การลงคะแนนเสียงในสวิตเซอร์แลนด์
การลงคะแนนเสียงในสวิตเซอร์แลนด์ (อังกฤษ: Voting in Switzerland, votation) เป็นกระบวนการที่ประชาชนชาวสวิสตัดสินใจในเรื่องการปกครองและเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ โดยหน่วยเลือกตั้งจะเปิดตอนเช้าวันเสาร์และวันอาทิตย์ แต่คนโดยมากจะลงคะแนนล่วงหน้าทางไปรษณีย์ (เยอรมัน: Abstimmungssonntag)[ต้องการอ้างอิง] การลงคะแนนจะยุติที่เที่ยงวันอาทิตย์ และโดยปกติจะรู้ผลในเย็นวันเดียวกัน
ระบอบการปกครองของสวิตเซอร์แลนด์พิเศษกว่าประเทศประชาธิปไตยอื่น ๆ ในปัจจุบัน เพราะมีการดำเนินงานแบบประชาธิปไตยโดยตรงขนานกับประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน จึงมีการเรียกระบอบนี้ว่า ระบอบประชาธิปไตยกึ่งโดยตรง[1] ซึ่งให้อำนาจประชาชนเพื่อค้านกฎหมายที่ผ่านรัฐสภา และเพื่อเสนอการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญได้ทุกเมื่อ ในระดับสหพันธรัฐ อาจมีการลงคะแนนเสียงด้วยเหตุดังต่อไปนี้คือ
- การเลือกตั้งผู้แทน สำหรับ สภาสหพันธรัฐ (Federal Assembly) ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ (ผู้จะเลือกตั้งฝ่ายบริหาร)
- การลงประชามติโดยบังคับ คือเมื่อรัฐสภาเสนอเปลี่ยนรัฐธรรมนูญระดับสหพันธรัฐ กฎหมายก็บังคับให้ต้องมีการลงประชามติ
- การลงประชามติโดยเลือก คือเมื่อรัฐสภาผ่านกฎหมาย ประชาชนสามารถรวบรวมลายเซ็นผู้คัดค้าน 50,000 รายแล้วให้มีการลงประชามติ
- การริเริ่มเปลี่ยนรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐโดยประชาชน คือประชาชนสามารถรวบรวมลายเซ็น 100,000 ราย แล้วให้มีการลงประชามติเพื่อเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ
ประมาณ 4 ครั้งต่อปี จะมีการลงคะแนนเสียงในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งการริเริ่มออกกฎหมายและการขอ/ลงประชามติ ซึ่งประชาชนจะตัดสินใจนโยบายต่าง ๆ โดยตรง รวมทั้งการเลือกตั้ง ซึ่งประชาชนจะเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ การออกเสียงลงคะแนนในระดับสหพันธรัฐ รัฐ/แคนทอน และเทศบาลจะทำพร้อม ๆ กัน โดยประชาชนส่วนมากจะลงคะแนนทางไปรษณีย์ ในระหว่างเดือนมกราคม 2538 จนถึงมิถุนายน 2548 ประชาชนชาวสวิสได้ลงคะแนน 31 ครั้งเกี่ยวกับประเด็น 103 ประเด็น เทียบกับประชาชนชาวฝรั่งเศสที่ลงประชามติเพียงแค่ 2 ครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน[2] ประเด็นสามัญที่สุดเป็นเรื่องบริการสาธารณสุข ภาษี สวัสดิการสังคม นโยบายยาเสพติด การขนส่งมวลชน การเข้าเมือง ผู้ลี้ภัย และการศึกษา[3]
จำนวนผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งรัฐสภาได้ลดลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 จนถึงจุดต่ำสุดที่ 42.2% ในปี 2537 แต่ก็กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึง 48.5% ในปี 2554[4] ส่วนอัตราการลงประชามติอยู่ที่ 49.2% ในปี 2554[4] การริเริ่มเปลี่ยนรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐโดยประชาชนในประเด็นที่ประชาชนสนใจน้อย อาจมีอัตราการลงคะแนนเพียง 30% แต่เรื่องที่มีความขัดแย้งสูง เช่นการเสนอกำจัดกองทัพสวิสหรือการเข้าร่วมสหภาพยุโรป ก็มีอัตราการลงคะแนนที่ 60%[5][6][7]
วิธีดำเนินการ
[แก้]การลงคะแนนอาจทำด้วยการยกมือ บัตรที่ส่งทางไปรษณีย์ การไปที่หน่วยเลือกตั้ง และในเร็ว ๆ นี้ การลงคะแนนทางอินเทอร์เน็ต[8]
จนกระทั่งถึงปี 2514[9] แคนทอนบางแห่งจะปรับประชาชนผู้ไม่ลงคะแนนเสียงเทียบเท่ากับประมาณ 3 ดอลลาร์สหรัฐ โดยแคนทอนชัฟเฮาเซินปัจจุบันก็ยังบังคับให้ลงคะแนนเสียง จึงมีอัตราการลงคะแนนสูงกว่าที่เหลือในประเทศเล็กน้อย[10]
ไม่มีเครื่องลงคะแนนเสียงในสวิตเซอร์แลนด์ และการลงคะแนนจะนับ "ด้วยมือ" ทั้งหมด เทศบาลทุก ๆ เทศบาลจะจับสลากเลือกประชาชนให้นับบัตรเลือกตั้ง แต่การปรับเพราะไม่ทำหน้าที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้ว แต่หลังจากเจ้าหน้าที่แบ่งบัตรออกเป็นพวก (เช่น ตกลง ไม่ตกลง) จำนวนคะแนนก็จะนับด้วยมือ หรือในเมืองใหญ่ ด้วยเครื่องนับ (คล้ายกับเครื่องนับธนบัตรในธนาคาร) หรือแม้แต่วัดน้ำหนักด้วยเครื่องชั่งที่ตรงเป็นพิเศษ การนับปกติจะเสร็จภายใน 5-7 ชม. แต่ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น ซือริชหรือเจนีวา การนับคะแนนเลือกตั้งรัฐสภาอาจใช้เวลานานกว่ามาก
บัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์
[แก้]ผู้ลงคะแนนไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนก่อนการเลือกตั้งในสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากคนในประเทศทุกคนรวมทั้งประชาชนและคนต่างด้าว ต้องลงทะเบียนกับเทศบาลภายในสองอาทิตย์เมื่อย้ายที่อยู่ เทศบาลรวม ๆ กันจึงรู้ที่อยู่ของประชาชนทั้งหมด ก่อนวันเลือกตั้งประมาณ 2 เดือน เทศบาลจะส่งจดหมายโดยจ่าหน้าว่า "บัตรเลือกตั้ง" ที่มีบัตรเลือกตั้งและจุลสารที่ให้ข้อมูลเรื่องการเปลี่ยนแปลงกฎหมายตามที่เสนอ โดยสำหรับการลงประชามติ จะมีข้อความจากทั้ง คณะมนตรีสหพันธรัฐสวิส (Swiss Federal Council) ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของสหพันธรัฐ (เลือกตั้งโดยฝ่ายนิติบัญญัติคือสภาสหพันธรัฐ) และผู้สนับสนุนกฎหมายที่จะเปลี่ยนแต่ละข้อ เพื่อให้สามารถโปรโหมตจุดยืนของตนได้
หลังจากที่กาลงคะแนนแล้ว ผู้ออกเสียงก็จะใส่บัตรลงในซองส่งกลับนิรนามที่มากับจดหมาย ซองนิรนามบวกกับบัตรมีลายเซ็นที่ระบุผู้ลงคะแนน ก็จะใส่ลงในซองส่งกลับอีกซองหนึ่งแล้วส่งไปให้เทศบาล ซองส่งกลับจริง ๆ ก็คือซองที่เทศบาลส่งมา ซึ่งมีแถบเปิดพิเศษที่ช่วยให้สามารถใช้ซองเดียวกันส่งกลับ ผู้ออกเสียงจำนวนมากโดยเฉพาะในหมู่บ้านหรือเมืองเล็ก ๆ จะใส่ซองส่งกลับลงในตู้รับจดหมายของเทศบาลโดยตรง ส่วนคนอื่น ๆ ก็จะส่งกลับทางไปรษณีย์โดยไม่ต้องเสียค่าแสตมป์
