ข้ามไปเนื้อหา

การวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตัวอย่างรูปแบบการกระเซ็นของเลือดและหยดเลือด
นิติวิทยาศาสตร์
ขอบเขตนิติวิทยาศาสตร์
นิติเวชศาสตร์นิติวิศวกรรมศาสตร์
นิติทันตวิทยานิติมานุษยวิทยา
การตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์เฉพาะบุคคล
การตรวจพิสูจน์บุคคล
การตรวจหาคราบอสุจิ ตัวอสุจิ
การศึกษาและพิสูจน์บุคคลจากฟัน
เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์
การพิสูจน์หลักฐานการตรวจวัตถุระเบิด
การตรวจภาพเชิงซ้อน
การตรวจทางเคมีการตรวจทางฟิสิกส์
การตรวจทางชีววิทยาการตรวจทางนิติเวช
การตรวจเอกสารการตรวจวัสดุเส้นใย
การตรวจสถานที่เกิดเหตุและการถ่ายรูป
การตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
การตรวจอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลาง
เทคโนโลยีสารสนเทศ
AFISCDOSPICASSO
หน่วยงานในไทย
กองบังคับการอำนวยการ
พฐ.นิติวิทยาศาสตร์
วิทยาการเขต 1วิทยาการเขต 2
วิทยาการเขต 3วิทยาการเขต 4

การวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือด (อังกฤษ: Bloodstain pattern analysis (ย่อ: BPA)) เป็นสาขาวิชาทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์รอยคราบเลือดที่เหลืออยู่ในที่เกิดเหตุที่ทราบหรือต้องสงสัย ผ่านการจดจำรูปแบบภาพและการประเมินตามหลักฟิสิกส์ การกระทำดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่ออนุมานเกี่ยวกับลักษณะ เวลา และรายละเอียดอื่น ๆ ของอาชญากรรม[1] โดยพื้นฐานแล้วการวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือด จะมุ่งเน้นไปที่การจดจำและการจัดหมวดหมู่รูปแบบรอยคราบเลือด ซึ่งเป็นงานที่จำเป็นสำหรับการจำลองเหตุการณ์ในอาชญากรรมหรืออุบัติเหตุ การตรวจสอบคำให้การที่ให้ไว้ระหว่างการสอบสวน การแก้ไขความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในอาชญากรรม การระบุพื้นที่ที่มีแนวโน้มสูงที่ผู้กระทำความผิดจะเคลื่อนที่ไปเพื่อสุ่มตัวอย่าง DNA ที่มีลำดับความสำคัญ และการแยกแยะระหว่างการฆาตกรรม การฆ่าตัวตาย และอุบัติเหตุ[2]

ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 ผู้เชี่ยวชาญด้าน BPA อ้างว่าสามารถใช้ชีววิทยา ฟิสิกส์ และการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เพื่อจำลองเหตุการณ์ที่เกิดเหตุอาชญากรรมขึ้นมาใหม่ได้อย่างแม่นยำ และคำกล่าวอ้างเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในสหรัฐอเมริกา[3] นักวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดใช้วิธีการจำแนกประเภทที่แตกต่างกัน วิธีการจำแนกประเภทที่พบมากที่สุดสร้างขึ้นโดย S. James P. Kish และ P. Sutton[4] โดยแบ่งคราบเลือดออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ คราบเลือดแบบหยดลงตามธรรมชาติ (Passive bloodstains) คราบเลือดเกิดจากการกระเซ็น (Spatter bloodstains) และคราบเลือดที่มีการเปลี่ยนแปลง (Altered bloodstains)

การจำแนกรูปแบบรอยคราบเลือดจะมีความสำคัญ และมีความท้าทายเนื่องจากไม่มีวิธีการที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป และยังมีความไม่แน่นอนในการตีความรูปแบบดังกล่าว วิธีการจำแนกประเภทปัจจุบันมักจะอธิบายประเภทของรูปแบบโดยอิงตามกลไกการสร้างมากกว่าลักษณะที่สังเกตได้ ซึ่งทำให้กระบวนการวิเคราะห์มีความซับซ้อน[5] ในทางอุดมคติ BPA เกี่ยวข้องกับการประเมินลักษณะรูปแบบอย่างละเอียดตามเกณฑ์วัตถุประสงค์และการตีความ เพื่อช่วยในการจำลองฉากอาชญากรรมขึ้นใหม่[5] อย่างไรก็ตาม การขาดมาตรฐานด้านวิธีการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีความสม่ำเสมอและความเข้มงวดในกระบวนการ BPA

ความถูกต้องของการวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดถูกตั้งคำถามตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1990 และจากการศึกษาล่าสุด มีตั้งคำถามอย่างมากเกี่ยวกับความแม่นยำของการวิเคราะห์[6] รายงานฉบับสมบูรณ์ของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Academy of Sciences) ในปี ค.ศ. 2009 สรุปว่า "ความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์คราบเลือดมีอยู่มากมาย" และความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านรูปแบบรอยคราบเลือดที่อ้างว่าเป็น "ความเห็นส่วนตัวมากกว่าทางด้านวิทยาศาสตร์"[6][7] รายงานดังกล่าวเน้นย้ำถึงเหตุการณ์หลายครั้งที่นักวิเคราะห์การกระเซ็นของเลือดกล่าวเกินคุณสมบัติของตนและตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของวิธีการของพวกเขา[7][8] ในปี ค.ศ. 2021 ได้มีการเผยแพร่ผลการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับความแม่นยำของ BPA โดยผลลัพธ์ "จะแสดงให้เห็นว่า [ข้อสรุปเกี่ยวกับ BPA] มักผิดพลาดและมักขัดแย้งกับนักวิเคราะห์อื่น ๆ"[9]

ประวัติศาสตร์

[แก้]

ยุคแรก

[แก้]

การวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดถูกนำมาใช้อย่างไม่เป็นทางการมานานหลายศตวรรษ แต่การศึกษารอยคราบเลือดสมัยใหม่ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1895 โดย Dr. Eduard Piotrowski จากมหาวิทยาลัยกรากุฟ ตีพิมพ์บทความเรื่อง "On the formation, form, direction, and spreading of blood stains after blunt trauma to the head."[10][11] โดยทำการทดลองครั้งแรกกับกระต่าย[12] มีการตีพิมพ์สิ่งพิมพ์จำนวนหนึ่งที่บรรยายถึงลักษณะต่าง ๆ ของรอยคราบเลือด แต่สิ่งพิมพ์ของเขาไม่ได้นำไปสู่การวิเคราะห์เชิงกระบวนการ ในหนังสือ Homicide Investigation ของ LeMoyne Snyder ซึ่งได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง (ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1941 และมีการปรับปรุงเป็นครั้งคราวอย่างน้อยจนถึงในช่วงทศวรรษที่ 1970) ยังได้กล่าวถึงรายละเอียดสั้น ๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านรอยคราบเลือดในเวลาต่อมาได้ขยายความเพิ่มเติม (เช่น เลือดจะแห้งในอัตราที่คาดเดาได้ค่อนข้างมาก เลือดในหลอดเลือดแดงจะมีสีแดงสดกว่าเลือดอื่น ๆ และรอยคราบเลือดมีแนวโน้มที่จะตกเป็นรูปแบบบางอย่างขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของผู้โจมตีและเหยื่อ)[13] ซีรีส์ทางวิทยุเกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานของตำรวจ เรื่อง Dragnet ฉายในปี ค.ศ. 1952 ได้กล่าวถึงการวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดเพื่อจำลองเหตุการณ์การยิงขึ้นมาใหม่[14]

การยอมรับว่าเป็นหลักฐานที่ถูกต้องในศาลของสหรัฐอเมริกา

[แก้]

ระหว่างปี ค.ศ. 1880 ถึง ค.ศ. 1957 ศาลในรัฐมิชิแกน รัฐมิสซิสซิปปี รัฐโอไฮโอ และรัฐแคลิฟอร์เนีย ปฏิเสธคำให้การของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการวิเคราะห์รอยคราบเลือด โดยส่วนใหญ่ถือว่าคำให้การดังกล่าวไม่ได้ช่วยเสริมการประเมินรอยคราบเลือดที่คณะลูกขุนส่งมาเป็นหลักฐานแต่อย่างใด[15] ในปี ค.ศ. 1957 ศาลฎีกาแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียได้กลายเป็นศาลในสหรัฐแห่งแรกที่ยอมรับคำให้การของผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบรอยคราบเลือด โดยยอมรับคำให้การของ Paul L. Kirk ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านชีวเคมีและนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลักฐาน[15] นอกจากนี้ เขายังให้การเป็นพยานในคดี Sam Sheppard ในปี ค.ศ. 1966 เมื่อภรรยาของแพทย์กระดูกถูกตีจนเสียชีวิตในบ้านของเธอ โดยตีความจากหลักฐานการกระเซ็นของเลือดว่าฆาตกรเป็นคนถนัดซ้าย (ขณะที่ Sheppard ถนัดขวา)[15] อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดจะไม่เริ่มถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย จนกระทั่งได้รับการส่งเสริมโดย Herbert Leon MacDonell ซึ่ง MacDonell ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับรอยคราบเลือดโดยได้รับทุนจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐและได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยของเขาในหนังสือชื่อ "Flight Characteristics and Stain Patterns of Human Blood" (1971) อีกด้วย[15] MacDonell ให้การเป็นพยานในศาลหลายครั้งในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์รอยคราบเลือด และบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สร้างขึ้นในคดีเหล่านี้ทำให้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในศาลของสหรัฐ แม้ว่าในช่วงต้นปี ค.ศ. 1980 ผู้พิพากษาบางคนแสดงความสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของเอกสารนี้ และไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นหลักฐานเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐที่ไม่มีคำตัดสินใด ๆ ก่อนหน้านี้ที่อาศัยหลักฐานดังกล่าว[15]

หลักสูตรการฝึกอบรมเรื่องรอยคราบเลือดอย่างเป็นทางการครั้งแรกจัดขึ้นโดย MacDonell ในปี ค.ศ. 1973 ที่เมืองแจ็กสัน รัฐมิสซิสซิปปี โดย MacDonell ได้สอนการประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับวิธีดำเนินการวิเคราะห์รอยคราบเลือด และนักวิเคราะห์รอยคราบเลือดที่ได้รับการฝึกอบรมใหม่ ซึ่งมักได้รับการเรียนการสอนเพียง 40 ชั่วโมง ก็จะสามารถให้การเป็นผู้เชี่ยวชาญในคดีในศาล[15] ในปี ค.ศ. 1983 สมาคมนักวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดนานาชาติสหรัฐ (IABPA) ได้รับการก่อตั้งโดยกลุ่มนักวิเคราะห์รอยคราบเลือดเพื่อช่วยพัฒนาสาขาการวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่[16]

การสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับเป็นหลักฐาน

[แก้]

เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 คดีในศาลที่นักวิเคราะห์รอยคราบเลือดมีความเห็นไม่ตรงกัน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของการคาดการณ์ในวิชานี้ในฐานะหลักฐานที่รับไว้พิจารณาได้ในศาล[17][18][19] ในปี ค.ศ. 2009 สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ ได้เผยแพร่ผลการตรวจสอบวิธีการทางนิติที่ใช้ในศาลของสหรัฐ ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์การวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดและข้อมูลรับรองของนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในสาขานี้อย่างรุนแรง[15][18] ผู้พิพากษาส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อผลการค้นพบของรายงานและยังคงยอมรับการวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดเป็นหลักฐานจากผู้เชี่ยวชาญ[15]

