ไบรอัน คิดด์
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | ไบรอัน คิดด์[1] | ||
วันเกิด | [1] | 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1949||
สถานที่เกิด | แมนเชสเตอร์ อังกฤษ | ||
ตำแหน่ง | กองหน้า | ||
สโมสรเยาวชน | |||
1963–1967 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) |
1967–1974 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 203 | (52) |
1974–1976 | อาร์เซนอล | 77 | (30) |
1976–1979 | แมนเชสเตอร์ซิตี | 98 | (44) |
1979–1980 | เอฟเวอร์ตัน | 40 | (12) |
1980–1982 | โบลตันวอนเดอเรอส์ | 43 | (14) |
1981 | → แอตแลนตาชีฟส์ (ยืม) | 27 | (22) |
1982–1983 | Fort Lauderdale Strikers | 44 | (33) |
1983 | Fort Lauderdale Strikers | 2 | (3) |
1984 | Minnesota Strikers | 13 | (8) |
รวม | 545 | (215) | |
ทีมชาติ | |||
1967 | England Youth | 8 | (2) |
1967–1970 | อังกฤษ ยู–23 | 10 | (5) |
1970 | อังกฤษ | 2 | (1) |
จัดการทีม | |||
1984–1985 | Barrow | ||
1986 | เพรสตันนอร์ทเอนด์ | ||
1988–1991 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (ทีมเยาวชน) | ||
1991–1997 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (ผู้ช่วย) | ||
1998–1999 | แบล็กเบิร์นโรเวอส์ | ||
2009 | แมนเชสเตอร์ซิตี (ทีมเยาวชน) | ||
2013 | แมนเชสเตอร์ซิตี (รักษาการ) | ||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น |
ไบรอัน คิดด์ (เกิด 29 พฤษภาคม 1949) เป็นผู้ฝึกฟุตบอลและอดีตผู้เล่นชาวอังกฤษ ซึ่งล่าสุดเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนของแมนเชสเตอร์ซิตี
คิดด์เป็นกองหน้าเคยเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ซิตี, เอฟเวอร์ตัน, โบลตันวอนเดอเรอส์, Fort Lauderdale Strikers และมินนิโซตา สไตรเกอร์ส
อาชีพนักฟุตบอล
[แก้]คิดด์เกิดที่เมืองแมนเชสเตอร์[1] และเริ่มเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ตั้งแต่ยังเป็นเด็กโดยเข้าร่วมอะคาเดมีของสโมสรในเดือนสิงหาคม 1964 สองปีต่อมา เขาได้กลายเป็นนักเตะอาชีพของสโมสร[2]
คิดด์มีความโดดเด่นด้วยการทำประตูในวันเกิดอายุครบ 19 ปีของเขาให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเกมที่ชนะไบฟีกา 4–1 ในยูโรเปียนคัพรอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 1968 โดยรวมแล้วเขายิงได้ 52 ประตูจากการลงเล่น 203 นัดในลีกให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[2]
หลังจากที่ยูไนเต็ดตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชัน 2 ในปี 1974 คิดด์ก็ย้ายไปร่วมทีมอาร์เซนอลด้วยค่าตัว 110,000 ปอนด์[3] คิดด์ทำประตูได้ในเกมประเดิมสนามให้กับอาร์เซนอลพบกับเลสเตอร์ซิตีที่ฟิลเบิร์ตสตรีท จากนั้นเขาก็ยิงสองประตูให้กับทีมในนัดที่เปิดบ้านพบกับแมนเชสเตอร์ซิตี เขาเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของอาร์เซนอลในฤดูกาล 1974–75 โดยทำได้ 19 ประตูจากการลงสนาม 40 นัด ในฤดูกาลถัดมา คิดด์ทำแฮตทริกเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1976 ในเกมที่เอาชนะเวสต์แฮมยูไนเต็ด 6–1 ที่ไฮบิวรี[4][5] คิดด์ยิงประตูให้กับอาร์เซนอลไปทั้งหมด 34 ประตูจากการลงสนาม 90 นัด ในเดือนกรกฎาคม 1976 เขาถูกขายให้กับแมนเชสเตอร์ซิตีด้วยค่าตัว 100,000 ปอนด์[3]
