นักองค์อี
สมเด็จพระศรีวรราชธิดา | |
---|---|
บาทบริจาริกาวังหน้า | |
ประสูติ | พ.ศ. 2310 |
สิ้นพระชนม์ | ไม่ปรากฏ |
คู่อภิเษก | สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท |
พระราชบุตร | พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากำพุชฉัตร พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงศ์มาลา |
ราชวงศ์ | ตรอซ็อกผแอม (ประสูติ) จักรี (เสกสมรส) |
พระบิดา | พระนารายน์ราชารามาธิบดี |
พระมารดา | นักนางแม้น |
ศาสนา | พุทธ |
สมเด็จพระศรีวรวงษ์ราชธิดา บรมบพิตร หรือ สมเด็จพระศรีวรราชธิดา[1] พระนามเดิม นักองค์อี เป็นพระราชธิดาในพระนารายน์ราชารามาธิบดี หรือนักองค์ตน ประสูติแต่นักนางแป้น หรือแม้น ต่อมาได้ถวายตัวเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
พระประวัติ
[แก้]พระชนม์ชีพช่วงต้น
[แก้]นักองค์อี ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2310 เป็นพระราชธิดาในพระนารายน์ราชารามาธิบดี หรือนักองค์ตน ประสูติแต่นักนางแป้น หรือแม้น น้องสาวออกญาบวรนายก (ซู)[2] นักองค์อีมีพระเชษฐภคินีพระองค์หนึ่งคือ นักองค์เม็ญ (หรือเมน) ประสูติแต่สมเด็จพระภัควดี พระเอกกระษัตรี (พระนามเดิม นักนางบุบผาวดี) ส่วนพระขนิษฐภคินีคือ นักองค์เภา ประสูติแต่สมเด็จพระภัควดี พระศรีสุชาดา (พระนามเดิม นักนางอี)[3] และพระอนุชาคือ นักองค์เอง ประสูติแต่นักนางไชย[4]
หลังพระนารายน์ราชาธิบดีสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2320 เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) และออกญากระลาโหม (โสร์) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์กรุงกัมพูชา ประกาศถวายพระนามแก่พระราชธิดาของพระเจ้าอยู่ในพระบรมโกศสองพระองค์ คือ นักองค์เม็ญ พระพี่นางพระองค์ใหญ่ ถวายพระนามเป็นสมเด็จพระมหากระษัตรี และนักองค์อี พระพี่นางพระองค์รอง ถวายพระนามเป็นสมเด็จพระศรีวรวงษ์ราชธิดา บรมบพิตร ใน พ.ศ. 2323[5]
ลี้ภัยสู่กรุงสยาม
[แก้]ใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ระบุว่า พ.ศ. 2325 พระยายมราช (แบน) และพระยากลาโหม (ปก) พาเจ้านายเขมรและเขมรเข้ารีตประมาณ 500 คน เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เจ้านายเขมรที่เสด็จลี้ภัยในคราวนั้น ได้แก่ นักองค์อี นักองค์เภา และนักองค์เอง ไปประทับอยู่วังเจ้าเขมรที่ตำบลคอกกระบือ[1] แต่นักองค์เม็ญป่วย ถึงแก่พิราลัยเสีย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทกราบทูลขอนักองค์อีและนักองค์เภาไปเป็นพระสนมเอกในวังหน้าสองพระองค์ ส่วนนักองค์เอง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงชุบเลี้ยงเป็นพระราชโอรสบุญธรรม[6] สอดคล้องกับ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ระบุว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระราชอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงรับนักองค์เม็ญ นักองค์อี และนักองค์เภาไปเลี้ยงเป็นพระอรรคชายาเมื่อ พ.ศ. 2325[7] แต่ในเอกสารไทยว่านักองค์เม็ญสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อนในกรุงเทพมหานคร คงเหลือเพียงนักองค์อีและนักองค์เภาที่รับไปเลี้ยงเป็นพระสนมเอกในกรุงสยาม[8] ส่วนนักนางแม้นที่เข้ามาในกรุงเทพมหานครด้วยกันนั้นก็ได้บวชเป็นชีที่วัดหลวงชี (ต่อมาคือ วัดบวรสถานสุทธาวาส)[9]
เจ้าจอมมารดานักองค์อีมีพระประสูติการพระธิดาสองพระองค์คือ
- พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากำพุชฉัตร หรือกัมโพชฉัตร (พ.ศ. 2329 – ไม่ทราบปีสิ้นพระชนม์)
- พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวงศ์มาลา หรือวงศ์กษัตริย์ (พ.ศ. 2336 – ไม่ทราบปีสิ้นพระชนม์)
ต่อมาเกิดวิกฤตการณ์วังหลวงกับวังหน้า ที่ไพร่พลเขมรลากปืนขึ้นป้อมวังหลวงจนเกิดความกินแหนงกันจนเกือบเกิดสงครามกัน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงส่งให้เจ้าจอมมารดานักองค์อีที่เป็นเจ้านายเขมรเข้าไปสืบความจริง จึงพบว่าเป็นการลากปืนเพื่อใช้ในพระราชพิธีตรุษเท่านั้น[10] พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงกริ้ววังหน้า จึงมีรับสั่งให้ชำระความ "คหบดีกรุงธิปัต" คือพระยาเขมรคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นขุนนางของพระอัยกานักองค์อี แต่ปรากฏว่าขุนนางคนนี้กล่าวปด โดยเบิกความว่าเจ้าจอมมารดานักองค์อีเป็นผู้ยุยงกรมพระราชวังบวรสถานมงคลให้กระทำการกระด้างกระเดื่องต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงสั่งจองจำนักองค์อีและบ่าวไพร่ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิด พร้อมระวางโทษประหาร แต่ภายหลังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชให้สืบความใหม่ ด้วยการไต่สวนหม่อมวันทา นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ดังปรากฏใน นิพานวังน่า พระนิพนธ์ของพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากำพุชฉัตร ซึ่งระบุถึงเหตุการณ์กบฏครั้งนี้ไว้ ความว่า[11]
