เสือชีตาห์
เสือชีตาห์ ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: สมัยไพลสโตซีน–สมัยโฮโลซีน, 1.9–0Ma | |
---|---|
เสือชีตาห์ที่อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ | |
ชีตาห์ราชา (King cheetah) มีลายจุดเป็นขีด และมีขนาดใหญ่ที่สุด | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Mammalia |
อันดับ: | Carnivora |
วงศ์: | Felidae |
วงศ์ย่อย: | Felinae |
สกุล: | Acinonyx Brookes, 1828 |
สปีชีส์: | A. jubatus |
ชื่อทวินาม | |
Acinonyx jubatus Brookes, 1828 (= Felis jubata, Schreber, 1775) โดยมีเพียงสกุลเดียว | |
ชนิดย่อย | |
รายการ
| |
การกระจายพันธุ์ของเสือชีตาห์ในปี 2015[1] | |
ชื่อพ้อง[2] | |
รายการ
|
เสือชีตาห์ (อังกฤษ: cheetah) เป็นเสือเล็กชนิดหนึ่ง มันไม่ใช่เสือเนื่องจากไม่สามารถส่งเสียงคำรามได้ แต่จากรูปร่างภายนอก ทำให้นิยมเรียกกันว่า เสือชีตาห์ เสือชีตาห์มีที่อยู่อาศัยในทุ่งหญ้าสะวันนา เป็นสัตว์ที่วิ่งได้เร็วมากวิ่งได้เร็วประมาณ 110–120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จัดเป็นสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก[3] เป็นผลมาจากความสามารถในการโค้งงอของกระดูกสันหลังในการเคลื่อนที่และเมื่อพุ่งตัวกระดูกสันหลังจะเหยียดออก ปัจจุบันเสือชีตาห์ลดจำนวนลงในทวีปเอเชียเหลืออยู่แค่ในอิหร่านไม่เกิน 20 ตัว ส่วนในแอฟริกาประมาณการว่าเหลืออยู่ราว 4,000 ตัวเท่านั้น
เสือชีตาห์มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Acinonyx jubatus และจัดเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Acinonyx ที่ยังสืบเผ่าพันธุ์จนถึงปัจจุบัน[4] เนื่องจากเสือชีตาห์ชนิดอื่น ๆ นั้นได้สูญพันธุ์ไปหมดในยุคน้ำแข็งสุดท้าย จึงทำให้สายพันธุ์กรรมของเสือชีตาห์ทั้งหมดในปัจจุบันใกล้ชิดกันมาก[5]
ศัพทมูลวิทยา
[แก้]คำว่า "ชีตาห์" แผลงมาจากคำภาษาฮินดีว่า จีตา (चीता)[6] ซึ่งแผลงมาจากคำภาษาสันสกฤตว่า จิตรกายะ อีกทอดหนึ่ง (จิตฺรกาย चित्रकाय มาจากคำว่า จิตฺร चित्र แปลว่า "สดใส", "เด่นชัด" หรือ "เป็นรอยด่าง" สมาสกับคำว่า กาย काय แปลว่า "ร่างกาย" รวมแล้วจึงแปลว่า "ร่างที่มีจุดด่าง") ขณะที่ในภาษาสวาฮีลีเรียกเสือชีตาห์ว่า "ดูมา" (Duma)[7]
ในขณะที่ชื่อวิทยาศาสตร์ Acinonyx มีความหมายว่า "ไม่สามารถขยับเล็บ" ในภาษากรีก และคำว่า jubatus หมายถึง "หงอน" หรือ "เครา" ในภาษาละติน อันหมายถึงขนที่ฟูของลูกเสือ[8]
เจ้าความเร็ว
[แก้]เสือชีตาห์เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก สถิติความเร็วสูงสุดที่เคยวัดได้คือ 112 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เจ้าของสถิตินี้เป็นเสือในแหล่งเพาะเลี้ยง ส่วนความเร็วสูงสุดของเสือชีตาห์ในธรรมชาติเป็นเท่าไหร่ยังไม่ทราบแน่ชัดเพราะวัดได้ยาก ในท้องทุ่งของแอฟริกามีสัตว์อีกชนิดเดียวที่ฝีเท้าใกล้เคียงกันคือแอนติโลป ซึ่งเป็นสัตว์เหยื่อหลักของชีตาห์ มีความเร็ว 80-97 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้ความเร็วยังเป็นรองชีตาห์แต่แอนติโลปสามารถรักษาความเร็วนี้ได้เป็นเวลานาน ส่วนเสือชีตาห์ทำความเร็วที่ระดับสูงสุดได้เป็นเวลาสั้น ๆ เท่านั้น น้อยครั้งมากที่จะวิ่งเป็นระยะทางเกิน 200-300 เมตร เพราะร่างกายของเสือชีตาห์จะร้อนขึ้นเร็วมากขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง และการระบายความร้อนก็ไม่ดีเท่าพวกกาเซลล์หรือแพะ จากการทดลองครั้งหนึ่งพบว่าเสือชีตาห์หยุดวิ่งเมื่อความร้อนร่างกายขึ้นสูงถึง 40.5 องศาเซลเซียส ด้วยเหตุนี้เสือชีตาห์จึงเป็นเพียงนักวิ่งระยะสั้นเท่านั้น
ชีตาห์ราชา
[แก้]เสือชีตาห์บางตัวมีลักษณะแปลกกว่าชีตาห์ตัวอื่น ลายตามลำตัวแทนที่จะเป็นจุดกลม แต่จุดกลับร้อยเชื่อมต่อกันเป็นเส้นสั้น ๆ เส้นบริเวณสันหลังพาดยาวขนานกันตลอดแนวสันหลัง และมีขนบริเวณท้ายทอยยาวกว่า เสือชีตาห์ที่มีลักษณะพิเศษนี้เรียกว่า เสือชีตาห์ราชา (king cheetah) พบครั้งแรกในปี 2470 ตอนแรกนักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าเป็นเสือชนิดใหม่ หรือบ้างก็เข้าใจว่าเป็นลูกผสมระหว่างเสือชีตาห์กับเสือดาว ปัจจุบันทราบแล้วว่าเสือชีตาห์ราชาเป็นชนิดเดียวกับเสือชีตาห์ลายจุดธรรมดา ดังนั้นเสือชีตาห์ธรรมดาอาจออกลูกเป็นเสือชีตาห์ราชาปะปนกับเสือชีตาห์ธรรมดาก็ได้ ความผิดปรกตินี้เป็นผลจากยีนด้อยยีนหนึ่ง หากพ่อและแม่มียีนนี้ทั้งคู่ ลูกที่ออกมาราวหนึ่งในสี่จะเป็นเสือชีตาห์ราชา
