยวกับการแทรกแซงของพระองค์ เพื่อช่วยเหลือเชลยสงครามชาวเบลเยียมและแรงงานที่ถูกเนรเทศ แต่กษัตริย์เลออปอลยังทรงประณามการดำเนินงานของรัฐบาลเบลเยียมพลัดถิ่น (ประจำการในลอนดอนหลังเดือนตุลาคม ค.ศ. 1940) ในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 1944 จากเหตุการณ์การยกพลขึ้นบกที่นอร์ม็องดี กษัตริย์เลออปอลทรงถูกนำพระองค์ไปยังเยอรมนี[20] พระองค์ได้รับการปลดปล่อยจากกองทัพอเมริกันในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1945[21]
สมัยผู้สำเร็จราชการและวิกฤตในระยะแรก ค.ศ. 1944 - 1949
[แก้]กษัตริย์เลออปอลที่ 3 "ไม่สามารถปกครองได้อีกต่อไป" ค.ศ. 1944
[แก้]หลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์ม็องดี จึงก้าวเข้าไปในพรมแดนเบลเยียมในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1944 กองทัพเยอรมันมีการต่อต้านเพียงเล็กน้อยและภายในวันที่ 4 กันยายน ฝ่ายสัมพันธมิตรก็เข้ายึดครองบรัสเซลส์ได้ ในขณะที่ส่วนอื่นของเบลเยียมได้รับการปลดปล่อยในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 ในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1944 รัฐบาลเบลเยียมพลัดถิ่นได้กลับคืนสู่บรัสเซลส์และได้รับการต้อนรับจากประชาชนอย่างเฉยเมย[22] แม้ว่าพระมหากษัตริย์ไม่ได้ประทับอยู่ในประเทศ แต่เจตจำนงทางการเมืองของพระองค์ได้ถูกนำเสนอต่อรัฐบาลที่เพิ่งกลับมาตามที่พระองค์ประสงค์และในไม่ช้าก็มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชน[22] ในขณะเดียวกันร่างเอกสารเจตจำนงได้ถูกส่งมายังสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร และแอนโทนี อีเดน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ข้อความดังกล่าวทำให้เกิดความแตกแยกภายในรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่ถูกซ่อนไว้ในช่วงสงคราม[23]
ในยามที่พระมหากษัตริย์ยังคงเป็นเชลยของเยอรมนี จึงไม่มีใครต่อต้านแนวคิดในการจัดตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1944 มีการจัดประชุมรัฐสภา และมีการใช้มาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ[b] ประกาศว่าพระมหากษัตริย์ "ไม่สามารถปกครองได้อีกต่อไป" (dans l'impossibilité de régner)[24] เจ้าชายชาลส์ เคานต์แห่งฟลานเดอร์ พระอนุชาผู้รักสันโดษของกษัตริย์เลออปอลได้รับการเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในวันถัดมา[20] การดำเนินการเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาราชวงศ์ถูกผลักออกไป แทนที่ด้วยปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งรัฐบาลได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเรื่องเหล่านี้[24][26] เมื่อเบลเยียมอยู่ภายใต้การบริหารกิจการของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรจนกระทั่งมีการฟื้นฟูการบริหารงานของรัฐบาล การต่อต้านของอังกฤษที่มีต่อการเสด็จกลับประเทศของกษัตริย์เลออปอลได้กลายเป็นประเด็นปัญหาที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น[27]
การฟื้นตัวทางการเมืองและการกลับมาของปัญหาราชวงศ์
[แก้]-
อูแบร์ ปิแยร์โลต์
-
กัสต็อง ไอส์เคิน
-
อาคีล ฟัน อักเคอร์
