ข้ามไปเนื้อหา

นกแก้วคาคาโป

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

นกแก้วคาคาโป
ซีร็อกโก นกแก้วคาคาโปที่มีชื่อเสียงในเกาะม็อด
สถานะการอนุรักษ์

Nationally Critical (NZ TCS)[2]
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ แก้ไขการจำแนกนี้
โดเมน: ยูแคริโอตา
Eukaryota
อาณาจักร: สัตว์
ไฟลัม: สัตว์มีแกนสันหลัง
ชั้น: สัตว์ปีก
อันดับ: Psittaciformes
วงศ์ใหญ่: Strigopoidea

Bonaparte, 1849
วงศ์: Strigopidae

G.R. Gray, 1845
สกุล: Strigops

G.R. Gray, 1845
สปีชีส์: Strigops habroptilus
ชื่อทวินาม
Strigops habroptilus
G.R. Gray, 1845

นกแก้วคาคาโป (มาวรี: kākāpō, มีความหมายว่า "นกแก้วกลางคืน") เป็นนกที่อยู่ในวงศ์ Strigopidae มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Strigops habroptilus

นกแก้วคาคาโป บ้างก็เรียกว่า "นกแก้วฮูก" ซึ่งเป็นนกแก้วที่บินไม่ได้ที่พบในนิวซีแลนด์เท่านั้น ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของวิวัฒนาการบนเกาะโดดเดี่ยว ทำให้มีรูปลักษณ์พิเศษ โดยบรรพบุรุษร่วมของนกแก้วคาคาโปและนกในสกุล Nestor ในวงศ์ใหญ่ Strigopoidea เดียวกัน ซึ่งได้แยกไปอยู่ต่างหากจากนกแก้วชนิดอื่น ๆ หลังจากนิวซีแลนด์แยกตัวออกจากทวีปกอนด์วานา เมื่อประมาณ 82 ล้านปีก่อน จากนั้นอีก 12 ล้านปีต่อมาหรือประมาณ 70 ล้านปีก่อน นกแก้วคาคาโปจึงแยกออกจากนกสกุล Nestor ชัดเจน

จากสภาพแวดล้อมที่ไม่มีสัตว์นักล่าบนเกาะนิวซีแลนด์ ทำให้นกแก้วคาคาโปมีวิวัฒนาการเป็นนกแก้วชนิดเดียวในโลกที่บินไม่ได้ และยังครองสถิติอีกหลายอย่าง คือเป็นนกแก้วที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก มีขนาดตัวระหว่าง 59-64 เซนติเมตร และหนักถึง 4 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่ามันเป็นนกแก้วที่มีอายุยืนที่สุดด้วย โดยมีสถิติพบอายุยืนที่สุดถึง 100 ปี อีกทั้งเป็นนกแก้วชนิดเดียวในโลกที่หากินตอนกลางคืน และมีระบบการผสมพันธุ์ที่ตัวผู้จะอยู่ในอาณาเขตหรือรังของตัวเองและส่งเสียงเรียกตัวเมีย ซึ่งมีเสียงร้องคล้ายเสียงกบและจะร้องติดต่อกันนานถึง 3 เดือน วันละ 8 ชั่วโมง และเสียงร้องจะได้ยินไปไกลถึง 5 กิโลเมตร[3]

ลักษณะ

[แก้]

นกแก้วคาคาโปตัวเต็มวัยมีลำตัวเป็นสีเขียวแต้มด้วยสีน้ำตาลและเหลือง ช่วยให้สามารถพรางตัวได้ดีบนผืนป่า แต่ในวัยอ่อนสีสันจะไม่สดใส และหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับนกฮูก มีสีออกน้ำตาล นกแก้วคาคาโปปีนต้นไม้ได้เก่ง และทำโพรงอยู่ใต้ดินเหมือนกระต่าย

เดิมนกแก้วคาคาโปเคยอยู่กระจายทั่วไปภายในเกาะเหนือ เกาะใต้ และเกาะสจวร์ต เกาะเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของนิวซีแลนด์ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ อยู่ได้ในป่าทุกรูปแบบ แต่พบการล่าจากชาวพื้นเมืองมาวรี และการอพยพมาของชาวยุโรปที่มาตั้งถิ่นฐานในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งได้นำมาซิ่งชนิดพันธุ์ต่างถิ่น เช่น สุนัข และตัวพอสซั่ม ซึ่งเป็นสัตว์นักล่า ซึ่งเกือบทำให้นกแก้วคาคาโปต้องสูญพันธุ์

ในช่วงปี ค.ศ. 1980-ค.ศ. 1997 สำนักงานอนุรักษ์ของนิวซีแลนด์ได้นำนกแก้วคาคาโปที่ยังหลงเหลืออยู่ทั้งหมดบนเกาะสจวร์ตไปอยู่ยังที่อยู่ใหม่ เป็นหมู่เกาะที่ปลอดภัยจากสัตว์นักล่าทั้งหลายมารบกวน เพื่อสงวนนกแก้วคาคาโปไม่ให้สูญพันธุ์ ปัจจุบันจึงเหลือนกชนิดนี้อยู่บนเกาะคอดฟิชและเกาะชอล์กกีที่ถูกใช้เป็นแหล่งอนุรักษ์นก ทำให้ปริมาณนกแก้วคาคาโปเพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ. 1995 จาก 55 ตัว เป็น 111 ตัวในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2009

ขนาดเมื่อเทียบกับมนุษย์

อนุกรมวิธาน

[แก้]

