ข้ามไปเนื้อหา

จานรอบดาวฤกษ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จานรอบดาว HD 141943 และ HD 191089 ภาพด้านล่างเป็นภาพประกอบจากภาพจริงด้านบน[1]

จานรอบดาวฤกษ์ (อังกฤษ: circumstellar disc, circumstellar disk) คือ จานพอกพูนมวลของสสารที่มีรูปทรงเป็นทอรัส, แพนเค้กหรือวงแหวน ประกอบด้วย แก๊ส, ฝุ่นคอสมิก, เศษดาวเคราะห์, ดาวเคราะห์น้อยและเศษชิ้นส่วนจากการชนในวงโคจรรอบดาวฤกษ์ รอบ ๆ ดาวฤกษ์ที่อายุน้อยที่สุด พวกมันเป็นแหล่งกักเก็บสสารที่ดาวเคราะห์อาจก่อตัวขึ้นมา สำหรับดาวฤกษ์ที่มีอายุ พวกมันบ่งชี้ว่ามีการก่อตัวของเศษดาวเคราะห์ และรอบ ๆ ดาวแคระขาว พวกมันบ่งชี้ว่าสสารของดาวเคราะห์รอดพ้นจากการวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ทั้งหมด จานดังกล่าวสามารถแสดงออกมาได้หลายรูปแบบ

ลักษณะของจานรอบดาวฤกษ์แต่ละแบบ

[แก้]
ดาว SAO 206462 ซึ่งมีจานรอบดาวฤกษ์แบบผิดปกติ

ดาวฤกษ์อายุน้อย

[แก้]

ในทฤษฎีมาตรฐานของการก่อตัวของดาวฤกษ์นั้น ดาวฤกษ์อายุน้อย (หรือดาวฤกษ์ก่อนเกิด) เกิดจากการหดตัวด้วยความโน้มถ่วงของมวลสารบางส่วนภายในเมฆโมเลกุลขนาดยักษ์ วัสดุที่ถูกดึงดูดให้เข้ามารวมตัวกันนี้มีโมเมนตัมเชิงมุม และก่อตัวเป็นจานดาวเคราะห์ก่อนเกิดที่มีก๊าซเป็นส่วนประกอบขึ้นมาล้อมรอบดาวฤกษ์อายุน้อยที่กำลังหมุนรอบตัวเอง จานรอบดาวฤกษ์ที่ก่อตัวขึ้นประกอบไปด้วยก๊าซและฝุ่นหนาแน่น และยังคงมีสสารโดนดูดเข้าไปยังใจกลางดาวอยู่เรื่อย ๆ แผ่นจานมีมวลเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของมวลดาวฤกษ์ใจกลาง และก๊าซส่วนใหญ่ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักคือไฮโดรเจน เหตุการณ์การพอกพูนจะกินเวลานานหลายล้านปี โดยปกติแล้วมวลจะค่อย ๆ ถูกดึงดูดเข้าไปสั่งสมบนดาวที่ใจกลางเรื่อย ๆ ประมาณ 1 ส่วนสิบล้านเท่าไปจนถึง 1 ส่วนพันล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์ต่อปี[2]

แผ่นจานจะค่อย ๆ เย็นตัวลงในช่วงที่ยังเป็นวัตถุดาวฤกษ์อายุน้อย อนุภาคฝุ่นที่ประกอบจากหินและน้ำแข็งจะก่อตัวขึ้นภายในจาน และอาจเกาะรวมตัวกันแล้วกลายเป็นดาวเคราะห์ในที่สุด หากมวลของจานมีมากพอ การเกาะรวมตัวกันจะยิ่งเร่งขึ้นไปอีกและเกิดเป็นวัตถุต้นกำเนิดดาวเคราะห์ขึ้น การก่อตัวของระบบดาวเคราะห์เป็นผลตามธรรมชาติของกระบวนการก่อตัวดาวฤกษ์ สำหรับดาวฤกษ์แบบคล้ายดวงอาทิตย์ โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 100 ล้านปีในการวิวัฒนาการไปสู่แถบลำดับหลัก