ในปี ค.ศ. 2013 Daniel Attinger ซึ่งเป็นนักวิจัยพลศาสตร์ของไหลแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดในวารสารวิชาการ Forensic Science International โดยพบว่าสมมติฐานหลักหลายประการเกี่ยวกับการวิเคราะห์รอยคราบเลือดยังไม่ได้รับการทดสอบ และนักวิเคราะห์ที่มีอยู่มักจะตั้งสมมติฐานที่ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาดอื่น ๆ ในการวิเคราะห์ของตน เอกสารนี้ยังได้เสนอให้ใช้ พลศาสตร์ของไหลเป็นกรอบทฤษฎีในการแก้ปัญหาเหล่านี้ และ Attinger ยังคงตีพิมพ์เอกสารหลายฉบับที่สำรวจแนวคิดเหล่านี้ (เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ) อย่างไรก็ตาม เอกสารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเชิงทฤษฎีและมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อการใช้การวิเคราะห์รอยคราบเลือดในศาล[15]

หลักฟิสิกส์ของเลือด

[แก้]

หลักการ

[แก้]

เลือดประกอบด้วยส่วนประกอบสามส่วนที่แขวนลอยอยู่ในพลาสมา ได้แก่ เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด[20]

เมื่อหลอดเลือดได้รับความเสียหาย เลือดจะเริ่มเคลื่อนที่ออกไปนอกระบบไหลเวียนโลหิต ตามกฎของฟิสิกส์ หากเลือดที่รั่วไหลนี้ไหลออกมาสู่ผิวหนัง มันก็จะถูกขับออกมาภายนอกและอาจสัมผัสกับสภาพแวดล้อมรอบตัวบุคคลนั้น และมีปฏิสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุดบางประการได้แก่[21]

  • แรงโน้มถ่วง
  • แหล่งภายในที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อเลือด (เช่น การหายใจออก ความดันโลหิต ฯลฯ)
  • แรงภายนอกที่ใช้กับแหล่งที่เลือดออก (เช่น ถูกตีด้วยอาวุธ)
  • การถ่ายโอนหรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการสัมผัสกันของพื้นผิวสองพื้นผิว (ปัด เช็ด ฯลฯ)

เนื่องจากเลือดประกอบด้วยพลาสมาร้อยละ 55 (และส่วนประกอบของแข็งร้อยละ 45 ที่แขวนลอยอยู่ในพลาสมา) เลือดจึงเป็นของเหลวที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักและมีพฤติกรรมเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เลือดคือของเหลวที่มีคุณสมบัติเป็นของไหลแบบซูโดพลาสติกและเป็นของไหลแบบนอนนิวโตเนียน และมีคุณสมบัติทางกายภาพหลักสามประการมีดังนี้[21]

  • ความหนืด (แสดงด้วย μ) อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างแรงที่ใช้กับของเหลวและอัตราที่อนุภาคของเหลวจะแยกออกจากกันหรือเสียรูป[21] หากของเหลวมีความหนืดสูงจะไม่ไหลได้ง่ายเหมือนของเหลวที่มีความหนืดต่ำ เนื่องจากสิ่งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของของไหล ความหนืดของเลือดจึงลดลงเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นและค่าฮีมาโทคริตลดลง นอกจากนี้ ยังลดลงเมื่อมีแรงเฉือนสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุว่าทำไมจึงจัดอยู่ในประเภทของไหลแบบซูโดพลาสติกและของไหลแบบนอนนิวโตเนียน และคือสาเหตุที่เลือดจึงดูมีน้ำมากขึ้นเมื่อสัมผัสกับพื้นผิวมากกว่าหลังจากออกจากร่างกายทันที[21] ยิ่งอัตราเฉือนใกล้ศูนย์มากเท่าไร เลือดก็จะยิ่งมีความหนืดมากขึ้นเท่านั้น[22] ปัจจัยอื่น ๆ ยังสามารถส่งผลต่อความหนืดของเลือดได้อีกด้วย[21]
  • แรงตึงผิว (แสดงด้วย σ) อธิบายพลังงานที่ต้องการในการเปลี่ยนรูปร่างของของเหลวเมื่อสัมผัสกับของเหลวอื่นที่ไม่สามารถผสมกันได้ (เช่น เลือดกับอากาศ) สิ่งนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างหยดเลือดทรงกลมเมื่อตกลงมา รวมถึงวิธีการตอบสนองเมื่อกระทบพื้นผิวด้วย[21] แรงตึงผิวอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น อุณหภูมิและการมีสารเคมีในเลือด[23]
  • ความหนาแน่น (แสดงด้วย d) แสดงถึงมวลของของเหลวต่อหน่วยปริมาตร ซึ่งช่วยให้สามารถเปรียบเทียบระหว่างสารต่าง ๆ ได้ แหล่งอ้างอิงสำหรับการเปรียบเทียบมักเป็นน้ำ เนื่องจากมีความหนาแน่น 1 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร[24]

ประเภทของรอยคราบเลือด

[แก้]
ภาพแสดงวิธีการตรวจสอบพื้นที่การบรรจบกันจากเลือดที่กระเซ็นจากแรงกระแทก
แผนภาพแสดงวิธีการคำนวณพื้นที่ต้นกำเนิดของเลือดที่กระเซ็น

คราบเลือดสามารถปรากฏในลักษณะต่าง ๆ ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และวัสดุที่อยู่บน และคราบเลือดอาจตรวจสอบได้ยากบนพื้นผิวที่มีรูพรุน เช่น ผ้า และอาจเกิดการบิดเบือนได้[25] นักวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดพิจารณาถึงมุมของการกระแทกเพื่อกำหนดต้นกำเนิดและปริมาณแรงที่อยู่เบื้องหลัง[26] การเปลี่ยนแปลงของแรงภายนอกสามารถทำให้เกิดรอยหยดเลือดเล็ก ๆ ได้[27] สามารถระบุจุดกำเนิด (a point of origin) ได้โดยค้นหาสิ่งที่นักวิเคราะห์รอยคราบเลือดเรียกว่า “พื้นที่การบรรจบกัน” หรือ “area of convergence” ของหยดเลือด[28] เพื่อหาจุดที่เลือดมาจากจุดกำเนิด มักพิจารณารูปร่างและความยาวของคราบเลือด และใช้วิธีการขึงเส้นเชือก ในวิธีการขึงเส้นเชือกนี้ เส้นทางของหยดเลือดจะแสดงเป็นเส้นตรง เชือกจะถูกวางที่ตำแหน่งของคราบเลือดแล้วขึงออกจากพื้นผิวเพื่อสร้างทิศทางของการกระทบขึ้นมา ซึ่งทิศทางนี้ถูกกำหนดโดยรูปร่างและการวางตัวของคราบเลือด จุดที่เชือกส่วนใหญ่ตัดกันถือเป็นตำแหน่งโดยประมาณของแหล่งกำเนิดเลือด[29] และยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เรียกว่า การแทนเจนต์ (the tangent method) ในวิธีนี้ เส้นทางของหยดเลือดจะถูกมองเป็นด้านตรงข้ามมุมฉากของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับหยดที่เคลื่อนที่เร็วและมีวิถีแบน แต่ความไม่แน่นอนในวิถีโค้งของเชือกอาจนำไปสู่ความผิดพลาดในการระบุตำแหน่งแนวนอนของแหล่งที่มาของเลือดได้[29]