ในอดีตเสือชีตาห์ราชาเคยพบเฉพาะในตอนกลางของซิมบับเวเท่านั้น แต่เมื่อไม่นานมานี้มีการยึดจับหนังเสือชีตาห์ราชาได้ที่บูรกินาฟาโซ แอฟริกาตะวันตก นี่อาจหมายความว่ามีเสือชีตาห์ราชาในประเทศใกล้เคียงด้วย
เสือชีตาห์ดำและเสือชีตาห์ขาวก็มีในธรรมชาติเหมือนกัน เคยมีรายงานพบเสือชีตาห์ดำที่เคนยาและแซมเบีย เสือชีตาห์ขาวมีสีพื้นขาวอมฟ้าและมีจุดสีน้ำเงิน เคยมีบันทึกว่าจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์โมกุลในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเลี้ยงเสือชีตาห์ไว้กว่า 1,000 ตัวก็มีเสือชีตาห์ขาวอยู่ด้วย
ในปี 2536 มีการพบเสือชีตาห์ในอียิปต์ที่มีลักษณะต่างจากเสือชีตาห์ที่อยู่ทางใต้ของทวีป มีขนาดเล็กกว่า หนากว่า มีหูใหญ่กว่าปรกติ กระบอกปากเป็นรูปสี่เหลี่ยม สีขนตามลำตัวจางกว่า จุดดำจางกว่า
ลักษณะทั่วไป
[แก้]เป็นเสือรูปร่างเพรียว ขนาดเล็กกว่าเสือดาวเล็กน้อย ขาขาว ขนหยาบ สีเหลืองอ่อน จนถึงสีเหลืองอมน้ำตาล ตามลำตัวมีลายจุดเป็นสีดำ ปลายหางหนึ่งในสามมีวงแหวนสีดำ ปลายสุดสีขาว มีเส้นสีดำจากใต้หัวตามาที่มุมปากทั้งสองข้าง หูเล็กกลม ขนท้ายทอยยาวและตั้งขึ้นเป็นแผง คอสั้น สายพันธุ์ที่มาจากโรเซียมีดวงตามตัวติดกันเป็นแถบสีดำยาวเรียก "King cheetah" หรือ "ชีตาห์ราชา" คาดว่าเป็นการผ่าเหล่าของพันธุ์แท้ หรืออาจจะเกิดจากการผสมเทียมของชาวแอฟริกันในยุคโบราณ ที่มีการเลี้ยงเสือชีตาห์ไว้สำหรับล่าสัตว์[5]
เสือชีต้าหดซ่อนเล็บไว้ในอุ้งเล็บไม่ได้ นอกจากตอนอายุน้อยไม่เกิน 15 สัปดาห์ เนื่องจากช่วงนี้ หนังหุ้มเจริญตัวดีมาก หลังจากนั้น หนังหุ้มจะหดหายไป เป็นเสือวิ่งเร็วที่สุดในช่วงสั้น อุ้งเท้าเล็บแคบกว่าเสือชนิดอื่น
ถิ่นกำเนิด
[แก้]เสือชีตาห์พบในทวีปแอฟริกาตั้งแต่ตอนใต้ของทะเลทรายสะฮารา บริเวณทุ่งหญ้าในตะวันออก และตอนใต้ของแอฟริกา นอกจากนี้ยังพบในอินเดีย บางส่วนของอิหร่านและอัฟกานิสถาน[4]
ถิ่นอาศัยและการล่าเหยื่อ
[แก้]อาศัยอยู่ตามลำพัง ตัวผู้ที่เป็นพี่น้องกันจะรวมกลุ่มกันอยู่ และมีอาณาเขตร่วมกัน เสือชีตาห์เป็นสัตว์ที่วิ่งได้เร็วที่สุดในโลก สามารถทำความเร็วได้ถึง 80 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่มันจะวิ่งได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น อาหารของมัน ได้แก่ กวางขนาดเล็ก เสือชีตาห์สามารถฝึกให้เชื่องได้ง่าย ในสมัยโบราณมักถูกนำมาฝึกให้ล่าสัตว์ ชอบอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าแห้งแล้ง ปีนต้นไม้ไม่เก่ง แต่กระโดดได้สูงถึง 4.5 เมตร ใช้การถ่ายปัสสาวะเป็นเครื่องกำหนดอาณาเขตของมัน ชอบล่าเหยื่อเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยซ่อนตัวบนที่สูงกว่าเหยื่อ เมื่อพบเหยื่อจะหมอบคลานเข้าไปหาและจะอยู่ใต้ลม พอเข้าใกล้เหยื่อ จะใช้เท้าหน้าตะบบให้เหยื่อล้มลงแล้วกัดที่คอ ชอบกินเลือดสด ๆ และเครื่องใน มีตับ ไต หัวใจ และจมูก ลิ้น ตา เนื้อที่หัวซี่โครงและขา นอกนั้นไม่ค่อยกิน มันไม่ลากซากไปกินและไม่หวนกลับมากินซากเดิมอีก ซากเน่าปกติไม่กิน นอกจากหิวจัดจริง ๆ เสือชีตาห์แม้จะปราดเปรียวบนพื้นดิน แต่ก็สามารถปีนต้นไม้ได้และเก่ง โดยสามารถไต่ไปมาตามต้นไม้อย่างคล่องแคล่วด้วย ในเวลากลางคืนมีระบบสายตาที่มองเห็นได้เป็นอย่างดี
ปกติเหยื่อขนาดปานกลาง เช่น แอนทิโลป กาเซลล์ อิมพาลา วอเตอร์บัก แต่เหยื่อขนาดใหญ่ เช่น ม้าลาย คูได ก็ล่าได้ นอกจากนี้ก็ล่า พวกกระต่ายป่า สัตว์แทะ นก รวมทั้งแพะ แกะด้วย กินทั้งหนังและขนของเหยื่อ อาหารแร่ธาตุและไวตามินส์เป็นสิ่งสำคัญของเสือชีตาห์
ถิ่นที่อยู่อาศัย