สำหรับดาวฤกษ์มวลค่อนข้างต่ำเช่นดาวฤกษ์ชนิด ที วัวนั้นโดยทั่วไปจะมีแผ่นจานรอบดาวฤกษ์อยู่ อย่างไรก็ตาม ในดาวที่มีมวลมากกว่านั้น เช่น ดาวเฮอร์บิก เออี/บีอีนั้น คาดว่าความดันรังสีจากดาวฤกษ์ใจกลางจะแรงมากและเป็นตัวขัดขวางการก่อตัวของจาน อย่างไรก็ตาม การศึกษาล่าสุดได้ให้หลักฐานทั้งทางทฤษฎีและเชิงสังเกตการณ์สำหรับการก่อตัวของจานรอบดาวเฮอร์บิก เออี/บีอี ซึ่งถูกตรวจพบโดยตรงเช่นกัน[3] นอกจากนี้ยังมีผลลัพธ์ที่บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของจานในดาวฤกษ์อายุน้อยที่มีมวลสูงกว่านี้อีกด้วย[4]

ดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลัก

[แก้]
ภาพวาดในจินตนาการของจานช่วงเปลี่ยนผ่านรอบดาวฤกษ์อายุน้อย[5]

เมื่อดาวฤกษ์วิวัฒนาการเข้าสู่ช่วงลำดับหลัก จานรอบดาวฤกษ์จะค่อย ๆ หายไป ส่วนใหญ่แล้วจะหายไปจากกระบวนการการระเหยด้วยแสง ในขั้นตอนนี้ ถ้ามีจานรอบดาวฤกษ์อยู่มักจะเป็นจานที่อยู่แค่ชั่วคราว หลังจากที่อนุภาคที่เล็กละเอียดกว่าส่วนใหญ่ได้สูญเสียไปโดยปรากฏการณ์พอยน์ติง–รอเบิร์ตสัน ความดันรังสี ฯลฯ ฝุ่นจากการกระทบของวัตถุท้องฟ้าจะก่อตัวเป็นจานเศษซากขึ้น[6]

แผ่นจานฝุ่นรอบดาวเบตาขาตั้งภาพและดาวเคราะห์ (จุดที่ใกล้ใจกลาง)[7]
จานฝุ่นรอบดาวโฟมัลฮอตและดาวเคราะห์โฟมัลฮอตบี[8]

ในช่วงลำดับหลัก จานรอบดาวฤกษ์ประเภทต่าง ๆ นั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าวิวัฒนาการมาจากจานก่อกำเนิดดาวเคราะห์ ตัวอย่างเช่น มีจานรอบดาวฤกษ์ชนิดบีอี ซึ่งกลไกการก่อตัวไม่ชัดเจน[9]

ตัวอย่างในระบบสุริยะ

[แก้]

เศษซากต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นแผ่นจานในระบบสุริยะประกอบไปด้วย:

หลังจากพ้นลำดับหลัก

[แก้]
จานรอบระบบดาวคู่ IRAS 08544-4431[10]

มวลสารรอบดาวฤกษ์ที่พบรอบดาวฤกษ์ที่พ้นจากลำดับหลักมาแล้วนั้นเกิดจากการขับมวลออกจากดาวฤกษ์ใจกลาง มวลสารรอบดาวฤกษ์นั้นมีรูปร่างหลากหลายตั้งแต่เปลือกสมมาตรทรงกลมไปจนถึงโครงสร้างที่มีสมมาตรแบบหมุนคล้ายแผ่นจาน โครงสร้างของมวลสารรอบดาวฤกษ์ของดาวยักษ์ในแขนงดาวยักษ์เชิงเส้นกำกับนั้นเกือบจะเป็นทรงกลมเมื่อดูในภาพรวม แต่เมื่อวิวัฒนาการต่อไปจนกลายเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ มักจะแสดงรูปร่างที่มีสมมาตรแบบหมุน เช่น แผ่นจานรีหรือเป็นเส้นกระจายออกไปจากสองขั้วเหนือใต้ ดาวฤกษ์หลังแขนงยักษ์เชิงเส้นกำกับซึ่งเป็นช่วงที่อยู่ในระหว่างวิวัฒนาการช่วงนั้นถูกคาดการณ์กันมานานแล้วว่าน่าจะมีจานรอบดาวฤกษ์ และเพิ่งจะมีการพบหลักฐานโดยตรง