นอกจากนี้ มุมของการกระแทกรวมถึงปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น วัสดุที่เลือดตกลงไปสามารถเปลี่ยนรูปร่างและขนาดของเลือดได้[27] จุดกระทบสามารถเปลี่ยนรูปร่างของคราบเลือดได้ และคราบเลือดแทนที่จะคงรูปเดิมไว้อาจขยายใหญ่ขึ้น ในกรณีเหล่านี้ เลือดอาจมีหางที่สามารถระบุทิศทางได้[30] เพื่อหาค่ามุมการกระทบ นักวิจัยจะวัดความยาวและความกว้างของหยดเลือดแล้วใช้สูตร โดย (A) หมายถึงมุมของการกระทบ[27]

วิธีการคำนวณจุดกำเนิดของการกระเซ็นของเลือด

การกระเซ็นของเลือดจากแรงกระแทก

[แก้]
รอยคราบเลือด

คราบเลือดเนื่องจากแรงกระแทกเป็นประเภทของรูปแบบรอยเลือดที่พบได้บ่อยที่สุดในสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวัตถุกระทบกับแหล่งกำเนิดของเลือด[31] ในรูปแบบของคราบเลือดเนื่องจากการกระแทก เลือดบ่อยครั้งจะมีลักษณะกลมและจะไม่กระจายตัวออก[32] มีคราบเลือดเนื่องจากแรงกระแทกอยู่สองประเภท ได้แก่ back spatter และ forward spatter[31] Back spatter เกิดขึ้นเมื่อเลือดพุ่งกลับไปหาผู้โจมตี ขณะที่ forward spatter คือเลือดที่ออกมาจากบาดแผลของเหยื่อโดยตรงและพุ่งไปยังพื้นผิวใกล้เคียง[31][33] ความเร็วของอาวุธที่ใช้ในการโจมตีสามารถทำให้ขนาดการกระจายตัวของคราบเลือดแตกต่างกันได้ โดยความเร็วของการโจมตีถูกจัดประเภทออกเป็นการโจมตีด้วยความเร็วสูง ปานกลาง และต่ำ[31] คราบเลือดจากการกระแทกด้วยความเร็วสูง (เช่น บาดแผลจากกระสุนปืน) จะสร้างหยดเลือดขนาดเล็ก โดยคราบเลือดจากการกระแทกด้วยความเร็วสูงมักจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 30 เมตรต่อวินาที (100 ฟุตต่อวินาที) และสร้างหยดเลือดขนาด 1 มิลลิเมตรหรือน้อยกว่า คราบเลือดจากการกระแทกด้วยความเร็วปานกลาง (เช่น การบาดเจ็บจากการกระทบหรือกระแทก) มักเกิดจากการใช้วัตถุเป็นอาวุธและสามารถสร้างรูปแบบการเหวี่ยงเลือดออกไปได้ คราบเลือดประเภทนี้มักเกิดขึ้นที่ความเร็วระหว่าง 1.5 ถึง 8 ฟุตต่อวินาที (5 ถึง 25 ฟุตต่อวินาที) และมีหยดเลือดขนาดตั้งแต่ 1 ถึง 4 มิลลิเมตร[34] คราบเลือดจากการกระแทกด้วยความเร็วต่ำมักจะเกิดขึ้นจากการแรงที่เลือดหยดออกจากร่างกายของบุคคล (เช่น แรงโน้มถ่วง)[27] ซึ่งสามารถเรียกว่าเป็นคราบเลือดแบบหยดลงตามธรรมชาติหรือคราบเลือดจากแรงโน้มถ่วง (รูปแบบของคราบเลือดที่เกิดขึ้นภายใต้การกระทำของแรงโน้มถ่วง)[4] และสามารถแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภทย่อย ได้แก่ คราบเลือดจากการสัมผัสหรือการติดต่อ คราบเลือดจากรูปแบบการไหล คราบเลือดจากการหยด และการขังของเลือด[2] คราบเลือดจากการสัมผัสเกิดขึ้นเมื่อพื้นผิวสองพื้นผิวสัมผัสกันและอย่างน้อยหนึ่งพื้นผิวมีเลือดอยู่ ซึ่งรวมถึงรูปแบบจากการปัดและการเช็ด ซึ่งในบางกรณีสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับลำดับการเคลื่อนไหวได้[2] การขังของเลือดเกิดขึ้นเมื่อแหล่งที่มาของการเลือดยังคงอยู่นิ่งในระยะเวลาหนึ่ง เลือดยังคงหยดลงในตำแหน่งเดิมอย่างต่อเนื่องจนเกิดการสะสม หากบุคคลที่กำลังมีเลือดไหลออกเคลื่อนที่ในขณะที่เลือดหยดลง รูปแบบที่เกิดขึ้นจะช่วยให้สามารถกำหนดทิศทางและความเร็วสัมพัทธ์ของการเคลื่อนไหวในขณะนั้นได้ รูปแบบการเหวี่ยงเลือดเกี่ยวข้องกับคราบเลือดจากการกระแทก การเหวี่ยงเลือดเกิดขึ้นจากการที่เลือดถูกขับออกจากวัตถุที่มีเลือดหรือมีเลือดไหลออกในขณะเคลื่อนที่ ซึ่งมักพบในเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายร่างกายหรือการโจมตี[4] รูปแบบการเหวี่ยงของเลือดมักพบที่เพดานเมื่อวัตถุถูกเหวี่ยงเหนือศีรษะ แต่ก็สามารถปรากฏบนพื้นผิวใด ๆ ภายในบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงได้[4] รูปแบบเหล่านี้อาจใช้ในการคาดเดาทิศทางของการเหวี่ยงอาวุธ ในกรณีเหล่านี้ ความยาวและรูปร่างของรูปแบบคราบเลือดสามารถช่วยในการกำหนดความเร็วของการเหวี่ยงได้[35] รูปแบบเหล่านี้สร้างรูปร่างยาวหรือวงรีของเลือดเมื่อตกกระทบกับพื้นผิวของวัตถุ[31] ในปี ค.ศ. 1895 จากการทดลองของ Dr. Eduard Piotrowski แสดงให้เห็นว่ารูปแบบเหล่านี้มักเกิดขึ้นหลังจากการโจมตีครั้งที่สองโดยใช้อาวุธ[12] ในบางกรณี สามารถสังเกตเห็นรูปแบบของช่องว่างหรือเงาได้ ซึ่งเกิดจากการที่บุคคลหรือวัตถุป้องกันพื้นผิวจากเลือดที่พุ่งไปยังมัน และจะลักษณะเด่นคือพื้นที่ที่สะอาด ซึ่งคาดว่าจะมีคราบเลือด[36] การสังเกตนี้สามารถช่วยระบุได้ว่ามีการย้ายวัตถุที่ขัดขวางเลือดนั้นหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นหรือไม่