เพียงเวลาไม่นานหลังจากเบลเยียมได้รับการปลดปล่อย ประเทศอยู่ในช่วงของกระบวนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวทางการเมืองก็เริ่มขึ้น ระบอบพรรคการเมืองดั้งเดิมถูกทำลายจากสงครามและการยึดครอง กลุ่มอุดมการณ์ทางการเมืองทั้งสองได้สรังพรรคการเมืองของพวกเขาเอง ฝ่ายสังคมนิยมจัดตั้งพรรคสังคมนิยมเบลเยียม (PSB-BSP) ส่วนฝ่ายคาทอลิกและอนุรักษืนิยมจัดตั้งพรรคสังคมคริสเตียน (PSC-CVP)[28] การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงยุคหลังการปลดปล่อยคือ คลื่นแรงของพรรคคอมมิวนิสต์เบลเยียม ซึ่งกลายเป็นพรรคการเมืองลำดับที่สามในระบอบการเมืองเบลเยียมจนถึปีค.ศ. 1949 ได้ถูกแทนที่ด้วยพรรคเสรีนิยมเป็นการชั่วคราว[28] ขบวนการวัลลูนเกิดขึ้นอีกครั้งหลังสงคราม โดยพยายามส่งเสริมวัฒนธรรมและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของพื้นที่ประชากรพูดภาษาฝรั่งเศสทางตอนใต้ ช่วงเวลาดังกล่าวมีการปฏิรูปสหภาพแรงงานตามมาด้วยการจัดตั้งสหภาพขนาดใหญ่ที่เป็นหนึ่งเดียว คือ สหพันธ์แรงงานแห่งเบลเยียม (Fédération générale du Travail de Belgique หรือ Algemeen Belgisch Vakverbond; FGTB-ABVV) ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 และมีสมาชิกทั่วประเทศถึง 248,000 คน[29] แต่ถึงกระนั้นในปีค.ศ. 1947 โครงสร้างทางการเมืองของรัฐเบลเยียมมีเสถียรภาพ[30]
ในช่วงสมัยผู้สำเร็จราชการช่วงแรก ทั้งปิแยร์โลต์และรัฐบาลของอาคีล ฟัน อักเคอร์ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าปัญหาการเสด็จกลับมาของกษัตริย์เลออปอลที่ 3 แม้จะมีการเรียกร้องจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ นักสังคมนิยมบางคนและฝ่ายสหภาพการค้าที่ต้องการให้พระมหากษัตริย์สละราชบัลลังก์ในเดือนเมษายน และพฤษภาคม ค.ศ. 1945[31] ไม่นานหลังจากมีการปล่อยกษัตริย์เลออปอลออกจากที่คุมขัง นายกรัฐมนตรีฟัน อักเคอร์และผู้แทนรัฐบาล ได้เดินทางไปยังสโตรพ ประเทศออสเตรียภายใต้การยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อเจรจากับกษัตริย์เลออปอล มีการประชุมกันในช่วงวันที่ 9 ถึง 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 ฟัน อักเคอร์ยืนยันว่าพระองค์จะต้องทรงประกาศต่อสาธารณชนว่าทรงสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร และความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา[31][32] แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้[31] ในขณะเดียวกันกษัตริย์เลออปอลทรงย้ายไปประทับที่เพลญี-ฌ็อมเบซี (ใกล้เจนีวา) ในสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยทรงอ้างว่าทรงมีพระอาการใจสั่นทำให้การเจรจาต่อไปหรือการที่จะทรงกลับไปใช้ชีวิตทางการเมืองย่อมเป็นไปไม่ได้[33][34]
ในเบลเยียม การถกเถียงทางการเมืองเกี่ยวกับปัญหาราชวงศ์ยังคงดำเนินต่อไปและเพิ่มมากขึ้นหลังสงคราม และยังคงเป็นหัวข้อถกเถียงยอดนิยมในสื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะในหนังสือพิมพ์นิยมฝรั่งเศสอย่าง เลอ ซัวร์ ในการเลือกตั้งทั่วไปในเบลเยียม ค.ศ. 1949[c] พรรค PSC-CVP มีการรณรงค์หาเสียงด้วยแนวคิดนิยมเจ้า สนับสนุนกษัตริย์เลออปอล[33] ผลการเลือกตั้งได้พลิกโฉมภูมิทัศน์ทางการเมือง ฝ่ายคอมมิวนิสต์ถูกวางแนวทางไว้[d] และพรรค PSB-BSP สูญเสียที่นั่งให้กับทั้งพรรคเสรีนิยมและพวกคาทอลิก ฝ่ายคาทอลิกได้รับเสียงข้างมากในวุฒิสภาและได้รับเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นชัยชนะที่ดีที่สุดนับตั้งแต่สงคราม[33] กัสต็อง ไอส์เคินได้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลผสมเสรีนิยม-คาทอลิก พรรคการเมืองทั้งสองพรรคในรัฐบาล (รวมถึงกษัตริย์เลออปอลเอง) สนับสนุนการจัดทำประชามติเพื่อให้พระมหากษัตริย์กลับมา ซึ่งจะกลายเป็นจุดสนใจทางการเมือง[33]