ตัวอย่างเช่น จากการสังเกตการณ์อินเทอร์เฟอโรเมทรีที่มีความละเอียดสูงได้ตรวจพบจานรอบดาวฤกษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางภายในเท่ากับ 10 AU รอบดาว IRAS 08544-4431 ซึ่งเป็นดาวฤกษ์หลังวิวัฒนาการผ่านแขนงยักษ์เชิงเส้นกำกับ[11] คาดกันว่าโครงสร้างคล้ายแผ่นจานที่พบในดาวฤกษ์ระยะสุดท้ายนั้นมีความเกี่ยวข้องกับระบบดาวคู่ รวมถึงสำหรับกรณีของ IRAS 08544-4431 นี้ก็เช่นเดียวกัน

ภาพวาดในจินตนาการของดาวยักษ์ใหญ่ B[e] CPD-57 2874 ซึ่งตรวจพบหลักฐานโดยตรงถึงการมีอยู่ของแผ่นจานโดย VLBI[12]

แม้ว่าจะตรวจพบโครงสร้างรอบดาวฤกษ์ที่ไม่มีความสมมาตรเป็นทรงกลมในดาวฤกษ์มวลมากที่วิวัฒนาการแล้วจำนวนมาก แต่ก็ไม่พบหลักฐานโดยตรงว่ามีแผ่นจานอยู่ หลักฐานทางอ้อมบ่งชี้ว่าดาวประเภทที่เป็นไปได้มากที่สุดที่จะมีจานรอบดาวคือดาว B[e][13] ซึ่งมีการหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วและอาจเป็นต้นกำเนิดแสงวาบรังสีแกมมา เป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดการสั่งสมมวลสารบนแถบเส้นศูนย์สูตรของดาว

ช่วงปลายชีวิตดาวฤกษ์

[แก้]

มีการพบว่าดาวแคระขาวบางดวงมีการแผ่รังสีในช่วงอินฟราเรดมากเป็นพิเศษ ซึ่งเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากแผ่นจานรอบดาวฤกษ์ที่ประกอบขึ้นจากฝุ่น[14] ฝุ่นที่ประกอบเป็นจานนั้นเชื่อว่าเป็นซากของวัตถุท้องฟ้าซึ่งครั้งหนึ่งเคยก่อตัวเป็นระบบดาวเคราะห์ เช่น ดาวเคราะห์น้อย[15]

นอกจากนี้ ดาวมวลอัดแน่นอย่าง ดาวแคระขาว ดาวนิวตรอน และ หลุมดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัตถุท้องฟ้าซึ่งดาวปฐมภูมิของระบบดาวคู่แบบใกล้ชิดได้ถึงจุดสิ้นสุดและกลายเป็นดาวมวลอัดแน่นไปแล้ว ก๊าซจะหมุนรอบดาวมวลอัดแน่นไปในขณะที่ค่อย ๆ ตกลงสู่ในกลางเรื่อย ๆ ซึ่งอาจเกิดเป็นจานพอกพูนมวลขึ้น

ระบบดาวคู่

[แก้]
ภาพวาดในจินตนาการของก๊าซและฝุ่นรอบดาว GG Tauri[16]

เมื่อเกิดการรวบรวมก๊าซขึ้นในระบบดาวคู่ ก็อาจก่อตัวเป็นจานขึ้นมาในระบบดาวคู่นั้นได้ ระบบดาวคู่ที่สั่งสมก๊าซซึ่งมีโมเมนตัมเชิงมุมมักจะก่อตัวเป็นจานได้ง่าย[17] จานในระบบดาวคู่อาจแบ่งออกเป็น 3 ประเภท

  • จานรอบดาวปฐมภูมิ (ดาวฤกษ์มวลมากกว่าใน 2 ดวง) สามารถก่อตัวขึ้นได้หากก๊าซที่สะสมมีโมเมนตัมเชิงมุมอยู่[17]
  • จานรอบดาวทุติยภูมิ (ดาวฤกษ์มวลน้อยกว่า) โดยปกติจะไม่สามารถก่อตัวได้ เว้นแต่ก๊าซที่สั่งสมจะมีโมเมนตัมเชิงมุมสูงเพียงพอ ขนาดโมเมนตัมเชิงมุมที่จำเป็นนั้นจะพิจารณาจากอัตราส่วนมวลของดาวฤกษ์ปฐมภูมิต่อดาวฤกษ์ทุติยภูมิ
  • จานรอบดาวคู่ (circumbinary disc) เป็นจานที่ก่อตัวขึ้นล้อมรอบทั้งดาวปฐมภูมิและดาวทุติยภูมิ โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางภายในใหญ่กว่าวงโคจรของดาวคู่ เชื่อกันว่าจานรอบดาวคู่มีมวลสูงสุดอยู่ที่ 0.5% ของมวลดวงอาทิตย์[18][17] ระบบดาวที่มีจานรอบดาวคู่อยู่ได้แก่ GG Tauri เป็นต้น[19]