งานวิจัย

[แก้]

ความน่าเชื่อถือของคำให้การในศาลโดยนักวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดถูกวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรายงานของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ ในปี ค.ศ. 2009[15] ซึ่งพบว่าวิธีการวิเคราะห์ดังกล่าวเป็น "แบบความคิดเห็นมากกว่าแบบวิทยาศาสตร์" และเกี่ยวข้องกับระดับความไม่แน่นอนที่ "มหาศาล"[37] นอกเหนือจากข้อกังวลเกี่ยวกับระเบียบวิธีแล้ว รายงานยังวิพากษ์วิจารณ์ถึงการขาดข้อกำหนดการรับรองที่เหมาะสมสำหรับนักวิเคราะห์และการเน้นย้ำถึง "การให้ความสำคัญกับประสบการณ์เหนือรากฐานทางวิทยาศาสตร์"[37] นักวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดจำนวนมากได้ให้การเป็นพยานในศาลในฐานะผู้เชี่ยวชาญ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการฝึกอบรมเพียงในรูปแบบของหลักสูตร 40 ชั่วโมงที่สอนอย่างอิสระโดย MacDonell หรือหนึ่งในนักเรียนของเขา โดยไม่มีการรับรองจากสถาบันหรือข้อกำหนดทางการศึกษาขั้นต่ำ[15] แม้ว่าจะมีการฝึกอบรมและวิธีการที่เหมาะสม แต่หลายครั้งที่นักวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียงก็มีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับผลการค้นพบของตนเอง ทำให้เกิดคำถามถึงความน่าเชื่อถือของข้อสรุปและคุณค่าของข้อสรุปดังกล่าวในฐานะหลักฐานในชั้นศาล[8]

มีหลักฐานเชิงประจักษ์เพียงเล็กน้อยที่สนับสนุนการใช้การวิเคราะห์การกระเซ็นของเลือดในศาลหรือด้านอื่น ๆ ของระบบกฎหมาย[15] แม้ว่าการวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดบางประการ เช่น วิธีการในการกำหนดความเร็วของการกระทบของเลือดที่กระเซ็น ได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ แต่ผู้วิเคราะห์บางคนก็ก้าวข้ามขอบเขตที่ตรวจสอบได้ไปไกลกว่านั้น[37] นอกเหนือจากปัญหาเกี่ยวกับความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานของวิธีการแล้ว สถานการณ์ของการวิเคราะห์รูปแบบคราบเลือด ซึ่งมักดำเนินการตามคำสั่งของอัยการหรือฝ่ายจำเลยในคดีศาล อาจทำให้เกิดความเอนเอียงเพื่อยืนยันในการประเมินของนักวิเคราะห์ได้[37]

ในปี ค.ศ. 2016 คณะกรรมการนิติวิทยาศาสตร์แห่งเท็กซัสได้ตรวจสอบกรณีที่ใช้การวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือด และด้วยเหตุนี้จึงกำหนดว่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 นักวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดจะต้องได้รับการรับรองเพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญในศาลเท็กซัส[15]

ในปี ค.ศ. 2021 การศึกษาวิจัยที่ใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับความแม่นยำในการวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Forensic Science International การศึกษานี้ใช้คำตอบแบบเลือกตอบจำนวน 33,005 ข้อ และคำตอบเป็นข้อความสั้นจำนวน 1,760 ข้อ โดยนักวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดที่ปฏิบัติงานอยู่จำนวน 75 คน จากรูปแบบรอยคราบเลือด 192 รูปแบบ ที่เลือกมาเพื่อเป็นตัวแทนของกรณีศึกษา[9] และได้ระบุว่า

จากผลลัพธ์ของเราชี้ให้เห็นว่าข้อสรุปมักมีความผิดพลาดและขัดแย้งกับนักวิเคราะห์อื่น ในตัวอย่างที่มีสาเหตุที่ทราบแน่ชัด พบว่ามีข้อผิดพลาดในการตอบสนองร้อยละ 11.2 และผลลัพธ์แสดงให้เห็นถึงความจำกัดในความสามารถในการทำซ้ำของข้อสรุป โดยคำตอบร้อยละ 7.8 ขัดแย้งกับนักวิเคราะห์อื่น ความไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับความหมายและการใช้คำศัพท์ BPA และการจำแนกประเภท ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงมาตรฐานให้ดีขึ้น ความแตกต่างทางด้านความหมายและการตีความที่ขัดแย้งกันล้วนมีส่วนทำให้เกิดข้อผิดพลาดและความขัดแย้ง ซึ่งอาจมีผลกระทบร้ายแรงหากเกิดขึ้นในกรณีที่เกี่ยวข้องกับงานตรวจวิเคราะห์[9]