[แก้]เสือชีตาห์อาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าในพื้นที่ประเภทกึ่งซาฮารา ป่าไม้พุ่ม ไม้แคระ ป่าละเมาะ พบบ้างในป่าไมออมโบซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปในแอฟริกาตอนกลาง แต่ไม่พบในแนวป่าซาวันนาซูดาโน-กีเนียนซึ่งอยู่ในตะวันตก ลักษณะที่อยู่อาศัยที่เสือชีตาห์ชอบมากที่สุดอาจจะเป็นทุ่งหญ้าสลับป่าเนื่องจากการล่าในพื้นที่แบบนี้ใช้พลังงานน้อยกว่าการล่าในทุ่งหญ้าอย่างเดียว พื้นที่ที่เสือชีตาห์ไม่ชอบคือท้องทะเลทรายที่กว้างใหญ่ และป่าทึบ แม้ไม่ชอบอยู่ตามภูเขาสูง แต่ก็เคยพบในที่ได้สูงถึง 1,500 เมตรในเทือกเขาเอธิโอเปีย ตามเทือกเขาแอลจีเรีย ชาด มาลี ไนเจอร์ เคยพบที่ระดับสูงถึง 2,000 เมตร
ในอิหร่าน มักพบในพื้นที่ที่มีไม้พุ่มสลับทุ่งหญ้าและมีหิมะในฤดูหนาว ส่วนในภูเขาในทะเลทรายซาฮาราเป็นพื้นที่แห้งแล้งมาก แต่ก็ยังมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าทะเลทรายรอบข้าง จึงยังมีแหล่งน้ำถาวรและสัตว์เหยื่อให้ล่า
การสืบสายพันธุ์
[แก้]ท้องนาน 90 – 95 วัน ตกลูกครั้งละ 1 – 8 ตัว ลูกลืมตาได้เมื่ออายุ 8 – 11 วัน ตามองเห็นเมื่ออายุ 20 วัน กินอาหารแข็งได้เมื่ออายุ 3 สัปดาห์ไปแล้ว และอย่านมเมื่อ อายุ 10 สัปดาห์ไปแล้ว ลูกมักจะตายมากในช่วง 8 เดือนแรก ตัวเมียเป็นสาวผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุประมาณ 2 ปี ศัตรูของลูกเสือชีตาห์ คือ สิงโต เสือดาว ไฮยีนา และหมาป่า
การเลี้ยงเสือชีตาห์มีผู้แนะนำให้แยกตัวผู้และตัวเมียไว้ต่างหาก ให้นำมารวมกันเฉพาะระยะผสมพันธุ์เท่านั้น หลังจากผสมพันธุ์กันแล้วมันคงอยู่ด้วยกันอีกนานไม่แยกจากกันทันทีเหมือนสัตว์อื่นบางชนิด เคยพบพ่อช่วยเลี้ยงลูกอ่อนด้วย แต่ก็มีรายงานพ่อและแม่กินลูก เหมือนกัน โดยเฉพาะแม่เสือสาวมักไม่ค่อยรับลูกและไม่ยอมให้ลูกกินนม การพยายามแยกลูกมาเลี้ยงเอง ยังไม่มีใครทำสำเร็จ
เสือชีตาห์ตัวผู้เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยเฉพาะในหมู่พี่น้อง ขณะที่เสือตัวเมียจะอาศัยอยู่ตามลำพัง โดยจะอาศัยอยู่ร่วมกับตัวผู้ก็ตอนเฉพาะผสมพันธุ์เท่านั้น จากนั้นจะแยกไปอยู่และเลี้ยงดูลูกเองตามลำพัง [9]
อุปนิสัย
[แก้]ในแอฟริกา เสือชีตาห์มักหากินตอนกลางวัน สาเหตุเนื่องจากการล่าของเสือชีตาห์จำเป็นต้องมองเห็นสภาพพื้นที่ที่ล่าได้ชัดเจน และเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสัตว์นักล่าชนิดอื่นที่หากินตอนกลางคืนมากกว่า เคยพบเสือชีตาห์กินซากบ้าง และบางครั้งก็เป็นการกลับมาเอาเหยื่อที่ตนเองเป็นผู้ล่าที่ถูกแย่งไปทิ้งไปแล้ว แต่กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ในพื้นที่ปศุสัตว์ในนามีเบียซึ่งสิงโตและไฮยีนาหายไปแล้วพบว่า หากสัตว์ที่ล่ามามีขนาดใหญ่ กินคราวเดียวไม่หมด เสือชีตาห์มักอยู่ไม่ไกลจากเหยื่อนั้นแทนที่จะทิ้งไป
การล่าของเสือชีตาห์ จะย่องเข้าไปใกล้เยื่อจนอยู่ในระยะประมาณ 30 เมตร แล้วพุ่งออกไปไล่กวดเหยื่อ การไล่กวดจะกินเวลาประมาณ 20-60 วินาที เมื่อไล่จนทันก็จะใช้ขาหน้าปัดขาหลังของเหยื่อเพื่อให้คะมำล้มลง ความจริงการปัดนี้เป็นการเกี่ยวด้วยเล็บนิ้วโป้งซึ่งอยู่สูงจากอุ้งตีน เมื่อเหยื่อล้มลงแล้วจึงลงมือฆ่าโดยกัดหลอดลม ทำให้เหยื่อขาดใจตาย เสือชีตาห์มีโพรงจมูกใหญ่กว่าเสือชนิดอื่นเพื่อให้หายใจได้ง่ายขณะต้องกัดคอเหยื่อ เมื่อฆ่าเหยื่อได้แล้ว เสือชีตาห์ต้องพักเอาแรงอีกสักครู่จึงจะมีแรงกินได้ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เสี่ยงและมักต้องเสียเหยื่อให้สัตว์ผู้ล่าชนิดอื่นเช่นสิงโตและไฮยีนา
เสือชีตาห์ที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาในซาฮารามีพฤติกรรมต่างออกไปทั้งเวลาหากินและวิธีล่า เสือชีตาห์ในส่วนนี้มักหากินเวลากลางคืน และเนื่องจากสภาพพื้นที่เปิดกว้างมีที่ซุ่มซ่อนและกำบังน้อย จึงต้องใช้วิธีย่องและคืบคลานอย่างเชื่องช้าและอดทน ชื่อเรียกเสือชีตาห์ในภาษาตัวเร็ก ซึ่งเป็นภาษาของชนพื้นเมืองบริเวณนี้มีความหมายว่า "ตัวที่รุกคืบอย่างเชื่องช้า" ซึ่งแตกต่างไปจากภาพลักษณ์ของเสือชีตาห์ที่คนทั่วไปคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง
อาหารหลักของเสือชีตาห์ได้แก่ สัตว์กีบขนาดเล็ก มักมีน้ำหนักไม่เกิน 40 กิโลกรัม ในแอฟริกาตะวันออก ในทุ่งหญ้าเซเรนเกตตีเสือชีตาห์มักล่ากาเซลล์ทอมสัน ในพื้นที่ป่าคืออิมพาลา ในป่าไม้พุ่มตอนเหนือของเคนยาคือกูดูเล็ก เจเรนุก และดิกดิก ในแอฟริกาตอนใต้ อาหารหลักคือสปริงบ็อก ลูกกูดูใหญ่ และหมูป่า อิมพาลา ปูกู ส่วนในแอฟริกาตอนกลางและตะวันตกเคยพบชีตาห์จับฮาร์เตอบีสต์แดง โอริบี และคอบ ในอุทยานมาโนโว-กาวน์ดา-เซนต์ฟลอริสในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง บางครั้งเสือชีตาห์ก็จับสัตว์เล็กเช่นกระต่ายป่าหรือนกกินด้วย สำหรับเหยื่อที่ใหญ่มากเช่นอีแลนด์ เสือชีตาห์จะต้องช่วยกันล่า ซึ่งมักจะเป็นพี่น้องที่อยู่ด้วยกัน