เมื่อเทศบาลได้รับซองจดหมาย ก็จะเช็คบัตรลายเซ็นเพื่อตรวจสิทธิ์ของผู้ออกเสียง แล้วซองนิรนามก็จะใส่รวมเข้ากับบัตรลงคะแนนจากหน่วยเลือกตั้ง
หน่วยเลือกตั้ง
[แก้]ผู้ลงคะแนนเสียงสามารถลงคะแนนที่บู๊ธเลือกตั้ง โดยผู้ออกเสียงจะนำบัตรที่ได้ทางไปรษณีย์ไปหย่อนบัตรลงที่บู๊ธ ตั้งแต่สามารถเลือกตั้งทางไปรษณีย์ ประชาชนโดยมากก็ไม่ได้ใช้วิธีการลงคะแนนนี้ แต่ตามธรรมเนียม หน่วยเลือกตั้งจะเป็นจุดรวบรวมลายเซ็นเพื่อริเริ่มเปลี่ยนรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐโดยประชาชน
การลงคะแนนทางอินเทอร์เน็ต
[แก้]ในปี 2558 ผู้ออกเสียงในแคนทอนเจนีวาและเนอชาแตลเท่านั้นสามารถลงคะแนนทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยประชาชนประมาณ 90,000 คนสามารถลงคะแนนออนไลน์ได้[11]
คณะมนตรีสหพันธรัฐสวิสอนุญาตให้ประชาชนสวิสที่อยู่ต่างแดนลงคะแนนทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมประชาชนผู้มีทะเบียนในแคนทอนเจนีวา ลูเซอร์น บาเซิล-ชตัดท์ และเนอชาแตล ซึ่งหมายความว่า ประชาชน 34,000 คนที่ลงทะเบียนในแคนทอนของตนแต่อยู่ต่างประเทศ สามารถลงคะแนนทางอิเล็กทรอนิกส์ได้[12]
การลงคะแนนในเรื่องต่าง ๆ
[แก้]การเลือกตั้ง/ลงคะแนน
[แก้]มีการเลือกตั้งหลัก ๆ 3 อย่าง สองอย่างแรกเป็นการเลือกตั้งรัฐสภาและฝ่ายบริหาร ที่ทำให้ประชาชนสามารถเลือกผู้แทนในรัฐบาลทั้งในระดับสหพันธรัฐ รัฐ/แคนทอน และเทศบาล การเลือกตั้งรัฐสภาให้ตำแหน่งแก่พรรคต่าง ๆ ตามสัดส่วนคะแนนเสียงที่ได้ (proportional multi-party voting system) และการเลือกตั้งผู้บริหารเป็นการให้คะแนนเสียงแก่ผู้ลงรับเลือกตั้งโดยตรง โดยผู้ได้คะแนนมากที่สุดชนะ[13] การลงคะแนนอย่างที่สามเป็นการลงประชามติเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ
สภาประจำชาติ (สภาล่าง)
[แก้]การเลือกตั้งสมาชิกของ สภาประจำชาติ (National Council of Switzerland) ซึ่งเป็นสภาล่างของรัฐสภา จะเป็นไปตามกฎระเบียบของสหพันธรัฐ โดยเลือกทุก ๆ 4 ปี และครั้งสุดท้ายเกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2558
ตั้งแต่การริเริ่มเปลี่ยนรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐโดยประชาชนในปี 2461 การเลือกตั้งได้เป็นแบบการมีผู้แทนตามสัดส่วน (proportional representation) โดยแต่ละแคนทอนจะเป็นเขตเลือกตั้ง (เยอรมัน: Wahlkreis) โดยพรรคไม่ต้องผ่านเกณฑ์สัดส่วนคะแนนต่ำสุด (election threshold) เพื่อจะได้ตำแหน่ง ตั้งแต่ปี 2514 หญิงสามารถทั้งลงคะแนนเสียงและลงสมัครรับเลือกตั้งในสภาประจำชาติได้