ประวัติกรณีที่เกี่ยวข้อง

[แก้]

คดีความจำนวนหนึ่งเป็นที่ถกเถียงกันเนื่องจากอาศัยการวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือด ดังคดีต่อไปนี้

Warren Horinek

[แก้]

คดีฆาตกรรมในปี ค.ศ. 1995 ของ Warren Horinek ตัดสินโดยการอาศัยหลักฐานคราบเลือดเป็นหลัก ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมากมายภายหลังเกิดเหตุ[17] ทั้งตำรวจและสำนักงานอัยการเขตเชื่อในความบริสุทธิ์ของ Horinek อัยการที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำเนินคดีได้พบผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์รอยคราบเลือด ซึ่งให้การว่า คดีนี้ไม่ใช่การฆ่าตัวตายตามที่ตำรวจเชื่อด้วยเหตุผลหลายประการ แต่เป็นการฆาตกรรมเนื่องจากรูปแบบของจุดเลือดเล็ก ๆ ที่พบในตัวผู้ต้องหา ซึ่งตามที่นักวิเคราะห์ระบุว่าน่าจะมาจากเลือดที่มี "ความเร็วสูง" ที่เกิดจากการยิงปืน แทนที่จะเป็นเลือดที่กระจายบนตัวผู้ต้องหาเพราะพยายามปฐมพยาบาลแก่เหยื่อเหยื่อเท่านั้น นักวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดรายอื่นโต้แย้งข้อกล่าวอ้างนี้และกล่าวว่าคราบเลือดนั้นสอดคล้องกับการปฐมพยาบาล นักวิเคราะห์เดิมยอมรับว่าการกล่าวอ้างของเขาไม่แข็งแกร่งเท่าที่เขาเสนอไว้ในตอนแรก แม้ว่าเขายังคงเชื่อว่า Horinek มีความผิดก็ตาม[17] ในปี ค.ศ. 2017 Horinek ยังคงอยู่ในเรือนจำ[38]

David Camm

[แก้]

ในคดีอาญาต่อ David Camm ซึ่งถูกพิจารณาคดีถึง 3 ครั้งในข้อหาฆาตกรรมครอบครัวของเขา โดยหลักฐานสำคัญส่วนใหญ่เป็นหลักฐานการกระเซ็นของเลือด ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างก็ใช้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์รูปแบบคราบเลือดในการตีความแหล่งที่มาของหยดเลือดประมาณ 8 หยดบนเสื้อของเขา ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายโจทก์ ได้แก่ Tom Bevel และ Rod Englert ซึ่งให้การเป็นพยานว่ารอยเปื้อนดังกล่าวเกิดจากการกระแทกที่มีความเร็วสูง ซึ่ง Paul Kish, Barton Epstein, Paulette Sutton, Barrie Goetz และ Stuart H. James ให้การเป็นพยานต่อฝ่ายจำเลยว่าคราบดังกล่าวมาจากเสื้อเชิ้ตของเขาที่ไปเสียดสีกับผมของลูกสาว[18] โดย Dr. Robert Shaler ผู้อำนวยการก่อตั้งโครงการนิติวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตต ประณามการวิเคราะห์การกระเซ็นของเลือดว่าไม่น่าเชื่อถือในคดีของ Camm “ปัญหาในกรณีนี้คือจำนวนคราบมีน้อยมาก” เขากล่าว "ผมคิดว่าคุณน่าจะมีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่งแล้ว" นักวิเคราะห์การกระเซ็นของเลือดทุกคนที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ล้วนเป็น "พยานผู้เชี่ยวชาญ" ตามความหมายดั้งเดิม โดย Shaler กล่าวเพิ่มเติมว่า "เรามีความเห็นสองประการในกรณีนี้ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคืออัตราข้อผิดพลาดร้อยละ 50" ซึ่งจะเป็นระดับความน่าเชื่อถือที่ไม่สามารถยอมรับได้ในคดีความ เนื่องจากข้อกำหนดของการรับรู้ความผิดที่เกินกว่าข้อสงสัยอันมีเหตุผล[39]

สิ่งที่ทำให้เรื่องซับซ้อนยิ่งขึ้นคือคำให้การของ Rob Stites ซึ่งให้การเป็นพยานให้กับอัยการในฐานะผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์การกระเซ็นของเลือด ต่อมามีการเปิดเผยว่าเขาไม่ได้รับการฝึกอบรมใด ๆ และข้อมูลประจำตัวของเขาเป็นเพียงเรื่องที่อัยการสร้างขึ้น คำให้การของเขาว่าเลือดบนเสื้อของ Camm เป็นเลือดที่กระเซ็นมาจากแรงกระแทกความเร็วสูง ช่วยให้สามารถตัดสินโทษ David Camm ได้ Dr. Shaler ชี้ให้เห็นว่าข้อจำกัดประการหนึ่งของการวิเคราะห์การกระเซ็นของเลือดคือ "คุณไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์พื้นฐานมาสนับสนุน" เพื่อสนับสนุนข้อสรุปของคุณ เมื่อ Stites ให้การเป็นพยาน คณะลูกขุนไม่มีสามารถทราบได้เลยว่าเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญดังคำกล่าวอ้าง แม้แต่ในหมู่พยานผู้เชี่ยวชาญ ก็ไม่สามารถทราบว่าผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใดตีความรอยคราบเลือดได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากไม่มีวิธีการที่เป็นกลางในการพิจารณาว่านักวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดคนใดนำวิทยาศาสตร์ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง[40]

Travis Stay

[แก้]