เสือชีตาห์ในทะเลทรายซาฮารากาเซลล์เป็นอาหารหลัก บางครั้งก็ล่านกกระจอกเทศและแกะบาร์บารี ส่วนเสือชีตาห์ในอินเดียมักล่าแบล็กบักและกาเซลล์ชิงการาเป็นหลัก ในเติร์กเมนิสถาน ชีตาห์ล่ากาเซลล์กอยเตอร์เป็นหลัก ในช่วงกลางทศวรรษ 1900 เมื่อกาเซลล์ในบริเวณนี้ลดจำนวนลงไป เสือชีตาห์ก็หายไปจากพื้นที่นี้ด้วย ในอิหร่าน มีรายงานว่า เสือชีตาห์ที่อยู่นอกเขตอนุรักษ์ที่มีกาเซลล์อาศัยอยู่ล่ากระต่ายป่าเป็นอาหารหลักซึ่งมีอยู่มากมายเนื่องจากนายพรานมุสลิมมักไม่ล่ากระต่ายป่า
เสือชีตาห์ทนแล้งได้ดี เพียงอาศัยน้ำที่อยู่ในตัวเหยื่อก็มีชีวิตได้แล้ว จึงอาศัยอยู่ในที่ห่างจากแหล่งน้ำก็ได้ เช่นในทะเลทรายคาลาฮารี ที่นี่เคยมีการสำรวจพบว่าระยะทางการเดินทางเฉลี่ยระหว่างการแวะดื่มน้ำแต่ละครั้งของเสือชีตาห์คือ 82 กิโลเมตร และเคยพบว่าชีตาห์อาศัยความน้ำจากเลือดหรือน้ำปัสสาวะของเหยื่อด้วย
ปกติเสือชีตาห์ที่อยู่ตามลำพังจะมีพื้นที่หากินกว้างประมาณ 800-1,500 ตารางกิโลเมตร อาณาเขตของตัวผู้กับตัวเมีย และอาณาเขตระหว่างตัวเมียด้วยกันอาจทับซ้อนกัน เสือที่อยู่โดยลำพังอาจย้ายถิ่นหากินได้ เป็นพฤติกรรมแบบกึ่งเร่ร่อน
สัตว์สังคม
[แก้]เสือชีตาห์มีทั้งที่หากินโดยลำพังและหากินเป็นฝูงเล็กๆ นับว่าเป็นสัตว์สังคมมากกว่าเสือทั่วไป มีเพียงสิงโตเท่านั้นที่มีสังคมแน่นแฟ้นกว่า หลังจากออกจากการดูแลของแม่แล้ว เสือพี่น้องอาจยังคงอยู่ด้วยกันและช่วยกันทำมาหากินเป็นเวลาถึง 6 เดือนไม่ว่าจะเป็นเพศใด ในเซเรนเกตตี พบว่าเมื่อเสือชีตาห์ตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ก็จะออกจากกลุ่มพี่น้องไปก่อน ส่วนเสือหนุ่มพี่น้องจะอยู่ด้วยกันนานกว่านั้น บางครั้งฝูงเสือชีตาห์หนุ่มอาจยอมรับเสือหนุ่มจากต่างครอบครัวมาร่วมฝูงด้วย ในเซเรนเกตตีคาดว่ามีฝูงแบบนี้มากถึง 15 เปอร์เซ็นต์ เสือหนุ่มที่รวมฝูงกันจะมีอาณาเขตเล็กกว่า บางครั้งอาจเล็กเพียง 12-36 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น อย่างมากไม่เกิน 150 ตารางกิโลเมตร แต่ก็มีศักยภาพในการแสวงหาและรักษาเขตแดนได้ดีกว่าเสือที่หากินโดยลำพัง นอกจากนี้ยังพบว่ามีสุขภาพดีกว่า ล่าสัตว์ได้ขนาดใหญ่กว่า และมีโอกาสเข้าถึงตัวเมียได้มากกว่าในช่วงที่มีกาเซลล์รวมฝูงกันด้วย
ส่วนเสือชีตาห์ตัวเมียอยู่อย่างสันโดษและมีเขตแดนชัดเจน อาจซ้อนเลื่อมกับเขตแดนของตัวเมียตัวอื่นบ้าง
ในแอฟริกาตะวันออกและตอนใต้บางพื้นที่ที่สัตว์นักล่าชนิดอื่นหายไป เคยพบฝูงเสือชีตาห์ที่ใหญ่ถึง 14-19 ตัว (รวมลูก) อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่าการรวมฝูงที่ใหญ่ขนาดนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ให้ประโยชน์อย่างไร
ชีววิทยา
[แก้]เสือชีตาห์ผสมพันธุ์ได้ทุกฤดู ต่างจากเสือส่วนใหญ่ที่มีฤดูผสมพันธุ์ แต่ในเซเรนเกตตีมักพบลูกเสือเกิดใหม่มากที่สุดในฤดูฝน ออกลูกครอกหนึ่งราว 1-8 ตัว เฉลี่ย 3 ตัว ตั้งท้องนานประมาณ 90-98 วัน เสือแรกเกิดหนัก 270 กรัม ตาเปิดได้เมื่ออายุ 4-11 วัน ลูกเสือจะอาศัยอยู่ในพงหญ้าหรือพุ่มไม้จนกระทั่งอายุได้ 5-6 สัปดาห์ เสือชีตาห์วัยเด็กจะมีแผงคอยาวเด่นชัดยาวไปจนถึงสันหลัง บางทีอาจช่วยในการพรางตัวให้กลมกลืนกับพงหญ้าได้ดี เมื่ออายุได้ 3 เดือนก็หย่านม ลูกเสืออยู่กับแม่และศึกษาการดำรงชีวิตเป็นเวลาประมาณ 18 เดือน (13-20) ก็จะพร้อมสำหรับใช้ชีวิตเองได้แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ลูกเสือชีตาห์ส่วนน้อยเท่านั้นที่มีโอกาสรอดและเติบโตเป็นเสือผู้ใหญ่ได้ เสือชีตาห์มักต้องเสียลูกให้แก่สัตว์ล่าเหยื่อหลายชนิด เช่น ไฮยีนา สิงโต เสือดาว นกอินทรี ลิงบาบูน รวมถึงพ่อของเด็กเองด้วย ในเซเรนเกตตี นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา จำนวนสิงโตในทุ่งหญ้าเพิ่มมากขึ้นถึง 10 เท่า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้อัตราตายของลูกเสือชีตาห์สูงมาก พบว่าราว 73 เปอร์เซ็นต์ของลูกเสือชีตาห์ตายเพราะถูกสัตว์อื่นฆ่าโดยเฉพาะจากสิงโต มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะรอดไปจนกระทั่งถึงวัยที่เป็นอิสระจากแม่ได้ การที่เสือชีตาห์ออกลูกทีละหลายตัวก็อาจเป็นกลยุทธหนึ่งในการดำรงเผ่าพันธุ์ และสถานที่ใดที่สัตว์ผู้ล่าชนิดอื่นเหลือจำนวนน้อยก็จะมีจำนวนเสือชีตาห์เพิ่มมากขึ้น เช่น ในฟาร์มเปิดในนามีเบีย ท้องทุ่งและท้องไร่ในเคนยา และในโซมาเลีย