จานมักมีลักษณะสมมาตรและก่อตัวในระนาบการโคจรของระบบดาวคู่ แต่อาจได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ของบาร์ดีน–เพตเตอร์สัน[20] สนามแม่เหล็กขั้วคู่ที่ไม่สม่ำเสมอ[21] ความดันรังสี[22] และแรงน้ำขึ้นลง[18] ทำให้แผ่นจานอาจบิดตัวหรือเอียง ตัวอย่างของจานแบบเอียงสามารถพบได้ใน Her X-1, SS 433 เป็นต้น การแผ่รังสีเอกซ์จะลดลงและเพิ่มขึ้นเป็นคาบ 30 ถึง 300 วัน ซึ่งนานกว่าคาบการโคจรของดาวคู่มาก[23] สันนิษฐานว่าเกิดจากการหมุนควงของจานรอบดาวฤกษ์ปฐมภูมิหรือจานรอบดาวคู่ ซึ่งโดยปกติจะโคจรกลับทิศเมื่อเทียบกับวงโคจรของดาวคู่

วิวัฒนาการของจานรอบดาวฤกษ์

[แก้]
จานฝุ่นรอบดาวฤกษ์อายุน้อย HD 100546 ซึ่งคาดว่าเป็นจานช่วงเปลี่ยนถ่าย[24]
วงแหวนฝุ่นรอบดาวฤกษ์อายุน้อย HD 141569[25]
วงแหวนฝุ่นบาง ๆ รอบดาว HR 4796[26]
จานก๊าซและฝุ่นรอบดาวฤกษ์อายุน้อย HD 163296 ส่วนที่เห็นเป็นช่องว่างภายในแผ่นจานเกิดจากการที่ก๊าซและฝุ่นหายไป ซึ่งคาดว่าเกิดจากการที่มีดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้น[27]

วิวัฒนาการของจานรอบดาวฤกษ์อาจแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอนตามการเปลี่ยนแปลงตามช่วงวิวัฒนาการของโครงสร้างและส่วนประกอบหลัก

วิธีการจำแนกแบบหนึ่งคือดูที่ขนาดของอนุภาค เช่น ฝุ่น ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของจาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีระยะที่อนุภาคขนาด 1 μm ลงมาเป็นองค์ประกอบหลัก, ระยะที่อนุภาคเติบโตกลายเป็นอนุภาคขนาดใหญ่ขึ้น, ระยะที่มีความหนาแน่นมากขึ้นและก่อตัวเป็นดาวเคราะห์ก่อนเกิด และ ระยะที่เติบโตต่อไปอีกจนเกิดเป็นระบบดาวเคราะห์ขึ้น

อีกทางเลือกหนึ่ง จากปริมาณของก๊าซและแบบจำลองของการก่อตัวดาวทางทฤษฎี อาจจำแนกออกเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้

  • จานดาวเคราะห์ก่อนเกิด เป็นจานที่มีสสารดั้งเดิมจำนวนมาก เช่น ก๊าซและฝุ่น ซึ่งอาจก่อตัวเป็นดาวเคราะห์
  • จานช่วงเปลี่ยนผ่าน คือจานที่ก๊าซและฝุ่นหมดลงและอยู่ในตำแหน่งระหว่างจานก่อกำเนิดดาวเคราะห์และจานเศษซาก ขนาดของอนุภาคฝุ่นจะใหญ่กว่าขนาดของจานดาวเคราะห์ก่อนเกิด และความหนาของเส้นรอบวงรอบนอกของจานก็ลดลงด้วย เมื่อวิวัฒนาการดำเนินไป จะมีรูปรากฏขึ้นตรงกลางของจาน
  • จานเศษซาก เป็นจานที่ประกอบด้วยฝุ่นละเอียด และก๊าซที่เกิดจากการชนกันและการกลายเป็นไอ โดยอาจมีก๊าซอยู่เพียงเล็กน้อยหรือในบางกรณีอาจไม่มีเลย ก๊าซที่มีอยู่ก่อนและอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กจะกระจายหายไปหรือถูกจับโดยดาวเคราะห์