ในบางครั้ง รูปแบบรอยคราบเลือดจากสาเหตุต่าง ๆ อาจเลียนแบบกันได้ ในการพิจารณาคดีของ Travis Stay ในข้อหาการฆาตกรรม Joel Lovelien เมื่อปี ค.ศ. 2008 พยานฝ่ายโจทก์ Terry Laber ให้การว่าเลือดที่กระเซ็นบนเสื้อผ้าของ Stay เกิดจากการทำร้าย Lovelien ระหว่างการต่อสู้ด้วยการชกต่อย ภายหลังเมื่อ Paul Kish นักวิเคราะห์รูปแบบรอยคราบเลือดอีกคนหนึ่งได้ตรวจสอบหลักฐานแล้ว Laber ได้ตรวจสอบรายงานที่ Kish ส่งมาและและแก้ไขข้อสรุปของเขาใหม่ โดยยอมรับความเป็นไปได้ว่าคราบเลือดอาจมาจากการที่ Lovelien หายใจออก[19]

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

[แก้]
  • Sam Tyler นักสืบข้ามเวลาในซีรีส์ทางโทรทัศน์ของ BBC เรื่อง Life on Mars ในตอนที่ 3 ที่ขอให้ Chris Skelton เพื่อนร่วมงานของเขาทำการวิเคราะห์รูปแบบของเลือด แต่เขาก็สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วจากสีหน้าที่งุนงงของเขาว่า ในปี ค.ศ. 1973 เทคนิคนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก
  • ฆาตกรต่อเนื่อง Dexter Morgan จากนวนิยาย Dexter และซีรีส์ Showtime เป็นนักวิเคราะห์การกระเซ็นของเลือดของกรมตำรวจไมอามีซึ่งเป็นหน่วยงานสมมติ
  • Catherine Willows และ Julie Finlay เป็นนักวิเคราะห์การกระเซ็นของเลือดในซีรีส์ CSI: Crime Scene Investigation ของช่อง CBS