ในด้านอัตราส่วนทางเพศ ลูกเสือแรกเกิดมักมีตัวผู้มากกว่าเล็กน้อยด้วยอัตราตัวผู้ 1 ตัวต่อตัวเมีย 0.95 ตัว แต่เสือตัวเต็มวัยหรือเสือวัยรุ่นกลับมีตัวผู้น้อยกว่ามากด้วยอัตราตัวผู้ 1 ตัวต่อตัวเมีย 1.9 ตัว ตัวเลขนี้อาจหมายถึงตัวผู้มีการแพร่กระจายพื้นที่มากกว่า หรือตายง่ายกว่า หรืออาจเป็นผลมาจากการที่ตัวผู้มักหลบซ่อนเก่งกว่าจนสำรวจได้ยากก็ได้
เสือรุ่นที่เพิ่งเป็นอิสระจากแม่จะยังอยู่ด้วยกันทั้งตัวผู้ตัวเมีย เสือตัวเมียจะแยกจากกลุ่มพี่น้องออกไปก่อนเมื่ออายุได้ 17-27 เดือน ตัวเมียผสมพันธุ์ครั้งแรกเมื่ออายุได้ 24-36 เดือน ตัวผู้เริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ 30-36 เดือน
ระยะเวลาที่แม่เสื้อตั้งท้องแต่ละครั้งห่างกัน 15-19 เดือน หากลูกเสือตายหมด แม่เสือก็พร้อมจะผสมพันธุ์ได้อีกครั้งในเวลาไม่นาน แม่เสือสาวรุ่นอาจใช้เวลานานกว่าแม่เสือสาวใหญ่ในการกลับคืนสู่สภาพพร้อมผสมพันธุ์ จากการสำรวจพบว่าเสือสาวรุ่นใช้เวลา 86.3 วัน ส่วนเสือสาวใหญ่ใช้เวลา 17.8 วัน
ตัวเมียผสมพันธุ์ครั้งสุดท้ายเมื่ออายุ 10 ปี ตัวผู้ 14 ปี เสือชีตาห์มีอายุขัยราว 12-14 ปี
มีความพยายามเพาะพันธุ์เสือชีตาห์ในกรงเลี้ยงมาแล้วหลายร้อยปี เนื่องจากเสือชีตาห์เคยเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับล่าของเจ้านายของอินเดียและอาหรับ แต่การเพาะพันธุ์เพิ่งจะมาเป็นผลสำเร็จเมื่อกลางทศวรรษ 1950 นี้เอง เมื่อทราบว่าในการจับคู่ตามธรรมชาติ เสือชีตาห์สาวจะเป็นผู้เลือกคู่จากหนุ่มหลายตัว ด้วยเหตุนี้การขังตัวผู้กับตัวเมียไว้ด้วยกันเป็นคู่ดังที่ทำก่อนหน้านั้นจึงไม่สำเร็จ
ปัญหาด้านพันธุกรรม
[แก้]ในอดีต มีเสือในสกุลเดียวกับเสือชีตาห์หลายชนิด แต่เมื่อราว 10,000-12,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ปลายยุคไพลโตซีน มีเพียงเสือชีตาห์เพียงชนิดเดียวที่เหลือรอดพ้นยุคนั้นมาได้เพียงน้อยนิด เสือที่เหลือจึงมีการผสมพันธุ์กันในหมู่เครือญาติ ความหลากหลายทางพันธุกรรมจึงต่ำ จากการวิเคราะห์พันธุกรรมของเสือชีตาห์ทั้งในธรรมชาติและแหล่งเพาะเลี้ยงพบว่ามีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกันมาก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เสือชีตาห์ทุกตัวในทุกวันนี้เกือบเหมือนกัน มีความผันแปรทางพันธุกรรมเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในขณะที่เสือชนิดอื่นมีความผันแปรราว 10 เปอร์เซ็นต์ หากตัดหนังจากเสือชีตาห์ตัวหนึ่งมาปะบนเสือชีตาห์อีกตัวหนึ่ง หนังแผ่นนั้นก็จะเจริญเติบโตได้ตามปกติ แต่ถ้าไปทำแบบเดียวกันกับเสือชนิดอื่น หนังนั้นจะแห้งและตายไปในที่สุด ความหลากหลายทางพันธุกรรมที่ต่ำทำให้เสือชีตาห์ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้ยาก ภูมิคุ้มกันโรคต่ำ จึงมีโอกาสเป็นโรคตายและสูญพันธุ์ได้ง่าย
การเพาะพันธุ์ในกรงเลี้ยงทำได้ยากมาก ตัวเมียในกรงมักตั้งท้องได้ไม่ง่ายนัก และแม้จะตั้งท้องได้อัตราตายของลูกเสือก็สูง (28-36%) แม้อัตรานี้จะใกล้เคียงกันในเสือและสัตว์ผู้ล่าชนิดอื่นในกรงเลี้ยง นอกจากนี้เสือชีตาห์ทั้งในกรงเลี้ยงและในป่าก็มีระดับของอสุจิที่ไม่ปกติสูงถึง 71-76% และการผสมพันธุ์นอกมดลูกก็ประสบความสำเร็จน้อยกว่าสัตว์จำพวกเสือชนิดอื่น