จุดเดือดของวิกฤต ค.ศ. 1950
[แก้]การออกเสียงประชามติเดือนมีนาคม ค.ศ. 1950
[แก้]-
ปอล ฟัน เซลันด์
-
ปอล-อ็องรี สปัก
-
ฌ็อง ดูวิวซารต์
รัฐบาลของไอส์เคินเห็นชอบให้จัดทำการออกเสียงประชามติระดับประเทศ เพื่อให้เป็น "การพิจารณาที่แพร่หลาย" (consultation populaire หรือ volksraadpleging) และกำหนดเป็นวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1950[37] นับเป็นการออกเสียงประชามติครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองเบลเยียมและมีความตั้งใจให้เป็นกรณีศึกษา การรณรงค์คะแนนเสียงเป็นไปอย่างเข้มข้นทั้งสองฝ่าย มีการหยุดชะงักในการลงคะแนนโพลล์เล็กน้อย และมีการถกเถียงกันอยู่เป็นปกติ[38]
ผลการออกเสียงประชามติไม่ชี้ขาด ฝ่ายที่ต้องการให้กษัตริย์เลออปอลกลับมาได้ชัยชนะเพียงร้อยละ 58 ของเสียงส่วนใหญ่ในประเทศ โดยได้คะแนนนำ 7 มณฑลจากทั้งหมด 9 มณฑลในเบลเยียม แต่การลงคะแนนเสียงมีการแตกแยกในภูมิภาคอย่างมาก[38] ในแฟลนเดอส์ ออกคะแนนเสียงให้กษัตริย์เลออปอลกลับมาถึงร้อยละ 72 แต่ในเขตการเลือกตั้งกรุงบรัสเซลส์ ฝ่ายนิยมกษัตริย์เลออปอลได้คะแนนเสียงไปเพียงร้อยละ 48 ในเขตวัลลูนออกคะแนนเสียงให้ฟื้นฟูกษัตริย์เพียงร้อยละ 42[39] ผลลัพธ์ท้ายสุดคิดเป็นร้อยละแบ่งตามมณฑล ได้แก่[39]
*เสียงข้างมากในเขตการเลือกตั้งแวร์วีแยส์ลงมติเห็นชอบให้กษัตริย์กลับมา **เสียงข้างมากในเขตการเลือกตั้งนามูร์ต่อต้านการกลับมาของกษัตริย์
ผลการเลือกตั้งได้ทำให้บางคนเกิดความกังวล ดังเช่น สปักมองว่าการออกคะแนนเสียงนี้จะไม่ชี้ชัดไปในทางใดทางหนึ่งและอาจทำให้เกิดการแบ่งแยกประเทศตามภูมิภาคและภาษา ในวันที่ 13 มีนาคม นายกรัฐมนตรีไอส์เคินเดินทางไปยังเพลญี-ฌ็อมเบซี เพื่อกราบทูลโน้มน้าวให้กษัตริย์เลออปอลที่ 3 สละราชบัลลังก์[40] ปอล ฟัน เซลันด์และสปัก สองอดีตนายกรัฐมนตรีพยายามเป็นตัวแทนเจรจาข้อตกลงใหม่ให้กษัตริย์เลออปอลสละราชบัลลังก์แก่พระราชโอรส[40] ในวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1950 กษัตริย์เลออปอลทรงประกาศตั้งพระทัยที่จะมอบพระราชอำนาจของพระองค์เป็นการชั่วคราว[40] นักการเมืองหลายคนในพรรค PSC–CVP ตระหนักถึงผลประชามติทำให้พวกเขาสูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภาอันจะเป็นการบ่อนทำลายการปรองดองระดับชาติรอบองค์พระมหากษัตริย์ ตราบใดที่พันธมิตรแนวร่วมเสรีนิยมไม่เต็มใจที่ยอมรับการกลับมาของกษัตริย์[41]
กษัตริย์เลออปอลเสด็จนิวัติเบลเยียม
[แก้]ในวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1950 เจ้าชายชาลส์ ผู้สำเร็จราชการทรงยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ พระองค์ตั้งพระทัยที่จะป้องกันการจัดตั้งรัฐบาลพรรค PSC-CVP ที่จะมีฟัน เซลันด์เป็นผู้นำรัฐบาล เขาเป็นผู้นิยมกษัตริย์เลออปอลอย่างแข็งขัน ซึ่งอาจจะทำให้กษัตริย์เลออปอลเสด็จกลับมาโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ[42] การเลือกตั้งทั่วไปในเบลเยียม ค.ศ. 1950 ทำให้พรรค PSC-CVP ได้รับเสียงข้างมากทั้งในรัฐสภาและวุฒิสภา[e] ทำให้กลายเป็นรัฐบาลใหม่พรรคเดียวภายใต้การนำของฌ็อง ดูวิวซารต์[42]