ตั้งแต่การปฏิรูปการทำสำมะโนประชากรและการเปลี่ยนใช้ข้อมูลประชากรของรัฐฝ่ายบริหารเพื่อกำหนดจำนวนประชากรตั้งแต่ปี 2550 จำนวนตำแหน่งในสภาประจำชาติจากแต่ละแคนทอน จะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้อยู่อาศัยเป็นประจำ (รวมทั้งคนที่ไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียง)[14] โดยมีข้อแม้ว่าแต่ละแคนทอนจะต้องได้อย่างน้อยหนึ่งตำแหน่ง
จำนวนตำแหน่งที่ให้กับแคนทอนที่ควรได้มากกว่าหนึ่ง จะกำหนดให้แก่พรรคที่มีเศษคะแนนเหลือมากที่สุด (largest remainder method)[A] ส่วนแคนทอนที่ได้ตำแหน่งเดียวในสภาแห่งชาติ ก็จะให้ตำแหน่งแก่ผู้แทนที่ได้คะแนนสูงสุด
แต่ละแคนทอนจะมีผู้แทนตามสัดส่วนคะแนนเลือกตั้งโดยวิธีที่เรียกว่า รายการเปิด (open list, free list) ประชาชนแต่ละคนสามารถลงคะแนนเป็นจำนวนเท่าที่มีตำแหน่งให้สำหรับเขตนั้น ๆ และบางครั้งสามารถให้คะแนนจนถึงสองคะแนนแก่ผู้รับเลือกตั้งคนหนึ่ง ๆ โดยคะแนนทุกคะแนนที่ให้กับผู้รับเลือกตั้ง ก็จะให้กับพรรคของผู้รับเลือกตั้งด้วย ผู้ลงคะแนนยังสามารถลงคะแนนทั้งหมดที่ยังไม่ให้ผู้รับเลือกตั้งคนใดคนหนึ่งแก่พรรค
ในการเลือกตั้ง พรรคการเมืองจะพิมพ์รายการผู้รับเลือกตั้งจากพรรคของตน โดยแต่ละพรรคอาจจะพิมพ์หลายรายการ ในแต่ละรายการ จะมีจำนวนผู้รับเลือกตั้งเพียงแค่จำนวนตำแหน่งที่แคนทอน ๆ หนึ่งสามารถส่งไปยังสภาแห่งชาติ ผู้ลงคะแนนสามารถลงคะแนนให้ผู้รับเลือกตั้งจนถึงจำนวนที่สามารถส่งไปยังสภาแห่งชาติเช่นกัน เช่น คนแคนทอนซือริคสามารถลงคะแนนให้ผู้รับเลือกตั้ง 35 คน ในขณะที่คนแคนทอนยูริจะลงคะแนนได้แค่หนึ่ง
เป็นไปได้ที่ผู้รับเลือกตั้งคนเดียวจะมีชื่ออยู่ในรายการสองครั้ง อนึ่ง พรรคสามารถพิมพ์รายการหลายรายการสำหรับแคนทอน (เช่น รายการสำหรับชาย สำหรับหญิง สำหรับเยาวชน สำหรับผู้สูงอายุ และในแคนทอนใหญ่ ๆ ก็อาจจะมีรายการเฉพาะแต่ละเมืองหรือแต่ละเขต) และก็อาจเป็นไปได้ด้วยที่พรรคหลายพรรคจะรวมลงอยู่ในรายการเดียวกัน
ผู้ลงคะแนนสามารถเลือกรายการของพรรคโดยไม่เปลี่ยนอะไร หรือสามารถสับเอาผู้รับสมัครของพรรคอื่นใส่เข้าในรายการ ดังนั้น ผู้ลงคะแนนอาจจะเลือกผู้แทนเพียงคนเดียวจากพรรค และแบ่งคะแนนให้ผู้รับเลือกตั้งจากพรรคอื่น ๆ
ตำแหน่งที่ให้แก่พรรคจะกำหนดโดยระบบ Hagenbach-Bischoff system ซึ่งพิเศษตรงที่ว่า ผู้ลงคะแนนสามารถแบ่งให้คะแนนแก่พรรคต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับผู้แทนที่ตนชอบใจ[15]
สภาแห่งรัฐ (สภาสูง)
