กรณีพิพาทอโยธยา
กรณีพิพาทอโยธยา เป็นประเด็นถกเถียงในเชิงรัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมและศาสนาในประเทศอินเดีย อันเกี่ยวกับที่ดินหนึ่งในเมืองอโยธยา รัฐอุตตรประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกี่ยวข้องกับการควบคุมพื้นที่ที่ชาวฮินดูเชื่อว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระราม เทพเจ้าของฮินดู[1] การเป็นที่ตั้งในทางประวัติศาสตร์ของมัสยิดบาบรี และประเด็นถกเถียงว่าก่อนหน้าที่จะเป็นมัสยิดนั้นพื้นที่นี้เคยเป็นโบสถ์พราหมณ์มาก่อนหรือไม่
มัสยิดที่เคยตั้งอยู่บนที่ดินผืนนี้คือมัสยิดบาบรีที่ถูกทำลายระหว่างกิจกรรมการเมืองหนึ่งที่ท้ายที่สุดได้กลายเป็นการวิวาทอย่างรุนแรงในวันที่ 6 ธันวาคม 1992 ต่อมากรณีพิพาทถึงความเป็นเจ้าของของที่ดินผืนนี้ได้ถูกนำส่งเข้าตัดสินโดยศาลสูงอลาหาบาดที่ซึ่งออกคำตัดสินในวันที่ 30 กันยายน 2010 มีใจความว่า ผู้พิพากษาประจำศาลสูงอลาหาบาดสามคนได้ระบุให้ที่ดินขนาด 2.77 เอเคอร์ (1.12 เฮกตาร์) ที่เป็นปัญหานี้แบ่งออกเป็นสามส่วนเท่า ๆ กัน โดยส่วนแรกเป็นของฮินดูมหาสภาเพื่อใช้งานเกี่ยวกับความเชื่อที่เกี่ยวกับรามลัลล พระรามปางประสูติ, ส่วนที่สองเป็นของคณะกรรมการซุนนีวักฟ์ (Sunni Waqf Board), และส่วนสุดท้ายเป็นของนิรโมหีอขร นิกายหนึ่งของฮินดู ถึงแม้ผลการตัดสินของผู้พิพากษาทั้งสามคนจะไม่มีความเป็นเอกฉันท์ในตัวเองถึงกรณีว่ามัสยิดบาบรีนั้นสร้างขึ้นโดยการทำลายโบสถ์พราหมณ์หลังเดิมหรือไม่ แต่ได้มีข้อตกลงร่วมว่ามีโครงสร้างของโบสถ์พราหมณ์หลังเดิมที่เก่าแก่กว่ามัสยิดอยู่[2][3]
การสืบพยานหลักฐานโดยผู้พิพากษาห้าคนภายใต้ศาลสูงสุดอินเดียได้ดำเนินไปในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2019[4][5] ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2019 ศาลสูงนำโดยหัวหน้าผู้พิพากษาศาลสูงสุดของอินเดีย ราชัน โกโกอี ได้ประกาศคำตัดสินใจความว่าได้ยกเลิกคำตัดสินเดิมเมื่อปี 2010 และให้ที่ดินตกเป็นของรัฐบาลโดยอ้างจากบันทึกการเสียภาษี[6] นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้มอบที่ดินนี้แก่คณะกรรมการเพื่อสร้างโบสถ์พราหมณ์ขึ้น และให้รัฐบาลมอบที่ดินขนาดห้าเอเคอร์ทดแทนให้กับคณะกรรมการซุนนีวักฟ์เพื่อสร้างมัสยิดขึ้นใหม่แทนในพื้นที่เดิม[7]
ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2020 รัฐบาลอินเดียได้ประกาศตั้งชื่อคณะกรรมการดูแลโบสถ์พราหมณ์ขึ้นในชื่อ ศรีรามชนมภูมิตีรถเกษตร และการก่อสร้างโบสถ์พราหมณ์ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 สิงหาคม 2020 โดยมีนายกรัฐมนตรีนเรนทระ โมทีเดินทางไปประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ร่วมกับโยคีอาทิตยนาถ ผู้ว่าการรัฐอุตตรประเทศ
ภูมิหลังทางศาสนา
[แก้]ที่ดินที่ซึ่งมัสยิดที่สร้างขึ้นในยุคกลาง มัสยิดบาบรี เคยตั้งอยู่นั้นเป็นพื้นที่ที่ชาวฮินดูเชื่อตามขนบว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระราม เทพเจ้าในศาสนาฮินดู ประเด็นนี้ถือเป็นศูนย์กลางของกรณีพิพาทอโยธยาทั้งหมด[8]