การดำเนินการแรกของรัฐบาลดูวิวซารต์คือการออกร่างพระราชบัญญัติเพื่อให้การ "การไร้ความสามารถในการปกครอง" ของพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสุดลง ในวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1950 กษัตริย์เลออปอลที่ 3 เสด็จนิวัติเบลเยียมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 และดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ต่อไป[42]
การนัดหยุดงานทั่วประเทศและการสละราชบัลลังก์
[แก้]ในปี ค.ศ. 1949 ขบวนการ FGTB–ABVV ได้ลงมติงบประมาณพิเศษจำนวน 10 ล้านฟรังก์เบลเยียม เพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการปฏิบัติการร่วม (Comité d'action commune) ในการสนับสนุนการนัดหยุงานทั่วประเทศเพื่อต่อต้านการกลับมาของกษัตริย์ สหภาพแรงงานเป็นผู้นำในการต่อต้านในฤดูร้อน ปี ค.ศ. 1950 อังเดร เรนาร์ด ผู้นำสหภาพการค้าชาววัลลูน เรียกร้องให้มีการ "จลาจล" และ "ปฏิวัติ" ในหนังสือพิมพ์ลา วัลลูนนี (La Wallonie) ไม่นานหลังกษัตริย์เสด็จนิวัติในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1950[43] นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ตั้งข้อสังเกตว่า "กลิ่นอายของการปฏิวัติอยู่ในอากาศ" ซึ่งนักชาตินิยมชาววัลลูนยังมีการเรียกร้องให้มีการแยกเขตวัลลูนออกจากเบลเยียมในทันทีและสร้างสาธารณรัฐ[44]
การนัดหยุดงานทั่วประเทศในปี ค.ศ. 1950 เริ่มจากอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินในมณฑลแอโนและแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าคนงานก็หยุดงานทั่วเขตวัลลูน บรัสเซลส์และที่หยุดงานน้อยกว่าคือที่แฟลนเดอส์ ท่าเรือแอนต์เวิร์ปหนึ่งในสถานที่สำคัญได้รับผลกระทบและประเทศแทบจะเป็นอัมพาต[43] ในวันที่ 30 กรกฎาคม แรงงาน 4 คนถูกยิ่งเสียชีวิตโดยกองตำรวจภูธร (เบลเยียม) ที่กราซ-ฮอโลญนีใกล้เมืองลีแยฌและความรุนแรงก็ทวีมากขึ้น[45][46] ฝ่ายนิยมกษัตริย์เลออปอลในรัฐบาลเรียกร้องให้รัฐบาลมีจุดยืนที่แข็งกร้าวมากขึ้น แต่ก็พบว่าพรรคพวกของตนเป็นคนกลุ่มน้อย แม้แต่ในพรรค PSC-CVP เอง ความผิดหวังที่ไม่มีอะไรคืบหน้า รัฐบาลจึงขู่ว่าจะประกาศลาออก "ทั้งคณะ"[44]
เมื่อสถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น สมาพันธ์นักโทษทางการเมืองแห่งชาติและผู้พึ่งพิง (Confédération nationale des prisonniers politiques et des ayants droit, Nationale Confederatie van Politieke Gevangenen en Rechthebbenden, หรือ CNPPA–NCPGR) อันเป็นองค์กรที่เป็นตัวแทนของนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังในช่วงที่เยอรมนียึดครอง เสนอที่จะเป็นตัวกลางการเจรจากับฝ่ายต่าง ๆ เนื่องจากองค์กรนี้เป็นที่เคารพนับถือจากทุกฝ่าย[47] องค์กร CNPPA–NCPGR ประสบความสำเร็จในการเกลี้ยกล่อมทั้งพระมหากษัตริย์และรัฐบาลให้เปิดการเจรจาอีกครั้งในวันที่ 31 กรกฎาคม ในตอนเที่ยงของวันที่ 1 สิงหาคม กษัตริย์เลออปอลทรงประกาศตั้งพระทัยที่จะสละราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการแก่เจ้าชายโบดวง พระราชโอรส เพื่อหลีกเลี่ยวความขัดแย้งอันนองเลือด[44] เจ้าชายโบดวงทรงมีพระชนมายุ 19 พรรษา ทรงได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ด้วยพระอิสริยยศ "พระวรราชกุมาร" (Prince Royal) ในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1950[48]
การสืบราชบัลลังก์ของกษัตริย์โบดวง ค.ศ. 1951