[แก้]การเลือกตั้งสมาชิกของ สภาแห่งรัฐสวิส (Swiss Council of States) ซึ่งเป็นสภาสูงของรัฐสภา จะเป็นไปตามกฎระเบียบของแต่ละแคนทอนซึ่งไม่เหมือนกัน โดยสมาชิกจะเป็นตัวแทนของแคนทอน/รัฐ แต่การเลือกตั้งก็ยังเกิดขึ้นวันเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาประจำชาติ และใช้วิธีการเลือกตั้งแบบคนที่มีคะแนนเสียงเหนือกว่า (อังกฤษ: plurality voting system, เยอรมัน: Majorzwahl) โดยมาก แต่รัฐซูคและรัฐอัพเพินท์เซลล์อินเนอร์โรเดิน จะเลือกตั้งก่อนรัฐอื่น ๆ และรัฐฌูว์ราก็เลือกตั้งสมาชิก 2 ท่านด้วยการเลือกตั้งผู้แทนตามสัดส่วน (เยอรมัน: Proporzwahl)
การเลือกตั้งระดับแคนทอน
[แก้]ผู้ลงคะแนนยังสามารถเลือกตั้งตำแหน่งต่าง ๆ ของรัฐบาลในแต่ละแคนทอน บัตรเลือกตั้งมีแค่ช่องเดียวสำหรับแต่ละตำแหน่ง ที่ผู้ลงคะแนนสามารถเขียนชื่อประชาชนที่ถึงนิติภาวะแล้วผู้อาศัยอยู่ในแคนทอนนั้น ๆ ไม่มีการเลือกพรรค มีแต่เลือกบุคคล โดยผู้ได้คะแนนมากสุดเป็นผู้ชนะ (เยอรมัน: Majorzwahl) แต่ก็เป็นระบบลงคะแนนสองรอบ คือในรอบแรก ผู้ที่ได้คะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด (absolute majority) จะชนะ (เช่น ได้คะแนน 40-45% โดยมากกว่าคนอื่น ๆ 5-15%) ถ้ายังมีตำแหน่งที่ยังไม่มีใครได้ ก็จะมีการลงคะแนนรอบสองที่การได้คะแนนเสียงข้างมากปรกติก็พอแล้ว
แคนทอนทั้งหมดมีสภานิติบัญญัติเดียวที่โดยมากจะเลือกโดยการมีผู้แทนตามสัดส่วน และโดยมากมีเขตการเลือกตั้งขนาดต่าง ๆ และมีสูตรต่าง ๆ ในการคำนวณจำนวนตำแหน่งที่แต่ละพรรคจะได้ ส่วนรัฐเกราบึนเดิน อัพเพินท์เซลล์อินเนอร์โรเดิน และอัพเพินท์เซลล์เอาส์เซอร์โรเดิน เลือกตั้งสมาชิกสภาโดยเสียงข้างมาก
การขอ/การลงประชามติต่อกฎหมาย
[แก้]ประชาชนสามารถร้องให้มีการลงประชามติต่อทั้งบทกฎหมายและบัญญัติในรัฐธรรมมนูญ การขอประชามติต่อกฎหมาย (Legislative referendum) ใช้สำหรับกฎหมายที่ผ่านโดยผู้แทนฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น โดยประชาชนไม่สามารถร่างกฎหมายเองผ่านกระบวนการนี้[16] แม้จะสามารถแก้รัฐธรรมนูญผ่านกระบวนการการริเริ่มเปลี่ยนรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐโดยประชาชนดังจะกล่าวต่อไป[17]
ในประเด็นกฎหมายที่เสนอแต่ละเรื่อง จะมีช่องในบัตรเลือกตั้งที่ผู้ลงคะแนนสามารถกาว่า "ตกลง" หรือ "ไม่ตกลง" หรือถ้ามีข้อเสนอที่ขัดแย้งกันเอง ก็จะมีคำถามเพื่อกันการได้คะแนนเท่ากัน เช่น "ถ้าประชาชนยอมรับข้อเสนอทั้งสอง คุณชอบใจข้อเสนอใดมากกว่ากัน" (subsidiary question เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1987) เพื่อคัดค้านกฎหมายที่ผ่านรัฐสภา ประชาชนจะต้องรวบรวมลายเซ็น 50,000 รายภายใน 100 วันหลังจากที่ประกาศกฎหมายอย่างเป็นทางการ ถ้าได้ลายเซ็นครบ ก็จะมีการลงประชามติทั่วประเทศ และถ้าประชาชนโดยมากไม่ยอมรับ กฎหมายก็จะยกเลิกไป[1]
อิทธิพลต่อการปกครอง