เชิงอรรถและอ้างอิง

[แก้]
  1. A Simplified Guide To Bloodstain Pattern Analysis, The National Forensic Science Technology Center (NFSTC), Florida International University
  2. 2.0 2.1 2.2 Brodbeck, Silke (2012). "Introduction to Bloodstain Pattern Analysis". SIAK-Journal − Journal for Police Science and Practice: 51–57. doi:10.7396/IE_2012_E. ISSN 1813-3495.
  3. James, Stuart H.; Kish, Paul E.; Sutton, T. Paulette (2005). Principles of Bloodstain Pattern Analysis: Theory and Practice (ภาษาอังกฤษ). CRC Press. ISBN 978-1-4200-3946-7.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 Brodbeck, Silke (2012). "Introduction to Bloodstain Pattern Analysis". SIAK-Journal − Journal for Police Science and Practice. 2: 51–57. doi:10.7396/IE_2012_E. ISSN 1813-3495.
  5. 5.0 5.1 Arthur, Ravishka M.; Cockerton, Sarah L.; de Bruin, Karla G.; Taylor, Michael C. (2015). "A novel, element-based approach for the objective classification of bloodstain patterns". Forensic Science International. 257: 220–228. doi:10.1016/j.forsciint.2015.08.028. PMID 26386338.
  6. 6.0 6.1 Smith, Leora (13 December 2018). "How a Dubious Forensic Science Spread Like a Virus". ProPublica. สืบค้นเมื่อ 19 December 2018.
  7. 7.0 7.1 National Research Council. Strengthening Forensic Science in the United States: A Path Forward. Washington, DC: The National Academies Press, 2009. Archived
  8. 8.0 8.1 Moore, Solomon (February 4, 2009). "Science found wanting in nation's crime labs". New York Times.
  9. 9.0 9.1 9.2 Hicklin, R. Austin; Winer, Kevin R.; Kish, Paul E.; Parks, Connie L.; Chapman, William; Dunagan, Kensley; Richetelli, Nicole; Epstein, Eric G.; Ausdemore, Madeline A.; Busey, Thomas A. (1 August 2021). "Accuracy and reproducibility of conclusions by forensic bloodstain pattern analysts". Forensic Science International (ภาษาอังกฤษ). 325: 110856. doi:10.1016/j.forsciint.2021.110856. ISSN 0379-0738. PMID 34116402. S2CID 235411921. Text was copied from this source, which is available under a Creative Commons Attribution 4.0 International License.
  10. Eduard Piotrowski, Ueber Entstehung, Form, Richtung und Ausbreitung der Blutspuren nach Hiebwunden des Kopfes [On the formation, form, direction, and spreading of blood stains after blunt trauma to the head] (Vienna, Austria: 1895).
  11. Brodbeck, Silke (2012). "Introduction to bloodstain pattern analysis" (PDF). Journal for Police Science and Practice. 2: 51–57. doi:10.7396/IE_2012_E.
  12. 12.0 12.1 Brodbeck, Silke (2012). "Introduction to Bloodstain Pattern Analysis". SIAK-Journal − Journal for Police Science and Practice: 51–57. doi:10.7396/IE_2012_E. ISSN 1813-3495.
  13. Snyder, LeMoyne (1971). Homicide Investigation: Practical Information for Coroners, Police Officers, and Other Investigators. Charles C. Thompson Publishers, 3rd Edition
  14. "Judging from the bloodstains found on the furniture and rug in the living room, and on the front steps of the cottage, Radford had first been shot while he was in the living room..." Quote starts at about 12 minutes and 17 seconds into the episode. "The Big Streetcar", April 3, 1952; no script writer identified.
  15. 15.00 15.01 15.02 15.03 15.04 15.05 15.06 15.07 15.08 15.09 15.10 15.11 15.12 Smith, Leora (13 December 2018). "How a Dubious Forensic Science Spread Like a Virus". ProPublica. สืบค้นเมื่อ 19 December 2018.
  16. Brodbeck, Silke (2012). "Introduction to bloodstain pattern analysis" (PDF). Journal for Police Science and Practice. 2: 51–57. doi:10.7396/IE_2012_E.
  17. 17.0 17.1 17.2 "A Bloody Injustice". The Texas Observer. August 19, 2010. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "texaso" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  18. 18.0 18.1 18.2 Kozarovich, Lisa Hurt. "Blood Spatter Evidence Not an exact Science". News and Tribune. สืบค้นเมื่อ 8 February 2014. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ ":1" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  19. 19.0 19.1 Archie Ingersoll. Travis Stay found not guilty, Grand Forks Herald, December 17, 2008
  20. "Blood components". Hema-Quebec (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2023-04-03.
  21. 21.0 21.1 21.2 21.3 21.4 21.5 Attinger, Daniel; Moore, Craig; Donaldson, Adam; Jafari, Arian; Stone, Howard A. (2013-09-10). "Fluid dynamics topics in bloodstain pattern analysis: Comparative review and research opportunities". Forensic Science International (ภาษาอังกฤษ). 231 (1): 375–396. doi:10.1016/j.forsciint.2013.04.018. ISSN 0379-0738. PMID 23830178.
  22. Baieth, H. E. Abdel (December 2008). "Physical Parameters of Blood as a Non - Newtonian Fluid". International Journal of Biomedical Science. 4 (4): 323–329. doi:10.59566/IJBS.2008.4323. ISSN 1550-9702. PMC 3614720. PMID 23675105.
  23. Yadav, Siddharth Singh; Sikarwar, Basant Singh; Ranjan, Priya; Janardhanan, Rajiv; Goyal, Ayush (2020-07-03). "Surface tension measurement of normal human blood samples by pendant drop method". Journal of Medical Engineering & Technology. 44 (5): 227–236. doi:10.1080/03091902.2020.1770348. ISSN 0309-1902. PMID 32589070.
  24. "Density | Definition, Symbol, Units, Formula, & Facts | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2023-04-03.
  25. "Swipe Pattern", Wiley Encyclopedia of Forensic Science, Chichester, UK: John Wiley & Sons, Ltd, 2009-04-17, doi:10.1002/9780470061589.fsd185, ISBN 978-0-470-01826-2, สืบค้นเมื่อ 2021-02-26
  26. James, Stuart H.; Kish, Paul E.; Sutton, T. Paulette (2005-05-26). Principles of Bloodstain Pattern Analysis: Theory and Practice (ภาษาอังกฤษ). CRC Press. ISBN 978-1-4200-3946-7.
  27. 27.0 27.1 27.2 27.3 Neitzel, G. Paul, and Marc K. Smith. The Fluid Dynamics of Droplet Impact on Inclined Surfaces with Application to Forensic Blood Spatter Analysis. Washington, D.C: Office of Justice Programs, 2017. Print.
  28. Camana, Francesco (September 2013). "Determining the area of convergence in Bloodstain Pattern Analysis: A probabilistic approach". Forensic Science International. 231 (1–3): 131–136. arXiv:1210.6106. doi:10.1016/j.forsciint.2013.04.019. ISSN 0379-0738. PMID 23890627.
  29. 29.0 29.1 Buck, Ursula; Kneubuehl, Beat; Näther, Silvio; Albertini, Nicola; Schmidt, Lars; Thali, Michael (2011). "3D bloodstain pattern analysis: Ballistic reconstruction of the trajectories of blood drops and determination of the centres of origin of the bloodstains". Forensic Science International. 206 (1–3): 22–28. doi:10.1016/j.forsciint.2010.06.010. PMID 20598820.
  30. Laan, Nick; de Bruin, Karla G.; Slenter, Denise; Wilhelm, Julie; Jermy, Mark; Bonn, Daniel (September 2015). "Bloodstain Pattern Analysis: implementation of a fluid dynamic model for position determination of victims". Scientific Reports (ภาษาอังกฤษ). 5 (1): 11461. Bibcode:2015NatSR...511461L. doi:10.1038/srep11461. ISSN 2045-2322. PMC 4476491. PMID 26099070.
  31. 31.0 31.1 31.2 31.3 31.4 Wonder, Anita Y. (2007), "Section II: Case Applications", Bloodstain Pattern Evidence, Elsevier, p. 48, doi:10.1016/b978-012370482-5/50059-8, ISBN 978-0-12-370482-5, สืบค้นเมื่อ 2021-03-04
  32. Arthur, R.M.; Hoogenboom, J.; Baiker, M.; Taylor, M.C.; de Bruin, K.G. (August 2018). "An automated approach to the classification of impact spatter and cast-off bloodstain patterns". Forensic Science International. 289: 310–319. doi:10.1016/j.forsciint.2018.05.019. ISSN 0379-0738. PMID 29933203.
  33. Comiskey, P. M.; Yarin, A. L.; Kim, S.; Attinger, D. (2016-08-02). "Prediction of blood back spatter from a gunshot in bloodstain pattern analysis". Physical Review Fluids. 1 (4): 043201. Bibcode:2016PhRvF...1d3201C. doi:10.1103/physrevfluids.1.043201. ISSN 2469-990X.
  34. "Introduction", Ethics in Forensic Science, CRC Press, pp. 17–24, 2001-06-27, doi:10.1201/9781420041620-5, ISBN 978-0-429-24804-7, สืบค้นเมื่อ 2021-03-04
  35. Williams, Elisabeth M. P.; Graham, Emma S.; Jermy, Mark C.; Kieser, David C.; Taylor, Michael C. (March 2019). "The Dynamics of Blood Drop Release from Swinging Objects in the Creation of Cast-off Bloodstain Patterns". Journal of Forensic Sciences (ภาษาอังกฤษ). 64 (2): 413–421. doi:10.1111/1556-4029.13855. ISSN 0022-1198. PMID 29975993.
  36. Bell, Suzanne (2013-04-18), "void pattern", A Dictionary of Forensic Science (ภาษาอังกฤษ), Oxford University Press, doi:10.1093/acref/9780199594009.001.0001, ISBN 978-0-19-959400-9, สืบค้นเมื่อ 2023-04-03
  37. 37.0 37.1 37.2 37.3 Strengthening Forensic Science in the United States: A Path Forward (PDF). The National Academies Press. 2009. pp. 177–179. ISBN 978-0-309-13135-3. สืบค้นเมื่อ 8 September 2020.
  38. "Bloody Injustice – The Warren Horinek Case". Law Office of Walter M. Reaves, Jr., P.C.
  39. Kircher, Travis (3 October 2013). "David Camm blogsite: Our own little experiment". WDRB. สืบค้นเมื่อ January 1, 2014.
  40. Kircher, Travis (24 September 2013). "David Camm blogsite: Uncle Sam". WDRB. สืบค้นเมื่อ January 1, 2014.

ดูเพิ่มเติม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]