รามชนมภูมิ (สถานที่ประสูติของพระราม)
[แก้]พระรามทรงเป็นหนึ่งในเทพเจ้าฮินดูที่ได้รับการเคารพบูชาสูงที่สุด พระองค์ทรงเป็นอวตารปางที่ 7 ของพระวิษณุ[9] มหากาพย์รามายณะระบุว่าพระรามประสูติในอโยธยา แก่พระนางเกาศัลยา (หรือพระนางเกาสุริยาในฉบับไทย) และ พระเจ้าทศรถ[10]
ในคัมภีร์ครุฑปุราณะระบุว่าอโยธยาเป็นหนึ่งในเจ็ดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่บุคคลหนึ่งสามารถเข้าถึงโมกษะได้ เพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด[11]
มัสยิดบาบรี (มัสยิดของจักรพรรดิบาบูร์)
[แก้]จักรพรรดิบาบูร์ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของจักรวรรดิโมกุล เชื่อกันว่าหนึ่งในนายพลของจักรวรรดิ มีร์บากี ได้สร้างมัสยิดบาบรี ("มัสยิดของจักรพรรดิบาบูร์") ขึ้นในปี 1528 ตามพระกระแสรับสั่ง[12] นักสำรวจของบริษัทอีสต์อินเดีย ฟรานซิส บูชานานรายงานว่าเขาพบจารึกบนผนังมัสยิดระบุไว้ดังที่กล่าวมาข้างต้น นอกจากนี้เขายังบันทึกคำบอกเล่าของชาวท้องถิ่นที่เชื่อกันว่ามัสยิดนี้สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิออรังเซบ (ค. 1658 – 1707) หลังทรงทำลายโบสถ์พระรามที่เคยตั้งอยู่เดิม[13][14]
เอกสารเก่าแก่ที่สุดที่บันทึกการมีอยู่ของมัสยิดนั้นเป็นบันทึกของชัย สิงห์ที่สอง ขุนนางราชปุตในราชสำนักโมกึล ผู้ซึ่งซื้อที่ดินของมัสยิดและที่ดินโดยรอบในปี 1717 ในเอกสารของเขาได้ระบุถึงอาคารของมัสยิดที่มีสามโดม ที่กลับระบุว่าเป็น "สถานที่ประสูติ" (ฉถี; chhathi) ในพื้นที่ด้านหน้ายังพบ "แท่นบูชา" (จพุตร; chabutra) ที่ซึ่งพบศาสนิกชนเข้ามาประกอบพิธีกรรมบูชา[15] รายละเอียดทั้งหมดได้รับการยืนยันโดยนักบวชเยซูอิต Joseph Tieffenthaler ในครึ่งศตวรรษถัดมา[16] Tieffenthaler ยังระบุต่ออีกว่า "ที่เห็น [มีการบูชาโดยชาวฮินดูอยู่ด้วยนี้] ด้วยเมื่อครั้งหนึ่งในอดีตกาลเคยเป็นที่ที่พระเพสจัน (Beschan) [หมายถึงพระวิษณุ] ได้ประสูติในปางอวตารเป็นพระราม"[17]
ทั้งชาวฮินดูและมุสลิมได้มีการระบุไว้ว่าล้วนเข้ามาประกอบพิธีกรรมใน "มัสยิด-มนเทียร" (mosque-temple) นี้ โดยชาวมุสลิมประกอบพิธีในมัสยิด และชาวฮินดูอยู่นอกมัสยิดแต่ยังอยู่ในที่ดิน หลังอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของบริเตน รัฐบาลบริเตนได้แบ่งพื้นที่ทั้งสองออกจากกันเพื่อป้งอกันการวิวาทกัน[18] ในปี 1949 ภายหลังอินเดียได้รับเอกราช ได้มีคนนำเทวรูปของพระรามไปประดิษฐานภายในมัสยิด อันเป็นฉนวนให้เกิดการวิวาทตามมา[19]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Jain, Rama and Ayodhya (2013), p. 121; Kunal, Ayodhya Revisited (2016), pp. xvi, 135–136; Layton & Thomas, Destruction and Conservation (2003), pp. 8–9
- ↑ "Ayodhya dispute: The complex legal history of India's holy site". BBC News. 16 October 2019. สืบค้นเมื่อ 16 October 2019.