ในระบบสุริยะ ฝุ่นระหว่างดาวเคราะห์ในระนาบวงโคจรของดาวเคราะห์ (สุริยวิถี) ที่เกิดจากการชนกันของดาวเคราะห์น้อยหรือการกลายเป็นไอของดาวหางสามารถเห็นเป็นแสงจักรราศีจากบนโลก

นอกจากนี้ ในระหว่างการวิวัฒนาการจากจานดาวเคราะห์ก่อนเกิดไปสู่จานเศษซาก สามารถสังเกตเห็นการลดลงของจำนวนอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กระดับมิลลิเมตรในบริเวณรอบนอกของจานการเพิ่มขึ้นของปริมาณฝุ่นอุณหภูมิสูงในบริเวณวงในของจาน และการหายไปของก๊าซ[28]

กระบวนการกระจายหายไป

[แก้]

หนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญที่เกิดจากวิวัฒนาการของจานรอบดาวคือการกระจายหายไปของมวลสาร การวิจัยศึกษากระบวนการกระจายหายไปของมวลสารในแต่ละขั้นตอนวิวัฒนาการของจานรอบดาว ร่วมกับข้อมูลเกี่ยวกับมวลของดาวฤกษ์ใจกลางนั้น จะให้เบาะแสเกี่ยวกับมาตราส่วนเวลาวิวัฒนาการ ตัวอย่างเช่น จากผลการสังเกตการณ์กระบวนการกระจายหายไปของมวลสารในจานช่วงเปลี่ยนผ่าน (จานที่มีรูภายใน[29]) ได้ประมาณอายุเฉลี่ยของจานรอบดาวฤกษ์ไว้ประมาณ 10 ล้านปี[30]

ยังไม่มีทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับแน่ชัดเกี่ยวกับกลไกของกระบวนการกระจายหายไป รวมถึงช่วงระยะหรือมาตราส่วนเวลาที่กระบวนการกระจายหายไปเกิดขึ้น มีการเสนอสมมติฐานหลายข้อและลักษณะเชิงสังเกตการณ์ที่คาดการณ์ไว้ของจานเพื่ออธิบายกระบวนการกระจายหายไปของจานรอบดาวฤกษ์ สมมติฐานหลัก ๆ เช่น ฝุ่นจะทึบแสงน้อยลงเมื่อเติบโตเป็นอนุภาคขนาดใหญ่ขึ้นจึงสังเกตได้ยากขึ้น[31] หรืออาจเกิดจากการระเหยด้วยแสงเนื่องจากโฟตอนของรังสีเอกซ์และรังสีอัลตราไวโอเลตที่มาจากดาวที่ใจกลาง (หรือ ลมดาวฤกษ์)[32] หรืออาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลดาวเคราะห์ยักษ์ที่ก่อกำเนิดขึ้นภายในจาน[33]

ระยะเวลาของกระบวนการกระจายหายไปนั้นคาดว่าจะค่อนข้างสั้น มีวัตถุท้องฟ้าที่ดูเหมือนว่าจะเกิดการกระจายหายไปทั้งวงด้านในและวงรอบนอกของจานรอบดาวฤกษ์เกือบพร้อม ๆ กัน หรืออาจเริ่มกระจายหายไปจากส่วนด้านในแล้วไล่ไปยังด้านนอก โดยคาดว่าอาจใช้เวลาประมาณ 5 แสนปีตั้งแต่เริ่มเกิดการกระจายจนหายไปหมด[34]

วิวัฒนาการทางกลศาสตร์

[แก้]

จานรอบดาวฤกษ์จะไม่อยู่ในสภาวะสมดุล โดยจะค่อย ๆ เสียสมดุลและเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ความหนาแน่นต่อพื้นที่จาน คำนวณได้จาก

ในที่นี้ คือระยะห่างแนวรัศมีจากจุดศูนย์กลางของจาน ส่วน แสดงค่าความหนืด ที่ตำแหน่ง [35] สมการนี้ถือว่าแผ่นจานเป็นแบบมีแกนสมมาตร ไม่มีความแตกต่างในโครงสร้างตามแนวความหนาของแผ่นจาน

ความหนืดของจาน ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากตัวโมเลกุล หรือความปั่นป่วน จะทำให้เกิดการสูญเสียโมเมนตัมเชิงมุมไปยังด้านนอกของจาน แล้วในที่สุดจะทำให้มวลจำนวนมากไปพอกพูนเข้าที่ส่วนดาวฤกษ์ใจกลาง[35] อัตราการเพิ่มมวลสู่ดาวฤกษ์ใจกลาง ขึ้นอยู่กับค่าความหนืด โดยคำนวณได้ดังนี้