[แก้]กษัตริย์เลออปอลที่ 3 ทรงมีพระราชหัตถเลขาสละราชบัลลังก์ในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1950 แต่ก็มีการไกล่เกลี่ยให้มีการเตรียมตัวเจ้าชายโบดวง พระราชโอรสเป็นเวลาหนึ่งปี[49] เจ้าชายโบดวงทรงถูกมองจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ว่าเป็นตัวเลือกที่พวกเขายอมรับได้ ภายใต้กฎหมายในวันที่ 11 สิงหาคม อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินของกษัตริย์จะถูกถ่ายโอนไปยังเจ้าชายโบดวงก่อนที่จะมีการสละราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการ กษัตริย์เลออปอลที่ 3 สละราชบัลลังก์อย่างเป็นทางการในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1951 พระราชโอรสสืบราชบัลลังก์ในวันถัดมา[44]
การลอบสังหารจูเลียน ลาโฮต์
[แก้]ในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1950 กษัตริย์โบดวงทรงประกอบพิธีสัตย์ปฏิญาณต่อรัฐธรรมนูญภายในรัฐสภา บุคคลที่ไม่ปรากฏชื่อที่นั่งอยู่บริเวณฝั่งพรรคคอมมิวนิสต์ได้ตระโกนว่า "สาธารณรัฐจงเจริญ!" การขัดจังหวะพระมหากษัตริย์ครั้งนี้สร้างความเจ็บแค้นแก่ผู้จงรักภักดี[50] มีการสงสัยอย่างกว้างขวางว่า เจ้าของเสียงปริศนาคือ จูเลียน ลาโฮต์ ผู้นำคอมมิวนิสต์ที่มีชื่อเสียงซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านการกลับมาของกษัตริย์เลออปอล หนึ่งสัปดาห์ต่อมา (18 สิงหาคม) ลาโฮต์ถูกยิงเสียชีวิตโดยมือสังหารที่ไม่สามารถระบุได้ บริเวณนอกบ้านของเขาในเซอแร็ง มณฑลลีแยฌ[50] การลอบสังหารสร้างความตกตะลึงแก่สังคมเบลเยียมมาก มีผู้เข้าร่วมงานศพของลาโฮต์กว่า 200,000 คน[50] แม้ว่าไม่มีใครถูกดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม แต่ก็มีการสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของสมาคมนิยมกษัตริย์เลออปอลอย่าง "Ligue Eltrois" หรือ "กลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์เบลเยียม" (Bloc anticommuniste belge) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เชี่ยวชาญงานด้านรักษาความปลอดภัย[51]
ผลที่ตามมาและความสำคัญ
[แก้]ผลที่ตามมาของปัญหาราชวงศ์ ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นประเด็นปัญหาการเมืองอื่น ในวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1950 รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีโยแซ็ฟ พอเลียนได้ประกาศตั้งใจที่จะส่งอาสาสมัครทหารเบลเยียมไปร่วมรบในสงครามเกาหลี[52] มีการเจรจาเกี่ยวกับสนธิสัญญาป้องกันประชาคมยุโรปตามมา และในช่วงกลางทศวรรษที่ 1950 เบลเยียมจมอยู่ในวิกฤตทางการเมืองครั้งใหม่ หรือที่เรียกว่า สงครามโรงเรียนครั้งที่สอง เกี่ยวกับโลกิยานุวัติทางการศึกษา (แยกศาสนาออกจากการศึกษา)[53] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1960 กษัตริย์โบดวงทรงแจ้งต่อนายกรัฐมนตรีกัสต็อง ไอส์เคินว่าพระองค์ไม่ไว้วางพระทัยในรัฐบาลและทรงขอให้เขาลาออก นายกรัฐมนตรีไอส์เคินปฏิเสธและท้าทายพระมหากษัตริย์ทรงอุทธรณ์ตามมาตรา 65 ของรัฐธรรมนูญและเพิกถอนอำนาจของคณะรัฐมนตรีโดยฝ่ายเดียว ด้วยความเกรงว่าอาจทำให้เกิดปัญหาราชวงศ์ขึ้นมาอีกครั้ง กษัตริย์โบดวงจึงทรงยอมแพ้ต่อนายกรัฐมนตรี[54]
นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่อธิบายว่า ปัญหาราชวงศ์เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในการฟื้นตัวของเบลเยียมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายนิยมกษัตริย์เลออปอลและฝ่ายต่อต้านกษัตริย์เลออปอลนำไปสู่การจัดตั้งพรรคสังคมนิยมและพรรคคาทอลิกขึ้นใหม่ตั้งแต่ก่อนสงคราม[30] ปัญหาราชวงศ์เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในความขัดแย้งทางภาษาและเชื้อชาติของเบลเยียม นอกจากนี้ยังเป็นจุดจบของสถาบันเบลเยียมในลักษณะสหภาพซึ่งอาจทำให้ความขัดแย้งระหว่างภูมิภาครุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งก่อตัวมาจากปัญหาราชวงศ์[55] นอกจากนี้ความล้มเหลวของพรรค PSC-CVP ที่พยายามทำตามความต้องการของชาวเฟลมิชในการกระตุ้นให้เกิดการกลับมาของกษัตริย์เลออปอล เพื่อต้องการเสียงสนับสนุนจากพรรคสหภาพประชาชน อันเป็นพรรคชาตินิยมขบวนการเฟลมิชหลังค.ศ. 1954[56] ในเขตวัลลูน มรดกของสหภาพการค้าและการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบสังคมนิยมในช่วงการนัดหยุดงานทั่วประเทศเป็นการปูทางไปสู่การกำเนินใหม่ของขบวนการวัลลูนฝ่ายซ้าย ในที่สุดกลายเป็นเหตุการณ์การนัดหยุดงานทั่วประเทศเบลเยียม ค.ศ. 1960-1961[56]
คดีการลอบสังหารลาโฮต์ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย และยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในฐานะการฆาตกรรมทางการเมืองเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์เบลเยียม นอกจากนี้คือเหตุการณ์การลอบสังหารอังเดร คูลส์ นักการเมืองฝ่ายสังคมนิยมในปีค.ศ. 1991 ฝ่ายนิยมกษัตริย์เลออปอลถูกสงสัยแต่ก็ไม่มีการดำเนินคดีใดๆ ในภายหลัง จากการสืบสวนของนักประวัติศาสตร์อย่างรูดี ฟัน ดุร์สแลร์และเอเยง เฟอฮูแยร์ มีการระบุชื่อของผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนสังหาร[57] และมีรายงานครั้งสุดท้าย ส่งให้กับรัฐบาลเบลเยียมในปีค.ศ. 2015[58]
อ้างอิง
[แก้]เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ พระมเหสีองค์แรกของกษัตริย์เลออปอลที่ 3 คือ อัสตริดแห่งสวีเดน ซึ่งทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์สิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 1935 แต่พระนางยังคงได้รับความนิยมสูงในหมู่สาธารณชน ในทางกลับกันเบลส์ไม่ได้มียศเป็นชนชั้นสูงและมาจากแฟลนเดอส์ ถูกมองว่าเป็นพวก ผู้ดีใหม่ และอิทธิพลทางการเมืองของเธอที่มีต่อกษัตริย์เป็นเรื่องที่ไม่น่าไว้วางใจ[19]
- ↑ การแก้ไขรัฐธรรมนูญในภายหลังได้มีการเปลี่ยนแปลงมาตรา "การไร้ความสามารถในการปกครอง" จากเดิมคือมาตรา 82 มาเป็นมาตรา 93 ในปัจจุบัน[24] ข้อความในมาตราดังกล่าวยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงและถูกบังคับใช้อีกครั้งเป็นเวลา 24 ชั่วโมงในปีค.ศ. 1990 เพื่อให้มีการผ่านร่างกฎหมายการทำแท้งโดยไม่ต้องผ่านการลงพระปรมาภิไธยของกษัตริย์โบดวง[25]
- ↑ The การเลือกตั้งทั่วไปในเบลเยียม ค.ศ. 1949 เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของเบลเยียมที่มีการให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปอย่างเต็มที่ ด้วยมีการขยายสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งแก่ผู้หญิงชาวเบลเยียมทุกคนในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1948[35]
- ↑ พรรคคอมมิวนิสต์เบลเยียมได้รับคะแนนเสียงลดลงจากร้อยละ 12.68 เหลือเพียงร้อยละ 7.48 ในการเลือกตั้งทั่วไปปีค.ศ. 1949 ในปีค.ศ. 1954 ได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ 3.57 และไม่เคยได้รับอิทธิพลทางการเมืองกลับคืนมาอีกเลย[36]
- ↑ พรรค PSC–CVP ได้รับเสียงข้างมากทั้งสองสภาในการเลือกตั้งปี 1950 และเป็นรัฐบาลพรรคเดียวครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์การเมืองเบลเยียม[42]