นกแก้วคาคาโปได้รับการจำแนกโดยนักปักษีวิทยาชาวอังกฤษ จอร์จ โรเบิร์ต เกรย์ ใน ค.ศ. 1845 ชื่อสกุลมาจากภาษากรีกโบราณ strigos จาก strix ที่แปลว่า "นกฮูก" และ ops ที่แปลว่า "หน้า" ขณะที่ชื่อลักษณะมาจาก habros ที่แปลว่า "นุ่ม" และ ptilon ที่แปลว่า "ขนนก"[4] ด้วยการที่มันมีลักษณะที่โดดเด่นต่างนกแก้วอื่น และเคยถูกจำแนกไว้ในเผ่า Strigopini ของมันเองในการจำแนกเบื้องต้น

จากการศึกษาสายวิวัฒนาการล่าสุดยืนยันว่านกแก้วคาคาโป (สกุล strigops) มีความสัมพันธ์กับนกแก้วคาคาและนกแก้วคีอา (นกแก้ว 4 ชนิดในสกุล Nestor)[5][6][7] ทั้งหมดได้รับการพิจารณาแบ่งแยกออกมาเป็นวงศ์ใหญ่นกแก้วนิวซีแลนด์ (Strigopidae)[8] จากเดิมอยู่ในวงศ์ Nestoridae

ก่อนหน้านี้นักปักษีวิทยาคิดว่านกแก้วคาคาโปอาจเป็นญาติใกล้ชิดกับนกแก้วนกแก้วกลางคืนและนกแก้วดินของประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากสีสันคล้ายคลึงกัน แต่ความคิดนี้ขัดแย้งกับการศึกษาล่าสุด[9][10] สีพรางตัวน่าจะเกิดจากการปรับตัวในการหากินบนพื้นดินซึ่งเป็นการวิวัฒนาการแบบวิวัฒนาการเบนเข้า

ศัพทมูลวิทยา

[แก้]

ชื่อ "Kakapo (คาคาโป)" เป็นการเลียนเสียงเป็นภาษาอังกฤษของคำว่า "kākāpō" ในภาษามาวรี คำว่า kākā ("นกแก้ว") + ("กลางคืน")

คำในภาษาโพลีนีเซีย kākā และการผันแปร ʻāʻā เป็นคำที่ใช้เรียกนกแก้ววงศ์ Psittacidae ที่อาศัยทั่วไปในแปซิฟิกใต้ เช่น ชื่อพื้นเมืองของนกแก้วเล็กแบล็คฟรอนต์ (Cyanoramphus zealandicus) ที่สูญพันธุ์ไปแล้วของตาฮีตี และนกแก้วนิวซีแลนด์สกุล Cyanoramphus มีชื่อพื้นเมือง "คาคา" ลักษณะเดียวกัน

สื่อ

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. BirdLife International (2018). "Strigops habroptilus". IUCN Red List of Threatened Species. 2018: e.T22685245A129751169. doi:10.2305/IUCN.UK.2018-2.RLTS.T22685245A129751169.en. สืบค้นเมื่อ 4 September 2024.
  2. "Assessment Details". nztcs.org.nz. สืบค้นเมื่อ 6 October 2021.
  3. [ลิงก์เสีย] รายการแดนสนธยา : ดินแดนสวรรค์แปซิฟิกตอนใต้ ตอน 14 ออกอากาศทางช่อง 4 : 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
  4. Liddell, Henry George and Robert Scott (1980). A Greek-English Lexicon (Abridged Edition). United Kingdom: Oxford University Press. ISBN 0-19-910207-4.
  5. Wright, T. F.; Schirtzinger, E. E.; Matsumoto, T.; Eberhard, J. R.; Graves, G. R.; Sanchez, J. J.; Capelli, S.; Muller, H.; Scharpegge, J.; Chambers, G. K.; Fleischer, R. C. (2008). "A Multilocus Molecular Phylogeny of the Parrots (Psittaciformes): Support for a Gondwanan Origin during the Cretaceous". Mol Biol Evol. 25 (10): 2141–2156. doi:10.1093/molbev/msn160. PMC 2727385. PMID 18653733.
  6. Grant-Mackie, E. J.; Grant-Mackie, J. A.; Boon, W. M.; Chambers, G. K. (2003). "Evolution of New Zealand Parrots". NZ Science Teacher. 103.
  7. de Kloet, R. S.; de Kloet, S. R. (2005). "The evolution of the spindlin gene in birds: Sequence analysis of an intron of the spindlin W and Z gene reveals four major divisions of the Psittaciformes". Molecular Phylogenetics and Evolution. 36 (3): 706–721. doi:10.1016/j.ympev.2005.03.013. PMID 16099384.
  8. Christidis L, Boles WE (2008). Systematics and Taxonomy of Australian Birds. Canberra: CSIRO Publishing. p. 200. ISBN 978-0-643-06511-6.
  9. Schodde, R. & Mason, I.J. (1981). Nocturnal Birds of Australia. Illustrated by Jeremy Boot. Melbourne: Lansdowne Edns 136 pp. 22 pls [35-36]
  10. Leeton, P.R.J., Christidis, L., Westerman, M. & Boles, W.E. (1994). Molecular phylogenetic relationships of the Night Parrot (Geopsittacus occidentalis) and the Ground Parrot (Pezoporus wallicus). Auk 111: 833-843

ข้อมูล

[แก้]

อ่านเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]