ในที่นี้ คือเส้นผ่านศูนย์กลางด้านในของแผ่นจาน

อ่านเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Circumstellar Disks HD 141943 and HD 191089". ESA/Hubble images. สืบค้นเมื่อ 29 เมษายน 2014.
  2. Hartmann, Lee; และคณะ. "Accretion and the Evolution of T Tauri Disks". Astrophysical Journal. 495 (1): 385–400. Bibcode:1998ApJ...495..385H. doi:10.1086/305277.
  3. Benisty, M.; และคณะ. "A low optical depth region in the inner disk of the Herbig Ae star HR 5999". Astronomy and Astrophysics. 531: A84. Bibcode:2011A&A...531A..84B. doi:10.1051/0004-6361/201016091.
  4. de Wit, W. J.; และคณะ. "Mid-infrared interferometry towards the massive young stellar object CRL 2136: inside the dust rim". Astronomy and Astrophysics. 526: L5. Bibcode:2011A&A...526L...5D. doi:10.1051/0004-6361/201016062.
  5. "ALMA Reveals Planetary Construction Sites". ESO. สืบค้นเมื่อ 21 ธันวาคม 2015.
  6. 岡村定矩・家 正則・犬塚修一郎・小山勝二・千葉柾司・富阪幸治, บ.ก. (2012-07-20). 天文学辞典. シリーズ現代の天文学. Vol. 別. 日本評論社. p. 214. ISBN 978-4-535-60738-5.
  7. "Exoplanet Caught on the Move". ESO. 10 มิถุนายน 2010. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2017.
  8. Kalas, P.; และคณะ (13 พฤศจิกายน 2008). "Hubble Directly Observes Planet Orbiting Fomalhaut". Space Telescope Science Institute (STScI). สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2024.
  9. Porter, John M.; Rivinius, Thomas. "Classical Be Stars". Publications of the Astronomical Society of the Pacific. 115 (812): 1153–1170. Bibcode:2003PASP..115.1153P. doi:10.1086/378307.
  10. "Into the Chrysalis". ESO. 27 กันยายน 2007. สืบค้นเมื่อ 12 กันยายน 2017.
  11. Deroo, P.; และคณะ. "AMBER and MIDI interferometric observations of the post-AGB binary IRAS 08544-4431: the circumbinary disc resolved". Astronomy and Astrophysics. 474 (3): L45–L48. Bibcode:2007A&A...474L..45D. doi:10.1051/0004-6361:20078079.
  12. "Sharp Vision Reveals Intimacy of Stars". ESO. 24 พฤศจิกายน 2005. สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2017.
  13. Domiciano de Souza, A.; และคณะ. "AMBER/VLTI and MIDI/VLTI spectro-interferometric observations of the B[e] supergiant CPD-57°2874. Size and geometry of the circumstellar envelope in the near- and mid-IR". Astronomy and Astrophysics. 464 (1): 81–86. Bibcode:2007A&A...464...81D. doi:10.1051/0004-6361:20054134.
  14. Becklin, E. E.; และคณะ. "A Dusty Disk around GD 362, a White Dwarf with a Uniquely High Photospheric Metal Abundance". Astrophysical Journal. 632 (2): L119–L122. Bibcode:2005ApJ...632L.119B. doi:10.1086/497826.
  15. Farihi, J.; Jura, M.; Zuckerman, B. "Infrared Signatures of Disrupted Minor Planets at White Dwarfs". Astrophysical Journal. 694 (2): 805–819. Bibcode:2009ApJ...694..805F. doi:10.1088/0004-637X/694/2/805.
  16. "Planet-forming Lifeline Discovered in a Binary Star System". ESO. 29 ตุลาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 12 กันยายน 2017.
  17. 17.0 17.1 17.2 Bate, Matthew R.; Bonnell, Ian A. "Accretion during binary star formation - II. Gaseous accretion and disc formation". Monthly Notices of the Royal Astronomical Society. 285 (1): 33–48. Bibcode:1997MNRAS.285...33B. doi:10.1093/mnras/285.1.33.
  18. 18.0 18.1 Larwood, John D.; Papaloizou, John C. B. "The hydrodynamical response of a tilted circumbinary disc: linear theory and non-linear numerical simulations". Monthly Notices of the Royal Astronomical Society. 285 (2): 288–302. arXiv:astro-ph/9609145. Bibcode:1997MNRAS.285..288L. doi:10.1093/mnras/285.2.288.