รายการอ้างอิง
[แก้]- ↑ Mabille 2003, p. 38.
- ↑ Witte, Craeybeckx & Meynen 2009, pp. 45–7.
- ↑ Witte, Craeybeckx & Meynen 2009, p. 189.
- ↑ Le Vif 2013.
- ↑ Witte, Craeybeckx & Meynen 2009, p. 209.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 17.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 18.
- ↑ 8.0 8.1 Mabille 2003, p. 37.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, pp. 18–9.
- ↑ 10.0 10.1 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 19.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 19, 103.
- ↑ Dumoulin, Van den Wijngaert & Dujardin 2001, p. 197.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, pp. 19–20.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, pp. 26.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, pp. 26–7.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 27.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, pp. 27–8.
- ↑ 18.0 18.1 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 28.
- ↑ 19.0 19.1 Conway 2012, p. 32.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 Mabille 2003, p. 39.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, pp. 28–9.
- ↑ 22.0 22.1 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 106.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, pp. 106–7.
- ↑ 24.0 24.1 24.2 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 109.
- ↑ Witte, Craeybeckx & Meynen 2009, p. 266.
- ↑ Conway 2012, pp. 141–3.
- ↑ The Independent 1996.
- ↑ 28.0 28.1 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 111.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 112.
- ↑ 30.0 30.1 Conway 2012, p. 12.
- ↑ 31.0 31.1 31.2 Witte, Craeybeckx & Meynen 2009, p. 240.
- ↑ Conway 2012, p. 139.
- ↑ 33.0 33.1 33.2 33.3 Witte, Craeybeckx & Meynen 2009, p. 241.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 125.
- ↑ Mabille 2003, p. 43.
- ↑ Conway 2012, p. 232-3.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 139.
- ↑ 38.0 38.1 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 140.
- ↑ 39.0 39.1 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 141.
- ↑ 40.0 40.1 40.2 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 142.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, pp. 142–3.
- ↑ 42.0 42.1 42.2 42.3 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 143.
- ↑ 43.0 43.1 Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 144.
- ↑ 44.0 44.1 44.2 44.3 Witte, Craeybeckx & Meynen 2009, p. 242.
- ↑ "Zaait nu zelfs de koning verdeeldheid tussen zijn onderdanen? Gesprekken van over de taalgrens". De Morgen. 30 October 1999. สืบค้นเมื่อ 28 July 2019.
- ↑ "Police kill 3, wound mayor in Liege riot". Bluefield Daily Telegraph (ภาษาอังกฤษ). Associated Press. 31 July 1950. สืบค้นเมื่อ 28 July 2019 – โดยทาง Newspaperarchive.com.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, p. 145.
