กิมฮ้อ นิมมานเหมินท์
กิมฮ้อ นิมมานเหมินท์ | |
---|---|
เกิด | 20 มีนาคม พ.ศ. 2437 นครเชียงใหม่ ล้านนา |
เสียชีวิต | 30 เมษายน พ.ศ. 2524 (87 ปี) โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ |
คู่สมรส | กี นิมมานเหมินท์ |
บุตร | 6 คน |
บิดามารดา | หลวงอนุสารสุนทร คำเที่ยง บุรี |
กิมฮ้อ นิมมานเหมินท์ (สกุลเดิม: ชุติมา) หรือเป็นที่รู้จักในนาม แม่นายกิมฮ้อ เป็นคหบดีชาวเชียงใหม่ซึ่งผู้คนในเชียงใหม่ยกย่องและเคารพนับถือมากคนหนึ่งในยุคนั้น จากการเป็นผู้ริเริ่มการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวมไปถึงการอนุเคราะห์และสงเคราะห์ประชาชน, องค์กรการกุศล, การศึกษา และศาสนสถานต่างๆในเชียงใหม่มากมาย
ประวัติ
[แก้]กิมฮ้อ เป็นบุตรหญิงคนโตของหลวงอนุสารสุนทร กรมการพิเศษเมืองนครเชียงใหม่ และนางคำเที่ยง บุรี เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2437 ณ เรือนคำเที่ยง นครเชียงใหม่ มีพี่น้องร่วมมารดาและต่างมารดาคือ
- นายแพทย์ยงค์ ชุติมา
- นายสงัด บรรจงศิลป์
- นายเชื้อ อนุสารสุนทร
- นางสาว กรองทอง ชุติมา
- นายวิพัฒน์ ชุติมา
- นายชัชวาล ชุติมา
นางกิมฮ้อจบการศึกษาจากโรงเรียนสตรีพระราชชายา และในปี พ.ศ. 2454 นางกิมฮ้อได้สมรสกับนายกี นิมมานเหมินท์ และมีบุตรธิดารวมทั้งสิ้น 6 คน คือ
- นายไกรศรี นิมมานเหมินท์ - ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ล้านนา และเป็นหนึ่งในนักธุรกิจใหญ่ของเชียงใหม่ของยุคนั้น
- นายพิสุทธิ์ นิมมานเหมินท์ - ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนที่ 8
- ศาสตราจารย์ อัน นิมมานเหมินท์ - ศาสตราจารย์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- นายเรือง นิมมานเหมินท์ - นักการเมืองท้องถิ่น และอดีตนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่
- นายแจ่มจิตต์ เลาหวัฒน์ - นักสังคมสงเคราะห์
- นางอุณณ์ ชุติมา - ผู้ก่อตั้ง ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่
นางกิมฮ้อถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2524 ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ สิริอายุ 87 ปี
บรรพบุรุษ
[แก้]พงศาวลีของกิมฮ้อ นิมมานเหมินท์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
การเพื่อสังคม
[แก้]การก่อตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
[แก้]พ.ศ. 2496 นางกิมฮ้อ และนายกี นิมมานเหมินท์ สามี ริเริ่มความคิดในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นในภาคเหนือ โดยทำการยกที่ดินให้กับคณะมิชชันนารีอเมริกัน ซึ่งในขณะนั้นคณะมิชชันนารีคณะนี้กำลังทำหนังสือขออนุมัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งก็ได้รับการปฏิเสธจากกระทรวงศึกษาธิการ โดยอ้างว่าการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเป็นเอกสิทธิของรัฐบาลกลางเพียงผู้เดียว ต่อมาได้มีการรณรงค์ในเชียงใหม่ทางคณะหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ว่า "ในภาคเหนือ เราต้องการมหาวิทยาลัย" และ "เราต้องการมหาวิทยาลัยประจำล้านนาไทย"[1]ซึ่งการเคลื่อนไหวอย่างหนักทำให้รัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ได้ตอบว่าจะสร้างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้เป็นสาขาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เปิดการประมูลที่ดินใกล้ตัวเมืองเพื่อจัดตั้งมหาวิทยาลัย ซึ่งนางกิมฮ้อร่วมกับนายกีได้บริจาคที่ดินจำนวน 100 ไร่เศษ ณ บริเวณฝั่งตะวันตกของตัวเมืองใกล้เชิงดอยสุเทพ[1] แต่รัฐบาลไม่ยอมรับ และรัฐบาลไปซื้อที่ดินบริเวณอำเภอแม่ริม (เขตทหารในปัจจุบัน) แต่ก็มิได้ทำการจัดตั้งมหาวิทยาลัย ต่อมาชาวเชียงใหม่สามารถก่อตั้งโรงเรียนแพทย์เชียงใหม่ขึ้น โดยความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกา
ต่อมารัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีนโยบายที่จะจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ศาสตร์เชียงใหม่ จึงได้เกิดความร่วมมือกับตระกูลนิมมานเหมินท์-ชุติมาในการจัดหาที่ดิน ซึ่งรัฐบาลก็ได้ที่ดินริมถนนสุเทพมาเพื่อจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ศาสตร์ ต่อมาเมื่อมีโครงการจะจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดร.พอล ดับบลิว ซีเกอร์ส ที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัยอินเดียนา ให้คำแนะนำว่าพื้นที่ราบเชิงดอยสุเทพมีความเหมาะสมเพราะใกล้เมืองและมีแหล่งน้ำ ที่ดินที่รัฐบาลต้องการในขั้นต้น มีเนื้อที่รวมกว่าสี่ร้อยไร่ โดยเป็นในส่วนที่ดินของนายกีและนางกิมฮ้อจำนวน 112 ไร่ จึงได้ตกลงขายซื้อขายในราคาถูก[1] ต่อมานายกีและนางกิมฮ้อก็บริจาคที่ดินเพิ่มเติมให้แก่มหาวิทยาลัยสองครั้ง ในที่สุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็จัดตั้งสำเร็จในปี 2507 นอกจากนี้ยังบริจาคที่ดินบางส่วนเพื่อใช้ตัดถนนใหม่เพื่อให้การจราจรคล่องตัว (ถนนนิมมานเหมินท์ในปัจจุบัน)