  19. Roddier, C.; และคณะ. "Adaptive Optics Imaging of GG Tauri: Optical Detection of the Circumbinary Ring". Astrophysical Journal. 463: 326–335. Bibcode:1996ApJ...463..326R. doi:10.1086/177245.
  20. Bardeen, James M.; Petterson, Jacobus A. (1975-01-15). "The Lense-Thirring effect and accretion discs around Kerr black holes". Astrophysical Journal Letters. 195: L65–L67. Bibcode:1975ApJ...195L..65B. doi:10.1086/181711.
  21. Terquem, C.; Papaloizou, J. C. B. "The response of an accretion disc to an inclined dipole with application to AA Tau". Astronomy and Astrophysics. 360: 1031–1042. arXiv:astro-ph/0006113. Bibcode:2000A&A...360.1031T.
  22. Pringle, J. E. "Self-induced warping of accretion discs". Monthly Notices of the Royal Astronomical Society. 281 (1): 357–361. Bibcode:1996MNRAS.281..357P. doi:10.1093/mnras/281.1.357.
  23. Maloney, Philip R.; Begelman, Mitchell C. "The Origin of Warped, Precessing Accretions Disks in X-Ray Binaries". Astrophysical Journal Letters. 491 (1): L43–L46. arXiv:astro-ph/9710060. Bibcode:1997ApJ...491L..43M. doi:10.1086/311058.
  24. "The Birth of a Giant Planet?". ESO. 28 กุมภาพันธ์ 2013. สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2017.
  25. "Boulevard of broken rings". ESO. 20 มิถุนายน 2016. สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2017.
  26. "First Light for SPHERE Exoplanet Imager". ESO. 4 มิถุนายน 2014. สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2017.
  27. "Planets in the making". ESO. สืบค้นเมื่อ 26 ธันวาคม 2016.
  28. Wyatt, M. C.; และคณะ. "Five steps in the evolution from protoplanetary to debris disk". Astrophysics and Space Science. 357 (2): 103. Bibcode:2015Ap&SS.357..103W. doi:10.1007/s10509-015-2315-6.
  29. Mamajek, Eric E. "Initial Conditions of Planet Formation: Lifetimes of Primordial Disks". AIP Conference Proceedings. 1158: 3–10. arXiv:0906.5011. Bibcode:2009AIPC.1158....3M. doi:10.1063/1.3215910.
  30. Cieza, Lucas; และคณะ. "The Spitzer c2d Survey of Weak-Line T Tauri Stars. II. New Constraints on the Timescale for Planet Building". Astrophysical Journal. 667 (1): 308–328. arXiv:0706.0563. Bibcode:2007ApJ...667..308C. doi:10.1086/520698.
  31. Nelson, Andrew F.; Benz, Willy; Ruzmaikina, Tamara V. "Dynamics of Circumstellar Disks. II. Heating and Cooling". Astrophysical Journal. 529 (1): 357–390. Bibcode:2000ApJ...529..357N. doi:10.1086/308238.
  32. Clarke, C.; Gendrin, A.; Sotomayor, M. "The dispersal of circumstellar discs: the role of the ultraviolet switch". Monthly Notices of the Royal Astronomical Society. 328: 485–491. Bibcode:2001MNRAS.328..485C. doi:10.1046/j.1365-8711.2001.04891.x.
  33. Bryden, G.; และคณะ. "Tidally Induced Gap Formation in Protostellar Disks: Gap Clearing and Suppression of Protoplanetary Growth". Astrophysical Journal. 514 (1): 344–367. Bibcode:1999ApJ...514..344B. doi:10.1086/306917.
  34. Williams, Jonathan P.; Cieza, Lucas A. "Protoplanetary Disks and Their Evolution". Annual Review of Astronomy and Astrophysics. 49 (1): 67–117. Bibcode:2011ARA&A..49...67W. doi:10.1146/annurev-astro-081710-102548.
  35. 35.0 35.1 Armitage, Philip J. "Dynamics of Protoplanetary Disks". Annual Review of Astronomy and Astrophysics. 49 (1): 195–236. arXiv:1011.1496. Bibcode:2011ARA&A..49..195A. doi:10.1146/annurev-astro-081710-102521.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]