[แก้]การคัดค้านกฎหมายได้ของประชาชนมีอิทธิพลต่อระบอบการปกครองทั้งระบบ[18] เพราะสนับสนุนให้พรรคต่าง ๆ สร้างรัฐบาลผสม เพื่อลดความเสี่ยงที่พรรคสำคัญจะขัดขวางการดำเนินงานของรัฐบาลโดยเริ่มกระบวนการขอประชามติ ซึ่งเพิ่มความชอบธรรมของการตัดสินใจทางการเมือง บังคับให้เจ้าหน้าที่ฟังเสียงจากประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่ประชาชนจะคัดค้านกฎหมายด้วยการขอประชามติ ก่อนจะเสนอกฎหมายในรัฐสภา รัฐบาลสหพันธรัฐปกติจะปรึกษากับประชาชนอย่างกว้างขวาง เพื่อประกันว่าไม่มีกลุ่มสำคัญ ๆ ที่คัดค้านกฎหมายนั้นโดยตรง และที่มีกะใจในการเริ่มกระบวนการขอประชามติ[18]
การลงประชามติเพื่อเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ
[แก้]การเปลี่ยนรัฐธรรมนูญจะบังคับให้มีการลงประชามติ และต้องได้เสียงข้างมากจากทั้งประชาชนและจากแคนทอนต่าง ๆ การเสนอเปลี่ยนรัฐธรรมนูญอาจมาจากรัฐสภา หรือเมื่อประชาชน 100,000 เซ็น การริเริ่มเปลี่ยนรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐโดยประชาชน (federal popular initiative)[19]
การได้เสียงข้างมากไม่ใช่ต้องมาจากประชาชนเท่านั้น แต่ต้องได้จากแคนทอนด้วย แคนทอนแต่ละแคนทอนมีเสียงหนึ่งคะแนน แม้ก็มีแคนทอนที่มีเสียงครึ่งคะแนนด้วย (เพราะเป็นแคนทอนที่แบ่งออกจากกันเมื่อหลายศตวรรษก่อน)[3] การลงคะแนนของแคนทอนจะขึ้นอยู่กับการลงคะแนนของประชาชนในแคนทอนนั้น ถ้าประชาชนข้างมากสนับสนุนข้อเสนอ แคนทอนทั้งแคนทอนก็จะลงคะแนนตามนั้น
การได้สิทธิลงคะแนนของแคนทอนหมายความว่า แคนทอนเล็ก ๆ ก็จะมีอิทธิพลเท่ากับแคนทอนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น แคนทอนบาเซิล-ลันท์ชัฟท์มีประชากร 256,000 คนแต่มีคะแนนครึ่งเดียว โดยคะแนนอีกครึ่งอยู่กับแคนทอนบาเซิล-ชตัดท์ เทียบกับแคนทอนอูรีที่มีหนึ่งคะแนน แต่มีประชากรเพียงแค่ 35,000 คน
มีการลงประชามติ 550 ครั้งตั้งแต่เริ่มใช้รัฐธรรมมนูญปี ค.ศ. 1848 ไม่ว่าจะในเรื่องบทกฎหมายหรือบทรัฐธรรมนูญ[20]
ระดับเทศบาล
[แก้]ทุก ๆ หมู่บ้าน นิคม หรือเมือง จะมีสภาประชุมอภิปราย ในบางหมู่บ้าน จะเป็นการประชุมหมู่บ้าน ที่ประชาชนผู้ใหญ่ทั้งหมดสามารถยกมือออกเสียง ในการประชุมเยี่ยงนี้ ประชาชนสามารถเสนอประเด็นไม่ว่าจะโดยปากหรือเขียนเพื่อลงคะแนนเสียงในการประชุมครั้งต่อไป ในเขตที่ใหญ่ขึ้น (คือนิคม เมือง) ก็จะมีการประชุมโดยผู้แทนจากพรรคตามสัดส่วนที่ได้รับเลือก
ประชาชนจะเป็นผู้เลือกเทศบาลเสมอ โดยใช้เสียงข้างมากแม้จะมีข้อยกเว้นบ้าง สภาเทศบาลจะมีสมาชิกประมาณ 5-9 คน คร่าว ๆ แล้วก็คือ เขตยิ่งเล็กเท่าไร จำนวนสมาชิกก็จะน้อยลงเท่านั้น และในสภาโดยมาก ประชาชนก็จะเลือกตั้งผู้นำสภาโดยเสียงข้างมากด้วย
สภาเทศบาลจะลงคะแนนในเรื่องกฎหมายเทศบาล (เยอรมัน: Gemeindereglement) จัดการเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งการใช้ที่สาธารณะ เรื่องงบประมาณที่เกินอำนาจฝ่ายบริหาร และการแปลงสัญชาติ