- ↑ Gist of Judgements by Justices S. U. Khan, Sudhir Agarwal and Dharam Veer Sharma, Allahabad High Court, 6 October 2010
- ↑ "Ayodhya dispute: The complex legal history of India's holy site". BBC News. 16 October 2019. สืบค้นเมื่อ 16 October 2019.
- ↑ "Supreme Court hearing ends in Ayodhya dispute; orders reserved". The Hindu Business Line. Press Trust of India. 2019-10-16. สืบค้นเมื่อ 2019-10-18.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "Ayodhya verdict: Supreme Court dismisses Shia Waqf Board's appeal, says land belongs to govt". India Today. 9 November 2019.
- ↑ "Ram Mandir verdict: Supreme Court verdict on Ram Janmabhoomi-Babri Masjid case". The Times of India. 2019-11-09. สืบค้นเมื่อ 2019-11-09.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "Timeline: Ayodhya holy site crisis". BBC News. 6 December 2012.
- ↑ "Rama | Hindu deity". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2 February 2019.
- ↑ "King Dasaratha's four sons". bl.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-02-07. สืบค้นเมื่อ 2 February 2019.
- ↑ Kramrisch, Stella (1976). The Hindu Temple, Volume 1. Motilal Banarsidass. p. 3. ISBN 9788120802230.
- ↑ Flint, Colin (2004). The Geography of War and Peace: From Death Camps to Diplomats. Oxford University Press. ISBN 9780195347517.
- ↑ Layton & Thomas, Destruction and Conservation of Cultural Property (2003), pp. 8–9.
- ↑ Kunal, Ayodhya Revisited (2016), Chapter 5.
- ↑ Jain, Rama and Ayodhya (2013), pp. 114–115.
- ↑ Jain, Rama and Ayodhya (2013), p. 116.
- ↑ Kunal, Ayodhya Revisited (2016), pp. xvi.
- ↑ van der Veer, Ayodhya and Somnath (1992), pp. 97–98, footnote 25.
- ↑ "Tracing The History Of Babri Masjid". Outlook. 1 December 2017.
บรรณานุกรม
[แก้]- Sharma, Dharam Veer (30 August 2010). "Judgement in OOS No. 4 of 1989 (Decision of Hon'ble Special Full Bench hearing Ayodhya Matters)". Allahabad High Court. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 August 2014. สืบค้นเมื่อ 27 December 2014.
- Garg, Abhinav (12 November 2019). "How Guru Nanak played a 'role' in Ayodhya verdict". The Times of India.
- Bacchetta, Paola (2000). "Sacred Space in Conflict in India: The Babri Masjid Affair". Growth and Change. 31 (2): 255–284. doi:10.1111/0017-4815.00128.
- Bakker, Hans (1982), "The rise of Ayodhya as a place of pilgrimage", Indo-Iranian Journal, 24 (2): 103–126, doi:10.1163/000000082790081267
- Bakker, Hans T. (1984). Ayodhya, Part I: The History of Ayodhya from the 7th century BC to the middle of the 18th century. Institute of Indian Studies, University of Groningen. OCLC 769116023.
- Bakker, Hans (1991), "Ayodhya: A Hindu Jerusalem", Numen, 38 (1): 80–109, JSTOR 3270005
- Jain, Meenakshi (2013), Rama and Ayodhya, New Delhi: Aryan Books, ISBN 978-8173054518
- Jha, Krishna; Jha, Dhirendra K. (2012). Ayodhya: The Dark Night. HarperCollins India. ISBN 978-93-5029-600-4.
- Kunal, Kishore (2016), Ayodhya Revisited, Prabhat Prakashan, pp. 335–, ISBN 978-81-8430-357-5
- Lal, B. B. (2008). Rāma, His Historicity, Mandir, and Setu: Evidence of Literature, Archaeology, and Other Sciences. Aryan Books. ISBN 978-81-7305-345-0.