- ↑ Van den Wijngaert & Dujardin 2006, pp. 145–6.
- ↑ Mabille 2003, p. 41.
- ↑ 50.0 50.1 50.2 Gérard-Libois & Lewin 1992, p. 148.
- ↑ Gérard-Libois & Lewin 1992, p. 147.
- ↑ Gérard-Libois & Lewin 1992, p. 173.
- ↑ Mabille 2003, pp. 44–5.
- ↑ Young 1965, p. 326.
- ↑ Conway 2012, p. 253.
- ↑ 56.0 56.1 Conway 2012, p. 265.
- ↑ Gérard-Libois & Lewin 1992, pp. 147–8.
- ↑ RTBF 2015.
บรรณานุกรม
[แก้]- Conway, Martin (2012). The Sorrows of Belgium: Liberation and Political Reconstruction, 1944–1947. Oxford: Oxford University Press. ISBN 978-0-19-969434-1.
{{cite book}}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์) - Crossland, John (4 January 1996). "Allies' dilemma over 'cowardice' of Belgian king". The Independent. สืบค้นเมื่อ 23 October 2018.
- Dumoulin, Michel; Van den Wijngaert, Mark; Dujardin, Vincent (2001). Léopold III. Brussels: Complexe. ISBN 2-87027-878-0.
{{cite book}}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์) - Gérard-Libois, Jules; Lewin, Rosine (1992). La Belgique entre dans la guerre froide et l'Europe: 1947–1953. Brussels: Pol-His. ISBN 978-2-87311-008-6.
{{cite book}}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์) - Havaux, Pierre (29 March 2013). "Léopold III, l'impossible réhabilitation". Le Vif. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-02-03. สืบค้นเมื่อ 8 September 2013.
- Mabille, Xavier (2003). La Belgique depuis la Seconde guerre mondiale. Brussels: Crisp. ISBN 2-87075-084-6.
{{cite book}}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์) - Van den Wijngaert, Mark; Dujardin, Vincent (2006). "La Belgique sans Roi, 1940–1950". Nouvelle histoire de Belgique. Brussels: Éd. Complexe. ISBN 2-8048-0078-4.
{{cite book}}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์) - Witte, Els; Craeybeckx, Jan; Meynen, Alain (2009). Political History of Belgium from 1830 Onwards (New ed.). Brussels: ASP. ISBN 978-90-5487-517-8.
{{cite book}}
: CS1 maint: ref duplicates default (ลิงก์) - Vlassenbroeck, Julien (12 May 2015). "Julien Lahaut assassiné par un réseau soutenu par l'establishment belge". RTBF. สืบค้นเมื่อ 29 December 2015.
- Young, Crawford (1965). Politics in the Congo: Decolonization and Independence. Princeton: Princeton University Press. OCLC 307971.
ศึกษาเพิ่มเติม
[แก้]- Gérard-Libois, Jules; Gotovitch, José (1991). Léopold III: de l'an 40 à l'effacement. Brussels: Crisp. ISBN 978-2-87311-005-5.
- Moureux, Serge (2002). Léopold III: la tentation autoritaire. Brussels: Luc Pire. ISBN 978-2-87415-142-2.
- Ramón Arango, E. (1963). Leopold III and the Belgian Royal Question. Baltimore: Johns Hopkins Press. OCLC 5357114.
- Stengers, Jean (1980). Léopold III et le Gouvernement: les deux politiques belges de 1940. Paris: Duculot. OCLC 644400689.
- Stengers, Jean (2013). L'Action du Roi en Belgique depuis 1831: Pouvoir et Influence. Brussels: Lanoo. ISBN 978-2-87386-567-2.
- Van Doorslaer, Rudi; Verhoeyen, Etienne (1987). L'Assassinat de Julien Lahaut: une histoire de l'anticommunisme en Belgique. Antwerp: EPO. OCLC 466179092.
- Velaers, Jan; Van Goethem, Herman (2001). Leopold III: De Koning, Het Land, De Oorlog (3rd ed.). Tielt: Lannoo. ISBN 978-90-209-4643-7.
เว็บไซต์อ้างอิง
[แก้]- Belgium says 'no' to Leopold (1950), newsreel on the British Pathé YouTube Channel
- Feeding the Crocodile: Was Leopold Guilty? at The Churchill Centre