ให้สืบถามวันทาสุดาเดียว | ไฉนเจียวยุเย้าให้เราแคลง | |
ฝ่ายจอมฉลองโอษฐ์พระบิตุเรศ | สดับเหตุให้การไม่เคลือบแฝง |
ว่าคงตายขอถวายสัตย์แสดง | จึงแจ้งจริงให้สมคำไม่อำพราง | |
หลังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้สดับความจริงครบถ้วนทุกประการ ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าจอมมารดานักองค์อีและบ่าวไพร่พ้นผิด พร้อมกับพระราชทานเบี้ยหวัดให้เป็นการชดเชย[12]
ครั้น พ.ศ. 2350 สมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดี ตรัสใช้พระองค์แก้ว (ด้วง) และออกญาจักรี (แกบ) นำเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชที่กรุงเทพมหานคร เพื่อขอรับสมเด็จพระปิตุจฉาคือนักองค์อีและนักองค์เภาที่ประทับอยู่กรุงสยามกลับคืนกรุงกัมพูชา เอกสารไทยระบุว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไม่โปรดพระราชทาน เพราะ "มีพระองค์เจ้าอยู่ จะให้ออกไปมิได้มารดากับบุตรจะพลัดกัน"[1][13][14] ขณะที่เอกสารเขมรระบุว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าพระราชทานให้ นักองค์เม็ญ นักองค์เภา และพระภัควดีพระเอกกระษัตรีกลับคืนเมืองเขมร เว้นแต่นักองค์อีที่คงให้อยู่กรุงเทพมหานครทั้งมารดาและพระราชบุตร[15]
อ้างอิง
[แก้]- เชิงอรรถ
- ↑ 1.0 1.1 1.2 พระราชวิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์) ตั้งแต่ จ.ศ. 1129 ถึง 1182 เป็นเวลา 53 ปี, หน้า 156
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 134
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 135
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 141
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 152
- ↑ ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. "พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 (8. พงศาวดารเขมร ตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรีจนนักองเองเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ)". วชิรญาณ. สืบค้นเมื่อ 17 เมษายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 160
- ↑ ไกรฤกษ์ นานา (5 ตุลาคม 2563). "วารสาร "นักล่าอาณานิคม" ตีแผ่สัญญารัชกาลที่ 5 ทำไมสยามสละ "นครวัด" ?". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 16 เมษายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "พระราชวังบวรสถานมงคล". สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศิลปากร. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2558.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ดิเรก หงษ์ทอง (มกราคม–มิถุนายน 2558). "พงศาวดารเขมรใน "นิพานวังน่า" : ความสำคัญต่อการตีความชีวิตของเจ้านายเขมรพลัดถิ่นในสยาม". วารสารอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน (6:1), หน้า 212
- ↑ หญิงร้าย, หน้า 153
- ↑ ดิเรก หงษ์ทอง (มกราคม–มิถุนายน 2558). "พงศาวดารเขมรใน "นิพานวังน่า" : ความสำคัญต่อการตีความชีวิตของเจ้านายเขมรพลัดถิ่นในสยาม". วารสารอารยธรรมศึกษา โขง-สาละวิน (6:1), หน้า 218-219
- ↑ ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. "พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 (129. สมเด็จพระอุทัยทูลขอนักองอี นักองเภา)". วชิรญาณ. สืบค้นเมื่อ 17 เมษายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. "พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 (13. เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเมืองญวนเมืองเขมร)". วชิรญาณ. สืบค้นเมื่อ 19 เมษายน 2564.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 181-183
- บรรณานุกรม
- จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชวิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์) ตั้งแต่ จ.ศ. 1129 ถึง 1182 เป็นเวลา 53 ปี. กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, 2552. 576 หน้า. ISBN 978-611-7146-02-2
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563. 336 หน้า. ISBN 978-616-514-668-5
- วรธิภา สัตยานุศักดิ์กุล. หญิงร้าย. กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุ๊ป, 2562. 256 หน้า. ISBN 978-616-301-670-6