- Layton, R.; Thomas, P. (2003). "Introduction". ใน Layton, R.; Stone, P.; Thomas, J. (บ.ก.). Destruction and Conservation of Cultural Property. Routledge. pp. 1–21. ISBN 978-1134604975.
- Lal, B. B. (2003). "A note on the excavations at Ayodhya with reference to the Mandir-Masjid issue". ใน Layton, R.; Stone, P.; Thomas, J. (บ.ก.). Destruction and Conservation of Cultural Property. Routledge. pp. 117–126. ISBN 978-1134604975.
- Sharma, Ram Sharan (2003). "The Ayodhya issue". ใน R. Layton; P. Stone; J. Thomas (บ.ก.). Destruction and Conservation of Cultural Property. Routledge. pp. 127–138. ISBN 978-1134604975.
- Narain, Harsh (1993). The Ayodhya Temple Mosque Dispute: Focus on Muslim Sources. Delhi: Penman Publishers.
- Nath, R. (1990). Babari Masjid of Ayodhya. Jaipur: The Historical Research Documentation program.
- Ratnagar, Shereen (April 2004). "Archaeology at the Heart of a Political Confrontation: The Case of Ayodhya" (PDF). Current Anthropology. Vol. 45 no. 2. pp. 239–259. doi:10.1086/381044. JSTOR 10.1086/381044.
- van der Veer, Peter (1987). "'God must be Liberated!' A Hindu Liberation Movement in Ayodhya". Modern Asian Studies. 21 (2): 283–301. doi:10.1017/s0026749x00013810. JSTOR 312648.
- van der Veer, Peter (1989). Gods on Earth: The Management of Religious Experience and Identity in a North Indian Pilgrimage Centre. Oxford University Press. ISBN 978-0485195101.
- van der Veer, Peter (1992). "Ayodhya and Somnath: Eternal Shrines, Contested Histories". Social Research. 59 (1): 85–109. JSTOR 40970685.
- van der Veer, Peter (1994), Religious Nationalism: Hindus and Muslims in India, University of California Press, ISBN 978-0-520-08256-4
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Bajaj, Jitendra, บ.ก. (1993). Ayodhya and the Future of India. Madras: Centre for Policy Studies.
- Dubashi, Jay (1992). The Road to Ayodhya. Delhi: South Asia Books.
- Engineer, Asghar Ali, บ.ก. (1990). Babri Masjid Ramjanambhumi Controversy. Delhi: Ajanta Publications.
- Hassner, Ron E. (2009). War on Sacred Grounds. Ithaca: Cornell University Press.
- Jain, Meenakshi The Battle for Rama: Case of the Temple at Ayodhya (Aryan Books International, 2017), ISBN 8173055793.
- Nandy, A.; Trivedy, S.; Mayaram, S.; Yagnik, Achyut (1998). Creating a Nationality: The Ramjanmabhumi Movement and Fear of the Self. Oxford University Press. ISBN 0-19-564271-6.
- Pollet, Ag (1995). Indian Epic Values: Rāmāyaṇa and Its Impact : Proceedings of the 8th International Rāmāyaṇa Conference, Leuven, 6–8 July 1991. Peeters Publishers. ISBN 9789068317015.
- Sharma, Ram Sharan, บ.ก. (1999). Communal History and Rama's Ayodhya (2nd ed.). Delhi: People's Publishing House.
- Srivastava, Sushil (1991). Disputed Mosque, A historical inquiry. New Delhi: Vistaar Publication. ISBN 9788170362128.
- Thacktson, Wheeler M., บ.ก. (1996). Baburnama: Memoirs of Babur, Prince and Emperor. New York and London: Oxford University Press.
- Thapar, Romila (2000). "A Historical Perspective on the Story of Rama". ใน Thapar, Romila (บ.ก.). Cultural Pasts: Essays in Early Indian History. New Delhi: Oxford University Press. ISBN 0-19-564050-0.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Ayodhya Verdict Live Updates
- Nirmohi Akhara ready for out-of-court settlement – TCN News
- Ram Janmabhoomi Babri Masjid – Ayodhya Bench: Gist of Judgments at Allahabad High Court
- Emmanuel, Dominic (27 August 2003). "The Mumbai bomb blasts and the Ayodhya tangle". National Catholic Reporter. สืบค้นเมื่อ 7 December 2014.