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคนานาประการในการเอาชีวิตรอดของเสือชีตาห์ดังที่กล่าวมานี้ก็เป็นข้อมูลที่พบในแหล่งเพาะเลี้ยงเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเสือชีตาห์ในธรรมชาติจะพบชะตากรรมเดียวกัน และเป็นไปได้ว่าสิ่งที่กล่าวมาเป็นการมองในแง่ร้ายเกินไป ประการแรก สวนสัตว์บางแห่งก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเพาะพันธุ์เสือชีตาห์ นี่อาจหมายความว่าอัตราความสำเร็จที่ต่ำในสถานเพาะพันธุ์บางแห่งอาจเป็นเพราะการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของแต่ละแห่งเอง ประการต่อไป ในด้านภูมิต้านทานโรคที่ต่ำ ก็ยังไม่เคยมีรายงานว่ามีการแพร่ระบาดของโรคร้ายในเสือชีตาห์ในธรรมชาติแต่อย่างใดแม้จะพบว่าเสือชีตาห์ในอุทยานบางแห่งมีปัญหาโรคเรื้อนสัตว์ค่อนข้างมากก็ตาม ประการสุดท้าย เสือตัวผู้ในแหล่งเพาะเลี้ยงแต่ละตัวมีอัตราให้กำเนิดลูกต่างกันมากแม้จะมีระดับคุณภาพของอสุจิใกล้เคียงกัน
ภัยที่คุกคาม
[แก้]เสือชีตาห์ในทุกพื้นที่ต่างประสบปัญหาในการดำรงชีวิต ภัยที่คุกคามหลักได้แก่การล่าและการบุกรุกที่อยู่อาศัย แม้แต่ในแอฟริกาที่มีประชากรเสือชีตาห์มากที่สุด พื้นที่อาศัยก็ยังลดลงอย่างรวดเร็ว
พื้นที่ป่าที่ลดลงทำให้เสือชีตาห์มีโอกาสเผชิญหน้ากับสิงโตซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายมากขึ้น ชีตาห์มักต้องเสียลูกให้สิงโตเสมอ ๆ
การทำฟาร์มเปิดของชาวบ้านก็เป็นภัยคุกคามที่สำคัญ เพราะปศุสัตว์เข้าไปแย่งพื้นที่หากินของสัตว์ที่เป็นเหยื่อในธรรมชาติของชีตาห์ เช่น ในป่าอนุรักษ์กอชเยลักของอิหร่านซึ่งเคยมีเสือชีตาห์อยู่มาก เมื่อการทำฟาร์มเปิดทำให้แอนติโลปซึ่งเป็นอาหารหลักของเสือชีตาห์ลดจำนวนลงไป เสือชีตาห์ก็หายไปด้วย
ประชากรเสือชีตาห์กลุ่มเล็ก ๆ ในประเทศอิยิปต์ที่เพิ่งพบในประเทศอิยิปต์ในปี 2536 ก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกัน เพราะต้องถูกตามล่าล้างผลาญอย่างหนักทั้งจากพรานเร่ร่อนและพรานบรรดาศักดิ์ มีรายงานหลายครั้งที่มีทั้งการฆ่าทิ้งยกครัวทั้งแม่ลูก กาเซลล์ซึ่งเป็นอาหารหลักของเสือชีตาห์กลุ่มนี้ก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน
จำนวนที่เหลือน้อยของชีตาห์ทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีกนั่นคือเริ่มมีการผสมพันธุ์ในหมู่สายเลือดใกล้ชิด เป็นเหตุให้พันธุกรรมของชีตาห์อ่อนแอ ภูมิต้านทานโรคลดลง และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ยากขึ้น
เสือชีตาห์มีปัญหาความขัดแย้งกับมนุษย์บ้างเหมือนกัน เพราะบางครั้งก็ไปจับสัตว์ในฟาร์มของชาวบ้าน ในบริเวณอาอีร์และมาซีของไนเจอร์มีรายงานว่าเสือชีตาห์ไปล่าลูกอูฐและแพะของชาวบ้าน ในนามีเบียก็มีงานวิจัยที่พบว่าเสือชีตาห์เป็นภัยต่อสัตว์ในฟาร์มมากกว่าสัตว์นักล่าชนิดอื่น คาดว่าปีหนึ่ง ๆ เกษตรกรต้องเสียสัตว์เล็กอย่างแกะและแพะมากถึงราว 10-15 เปอร์เซ็นต์ และสัตว์ใหญ่ราว 3-5 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามพบว่าเสือชีตาห์ชอบล่าสัตว์ตามธรรมชาติมากกว่า เสือชีตาห์จะจับสัตว์ในฟาร์มในพื้นที่ที่สัตว์เหยื่อในธรรมชาติขาดแคลน และแน่นอนว่าเมื่อใดมีความขัดแย้งกับคน ฝ่ายที่ต้องพ่ายแพ้ก็คือเสือชีตาห์นั่นเอง
สถานภาพ
[แก้]ในอดีต เสือชีตาห์เคยมีเขตกระจายพันธุ์กว้างครอบคลุมพื้นที่ป่าเปิดเกือบทั้งหมดของแอฟริกา รวมถึงทุ่งหญ้าในตอนกลางของอินเดีย ปากีสถาน รัสเซียตอนใต้ อิหร่าน และตะวันออกกลาง แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่พบในตะวันออกและตอนใต้ของแอฟริกาเท่านั้น ส่วนในเอเชียเหลือเพียงทางตอนเหนือของอิหร่านเท่านั้นและเหลืออยู่น้อยมาก และจำนวนประชากรก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันเหลือเพียงท้องทุ่งในแอฟริกาตะวันออกและตอนกลางเท่านั้นที่เป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของเสือชีตาห์
ช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 20 เสือชีตาห์ได้สูญพันธุ์ไปจากหลายพื้นที่ ได้แก่ อัฟกานิสถาน อิรัก อิสราเอล จอร์แดน ลิเบีย คูเวต โมร็อกโก โอมาน ปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย ซีเรีย ตูนิเซีย เติร์กเมนิสถาน อุสเบกิสถาน ซาฮาราตะวันตก และเยเมน