คุณสมบัติของผู้ลงคะแนนเสียง
[แก้]ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีคนอยู่ศัยประมาณ 7.5 ล้านคน เป็นประชากรชาวสวิส 5.6 ล้านคนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียง แม้แคนทอนและเทศบาลบางหน่วยจะให้คนต่างด้าวสิทธิการออกเสียงถ้าได้อาศัยอยู่ในประเทศเป็นเวลาหลายปี
ประชาชนชาวสวิสที่มีอายุ 18 ปีหรือมากกว่านั้นมีสิทธิออกเสียงในระดับสหพันธรัฐเริ่มตั้งแต่หญิงมีสิทธิออกเสียงในปี 2514 ประชาชนผู้ใหญ่ทั้งหมดมีสิทธิออกเสียงในระดับแคนทอนตั้งแต่ปี 2533 เมื่อศาลระดับสหพันธรัฐตัดสินบังคับแคนทอนอัพเพินท์เซลล์อินเนอร์โรเดิน ซึ่งเป็นแคนทอนสุดท้ายที่ไม่ให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป
อนึ่ง ประชาชนชาวสวิสที่อาศัยอยู่นอกประเทศและอายุมากกว่า 18 สามารถลงคะแนนในระดับสหพันธรัฐ และในบางแคนทอน ในระดับแคนทอนด้วย ผู้ออกเสียงเหล่านี้จะต้องลงทะเบียนกับสถานทูตสวิสในพื้นที่หรือที่ใกล้ที่สุด แล้วสามารถเลือกลงทะเบียนกับเทศบาลที่เคยลงทะเบียน หรือกับเทศบาลบ้านเกิด
การลงคะแนนให้สัญชาติ
[แก้]โดยทั่วไป เทศบาลไม่ว่าจะเป็นสภา ฝ่ายบริหาร หรือคณะกรรมการ จะเป็นผู้ตัดสินเรื่องการแปลงสัญชาติ แม้จะมีบางเทศบาล ที่ประชาชนจะลงคะแนน แต่ในปี 2546 ศาลสูงสุดระดับสหพันธรัฐได้ตัดสินว่า การแปลงสัญชาติเป็นอำนาจการปกครอง และดังนั้นไม่ควรทำโดยไร้เหตุผล จึงไม่สามารถปฏิเสธผ่านการลงคะแนนโดยนิรนามของประชาชนโดยไม่แสดงเหตุผล
ยังมีการอภิปรายเรื่องการเปลี่ยนกฎนี้อยู่ ข้อเสนอหนึ่งก็คือการแปลงสัญชาติโดยอัตโนมัติถ้าคนต่างด้าวได้ผ่านเกณฑ์ตามกฎแล้ว และประชาชนสามารถเสนอไม่ให้แปลงสัญชาติถ้าให้เหตุผลพร้อมกับการเสนอ แล้วก็จะลงคะแนนต่อข้อเสนอนั้น ถ้าคนต่างด้าวไม่ยอมรับผลของการลงคะแนนเสียง ก็จะสามารถร้องให้ศาลตรวจสอบความเป็นกลางของเหตุผลที่ให้ ต่อมา นักการเมืองบางท่านจึงได้เริ่มกระบวนการริเริ่มเปลี่ยนรัฐธรรมนูญของสหพันธรัฐโดยประชาชน เพื่อให้การลงคะแนนเสียงตัดสินการแปลงสัญชาติมีผลบังคับทางกฎหมาย[21] แต่เมื่อลงประชามติในปี 2551 ผู้ลงคะแนนเสียงโดยมากก็ไม่เห็นด้วย
ดูเพิ่ม
[แก้]เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ largest remainder method (วิธีการให้ตำแหน่งแก่พรรคที่มีเศษคะแนนเหลือมากที่สุด) ให้หารคะแนนทั้งหมดที่พรรคได้ ด้วยคะแนนที่ต้องได้เพื่อจะได้ตำแหน่งหนึ่งตำแหน่ง ผลก็คือจำนวนเต็มและเศษที่เหลือ พรรคแต่ละพรรคเบื้องต้นจะได้ตำแหน่งตามจำนวนเต็ม โดยจะเหลือตำแหน่งที่ยังไม่ให้พรรคใด ๆ จากนั้นก็จะจัดลำดับพรรคตามเศษที่เหลือ พรรคที่มีเศษเหลือสูงสุดจะได้ตำแหน่งหนึ่ง ๆ ไปตามลำดับจนกระทั่งไม่มีเหลือ
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Cormon (2015), p. 22.