มีการประเมินจำนวนประชากรเสือชีตาห์ในพื้นที่กึ่งซาฮาราในแอฟริกาไว้หลายครั้ง ตัวเลขที่ได้แตกต่างกันมาก เนื่องจากแปรตามเงื่อนไขแวดล้อม โดยเฉพาะจากสัตว์เหยื่อและผู้ล่าชนิดอื่น และมีการรวมกลุ่มกันตามการย้ายถิ่นของเหยื่อเช่นกาเซลล์ทอมสันในทุ่งหญ้าเซเรนเกตตี ไมเยอร์ ประเมินไว้ในปี 2518 ได้ 15,000 ตัว เฟรม ประเมินในปี 2527 ได้ 25,000 ตัว ส่วนในปี 2534 เคราส์ กับ มาร์เกอร์-เคราส์ประเมินได้ 9,000-12,000 ตัว พื้นที่ ๆ พบเสือชีตาห์มีสองพื้นที่ใหญ่ ๆ ได้แต่แอฟริกาตะวันออกในเขตของประเทศเคนยาและแทนซาเนีย กับแอฟริกาตอนใต้ในเขตของประเทศนามิเบีย บอตสวานา ซิมบับเว และแซมเบีย ส่วนทางแอฟริกาตะวันตกมีอยู่น้อยมากและถูกคุกคามมาก บริเวณที่ดูเป็นแดนสวรรค์ของเสือชีตาห์คือตอนใต้ของประเทศเอธิโอเปีย ซึ่งเสือบริเวณนี้มักมีสุขภาพดีและดูเหมือนมีการขยายเขตกระจายพันธุ์ขึ้นไปทางเหนือ
เสือชีตาห์พันธ์เอเชีย (A. j. venaticus) เหลือจำนวนน้อยมาก สถานภาพอยู่ในขั้นวิกฤต ในทศวรรษที่ 1970 ยังมีอยู่เกิน 200 ตัว แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว การสำรวจในปี 2535 พบว่าเหลืออยู่จำนวนไม่ถึง 50 ตัวเท่านั้น พบได้เฉพาะพื้นที่ห่างไกลในประเทศอิหร่านและอัฟกานิสถาน รายงานล่าสุดที่พบอยู่ในจังหวัดคอระซันทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ มาร์คะซีทางตอนกลางประเทศ และ ฟาร์ส ทางตะวันตกเฉียงใต้
เสือชีตาห์ เสือที่มีชื่อเสียงที่สุดชนิดหนึ่งในจำนวนเสือทั้งหมดในโลก อาจจะต้องเป็นชนิดแรกที่ต้องสูญพันธุ์ไปในอนาคตอันใกล้หากไม่มีแผนการอนุรักษ์ที่ดี การเก็บข้อมูลจากการวิจัยค้นคว้าและการเพาะพันธุ์ที่กำลังดำเนินการอยู่โดยในขณะนี้เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เสือชีตาห์รักษาเผ่าพันธุ์และมองเห็นทางรอดในอนาคตได้ ปัจจุบันเสือชีตาห์ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายเกือบทุกประเทศที่อยู่ในเขตกระจายพันธุ์
การนำเสือชีตาห์กลับคืนสู่อินเดีย
[แก้]ในปี 2001 รัฐบาลอิหร่านร่วมมือกับ CCF, IUCN, Panthera Corporation , UNDP และสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าในโครงการอนุรักษ์เสือชีตาห์เอเชีย (CACP) เพื่อปกป้องที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของเสือชีตาห์เอเชียและเหยื่อของมัน [10][11] ในปี 2004 ศูนย์อิหร่านเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (CENESTA) ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างประเทศเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการอนุรักษ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในท้องถิ่น [12]อิหร่านประกาศให้วันที่ 31 สิงหาคมเป็นวันเสือชีตาห์แห่งชาติในปี 2006 การประชุมวางแผนกลยุทธ์เสือชีตาห์อิหร่านในปี 2010 ได้จัดทำแผนอนุรักษ์เสือชีตาห์เอเชียเป็นเวลา 5 ปี[12] CACP ระยะที่ 2 ถูกนำกลับมาใช้ไหม่ในปี 2009 และร่างระยะที่สามในปี 2018 [13]
ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์ชีววิทยาระดับเซลล์และโมเลกุล (ในไฮเดอราบัด) ได้เสนอแผนการที่จะโคลนนิ่งเสือชีตาห์เอเชียจากอิหร่านเพื่อนำกลับคืนสู่อินเดีย แต่อิหร่านปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว [14] ในเดือนกันยายน 2009 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ได้มอบหมายให้Wildlife Trust of Indiaและสถาบันสัตว์ป่าแห่งอินเดียตรวจสอบศักยภาพของการนำเข้าเสือชีตาห์แอฟริกาไปยังอินเดีย [15] เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคูโนและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า Nauradehiได้รับการเสนอแนะให้เป็นสถานที่คืนสู่ธรรมชาติสำหรับเสือชีตาห์เนื่องจากความหนาแน่นของเหยื่อสูง [16] อย่างไรก็ตาม แผนการนำกลับคืนสู่ถิ่นเดิมถูกระงับในเดือนพฤษภาคม 2012 โดยศาลสูงสุดอินเดียเนื่องจากข้อพิพาททางการเมืองและความกังวลเกี่ยวกับการนำสายพันธุ์ที่ไม่ใช่สัตว์พื้นเมืองเข้ามาในประเทศ ฝ่ายตรงข้ามระบุว่าแผนนี้ "ไม่ใช่กรณีของการเคลื่อนที่โดยเจตนาของสิ่งมีชีวิตเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ดั้งเดิมของมัน" [17][18] เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2020 ศาลอนุญาตให้รัฐบาลกลางนำเสือชีตาห์มาในถิ่นที่อยู่ที่เหมาะสมในอินเดียโดยทำการทดลองเพื่อดูว่าพวกมันจะปรับตัวเข้ากับมันได้หรือไม่ [19][20] ในเดือนกรกฎาคม 2022 มีการประกาศว่าเสือชีตาห์แปดตัวจะถูกย้ายจากนามิเบียไปยังอินเดียในเดือนสิงหาคม[21] ในปี 2020 อินเดียได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับนามิเบียในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการเสือชีตาห์ นามิเบียบริจาคเสือชีตาห์แปดตัว ซึ่งจะถูกนำไปยังอุทยานแห่งชาติคูโน [22] เสือชีตาห์ทั้งแปดตัวถูกปล่อยสู่คูโนเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2022 โดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี [23]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Database entry includes justification for why this species is vulnerable. Cat Specialist Group (2002). Acinonyx jubatus. 