- ↑ Vincent Golay and Mix et Remix, Swiss political institutions, Éditions loisirs et pédagogie, 2008. ISBN 978-2-606-01295-3.
- ↑ 3.0 3.1 Cormon (2015), p. 24.
- ↑ 4.0 4.1 "Abstimmungen - Indikatoren". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-11-14.
- ↑ "Votation results for Swiss army abolition, 64.4% No". Admin.ch.
- ↑ "Votation for UE adhesion process in 1997 : 74.1% No". Admin.ch.
- ↑ "Votation for UE adhesion process in 2001 : 76.8% No". Admin.ch.
- ↑ "Elektronisches Abstimmen und Wählen für die Schweiz".
- ↑ "Abolition du vote obligatoire entre 1948 et 1971 dans les cantons de ZH, de SG, d'AG, de TG et de VD" (PDF). Admin.ch.
- ↑ Leybold-Johnson, Isobel. "Democratic? The canton where voting is compulsory". swissinfo.ch. สืบค้นเมื่อ 2016-05-09.
- ↑ "Electronic voting in Switzerland". 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-02-11.
- ↑ "Electronic voting from abroad". 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-02-11.
- ↑ Cormon (2015), p. 28-29.
- ↑ Bundesgesetz Uber die politischen Rechte ([https://www.admin.ch/opc/de/classified-compilation/19760323/index.html SR 161.111), Art. 161 "Verteilung der Sitze auf die Kantone", in effect since 1 January 2008.
- ↑ http://www.swissinfo.ch/eng/politics/2015-elections_luck-with-lists-and-misfortune-with-proportional-representation/41512932
- ↑ Swiss Federal Chancellery. "Right to request a referendum". Swiss Portal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-30. สืบค้นเมื่อ 2013-03-07.
- ↑ Swiss Federal Chancellery. "Right to a popular initiative". Swiss Portal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-30. สืบค้นเมื่อ 2013-03-07.
Popular initiatives do not originate in Parliament or in the government but come directly from the citizens.
- ↑ 18.0 18.1 Cormon (2015), pp. 25–26.
- ↑ Cormon (2015), p. 23.
- ↑ "Swissvotes: Abstimmungsverzeichnis". Swissvotes.ch. สืบค้นเมื่อ 2010-12-12.
- ↑ "Initiative populaire fédérale 'pour des naturalisations démocratiques'". Admin.ch. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-06-06. สืบค้นเมื่อ 2010-12-12.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Cormon, Pierre (2015), Swiss Politics for Complete Beginners (2 ed.), Geneva, Switzerland: Slatkine, ISBN 978-2-8321-0607-5, สืบค้นเมื่อ 2015-03-02
- Vincent Golay and Mix et Remix, Swiss political institutions, Éditions loisirs et pédagogie, 2008. ISBN 978-2-606-01295-3.
- Hirschbühl, Tina (2011a), The Swiss Government Report 1, Federal Department of Foreign Affairs FDFA, Presence Switzerland – โดยทาง YouTube
- Hirschbühl, Tina (2011b), The Swiss Government Report 2, Federal Department of Foreign Affairs FDFA, Presence Switzerland – โดยทาง YouTube
- Hirschbühl, Tina (2011c), How Direct Democracy Works In Switzerland - Report 3, Federal Department of Foreign Affairs FDFA, Presence Switzerland – โดยทาง YouTube
- Hirschbühl, Tina (2011d), How People in Switzerland Vote - Report 4, Federal Department of Foreign Affairs FDFA, Presence Switzerland – โดยทาง YouTube
- Hirschbühl, Tina (2011e), Switzerland & the EU: The Bilateral Agreements - Report 5, Federal Department of Foreign Affairs FDFA, Presence Switzerland – โดยทาง YouTube
- Swiss government website
- Swiss parliament website
- Political rights in Switzerland
- Political rights at the federal level