2006 IUCN Red List of Threatened Species. IUCN 2006. Retrieved on 2006-05-11.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อmammal
- ↑ "ความรู้ที่น่าสนใจในเรื่องสัตว์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-17. สืบค้นเมื่อ 2007-12-16.
- ↑ 4.0 4.1 "Acinonyx". ระบบข้อมูลการจำแนกพันธุ์แบบบูรณาการ.
- ↑ 5.0 5.1 Africa's Outsiders - AFRICA'S OUTSIDERS, สารคดีทางแอนิมอลพลาเน็ท. ทางทรูวิชั่นส์: จันทร์ที่ 1 กรกฎาคม 2556
- ↑ cheetah (n.d.). The American Heritage Dictionary of the English Language, Fourth Edition. สืบค้นเมื่อ 2007-04-16.
- ↑ "Duma (2005): About This Film". Hollywood Jesus. April 23, 2005. สืบค้นเมื่อ July 10, 2010.
- ↑ "Acinonyx jubatus". Cat Specialist Group. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-07-21. สืบค้นเมื่อ 6 May 2014.
- ↑ หน้า 7 WILD จุดประกาย, 5 เรื่องน่ารู้ของชีตาร์. กรุงเทพธุรกิจปีที่ 30 ฉบับที่ 10366: วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
- ↑ Hunter, L. (2012). "Finding the last cheetahs of Iran". National Geographic. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-07-01. สืบค้นเมื่อ 4 May 2016.
- ↑ "Conservation of Asiatic Cheetah Project (CACP)—Phase II". United Nations Development Programme, Iran. สืบค้นเมื่อ 4 May 2016.
- ↑ 12.0 12.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อmarker1
- ↑ "Iran tries to save Asiatic cheetah from extinction". NDTV. 2014. สืบค้นเมื่อ 4 May 2016.
- ↑ Umanadh, J. B. S. (2011). "Iranian refusal an obstacle to clone cheetah". Deccan Herald. สืบค้นเมื่อ 5 April 2016.
- ↑ Sebastian, S. (2009). "India joins the race to save cheetahs". The Hindu. สืบค้นเมื่อ 25 April 2020.
- ↑ Ranjitsinh, M. K.; Jhala, V. V. (2010). Assessing the potential for reintroducing the cheetah in India (PDF) (Report). Wildlife Trust of India & Wildlife Institute of India. pp. 1–179. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 20 December 2016.
- ↑ Mahapatra, D. (2012). "Supreme Court red flags move to translocate African cheetah". The Times of India. สืบค้นเมื่อ 29 April 2020.
- ↑ Kolachalam, N. (2019). "When one big cat is almost like the other". The Atlantic Magazine. สืบค้นเมื่อ 25 April 2020.
- ↑ Wallen, J. (2020). "India to reintroduce cheetahs to the wild more than 70 years after species became extinct". The Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 January 2022. สืบค้นเมื่อ 25 April 2020.
- ↑ Katz, B. (28 January 2020). "After decades-long battle, cheetahs can be reintroduced in India". Smithsonian Magazine. สืบค้นเมื่อ 25 April 2020.
- ↑ "Cheetahs to prowl India for first time in 70 years". BBC News. 2022. สืบค้นเมื่อ 21 July 2022.
- ↑ Mishra, Ashutosh (September 15, 2022). "Stage set for return of cheetahs to India, special plane lands in Namibia | All you need to know". India Today. สืบค้นเมื่อ 16 September 2022.
- ↑ Ghosal, A.; Arasu, S. (2022). "Cheetahs make a comeback in India after 70 years". The Washington Times. สืบค้นเมื่อ 9 September 2022.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Acinonyx jubatus ที่วิกิสปีชีส์