กับแมนเชสเตอร์ซิตี คิดด์ทำได้ 3 ประตูในการเจอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ต้นสังกัดเก่า ในเกมที่ชนะ 3–1 ที่เมนโรดและเสมอ 2–2 ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในฤดูกาล 1977–78 เขาลงเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ซิตี 98 นัด ยิงได้ 44 ประตู จากนั้นเขาย้ายไปเอฟเวอร์ตันในเดือนมีนาคม 1979 ด้วยค่าตัว 150,000 ปอนด์ กับเอฟเวอร์ตัน คิดด์ยิงได้ 12 ประตูจากการลงสนาม 44 นัด และถูกไล่ออกจากสนามในรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพที่เจอกับเวสต์แฮมยูไนเต็ด จากนั้นคิดด์ก็ย้ายไปร่วมทีมโบลตันวอนเดอเรอส์ในเดือนพฤษภาคม 1980 ด้วยค่าตัว 110,000 ปอนด์ คิดด์ทำ 13 ประตูให้กับโบลตันจากการลงเล่นรวม 43 นัด จากนั้นเขาถูกยืมตัวไปเล่นให้กับทีม Atlanta Chiefs ของ NASL ในปี 1981 เขาลงเล่น 29 นัด ทำได้ 23 ประตู[2][6]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2525 คิดด์ย้ายจากโบลตันเพื่อกลับมาที่ NASL จากนั้นเขาได้เซ็นสัญญากับทีม Fort Lauderdale Strikers และอีกสองปีถัดมาก็เซ็นสัญญากับทีม Minnesota Strikers เขาทำประตูได้อย่างมากมายกับทั้งสองทีม แต่ในปี 1984 เขาก็เลิกเล่นฟุตบอล[2]
อาชีพผู้จัดการทีมและผู้ฝึก
[แก้]1984–2008
[แก้]ในปี 1984 คิดด์เริ่มต้นอาชีพผู้ฝึกของเขาที่บาร์โรว์ เขาเป็นผู้จัดการทีมเพรสตันนอร์ทเอนด์ในช่วงสั้น ๆ หลายนัดในปี 1986[7] จากนั้นคิดด์ก็เริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมในการฝึกสอนผู้เล่นเยาวชน ก่อนจะกลับมาที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในฐานะผู้ฝึกทีมเยาวชนโดยอเล็กซ์ เฟอร์กูสันในปี 1988 ในสามปีถัดมา คิดด์ได้ช่วยพัฒนาผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มากมายเช่น ไรอัน กิ๊กส์ และดาร์เรน เฟอร์กูสัน เมื่ออาร์ชี น็อกซ์ผู้ช่วยของเฟอร์กูสันย้ายไปทำหน้าที่เดียวกันที่กลาสโกว์เรนเจอส์ในช่วงฤดูร้อนปี 1991 คิดด์ก็ได้รับการเลื่อนขึ้นมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม เขาช่วยเฟอร์กูสันในการนำยูไนเต็ดคว้าแชมป์ลีกคัพในปี 1992, แชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 1993, ดับเบิลแชมป์ในปี 1994 และอีกครั้งในปี 1996 รวมทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกสมัยในปี 1997
คิดด์ออกจากยูไนเต็ดเพื่อไปคุมทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์ในเดือนธันวาคม 1998 แทนที่รอย ฮอดจ์สัน ซึ่งถูกปลดออกหลังจากที่แบล็กเบิร์นออกสตาร์ทฤดูกาลได้ไม่ดีจนทำให้พวกเขาตกไปอยู่ในโซนตกชั้น แม้ว่าคิดด์จะเริ่มต้นได้ดี ซึ่งทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีกและยังใช้เงินไปเกือบ 20 ล้านปอนด์อีกด้วย ในช่วงสี่เดือนแรกที่รับหน้าที่คุมทีมแต่เขาก็ไม่สามารถช่วยทีมให้รอดพ้นจากการตกชั้นได้ (เพียงสี่ปีหลังจากเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก) และคิดด์ก็ถูกปลดออกในวันที่ 3 พฤศจิกายน 1999 ขณะที่แบล็กเบิร์นอยู่ในอันดับที่ 19 ของดิวิชันหนึ่ง[2][8]
ในปี 1999 รอยร้าวได้เกิดขึ้นระหว่างคิดด์และอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หลังจากที่คิดด์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในอัตชีวประวัติของเฟอร์กูสันที่มีชื่อว่า Managing My Life เฟอร์กูสันโกรธในตอนที่คิดด์ยังเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม เขาตั้งคำถามถึงการเซ็นสัญญากับดไวท์ ยอร์กในช่วงซัมเมอร์ปี 1998 เฟอร์กูสันวิจารณ์การตัดสินใจเรื่องฟุตบอลของคิดด์และเขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า "ผมมองว่าไบรอัน คิดด์เป็นคนที่มีความซับซ้อน มักจะไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพของเขา" คิดด์ไม่พอใจที่เฟอร์กูสันโจมตีเขาและตอบโต้ด้วยการกล่าวว่า "ผมเชื่อว่าวอลต์ ดิสนีย์กำลังพยายามซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์จากหนังสือของเขาเพื่อเป็นภาคต่อของแฟนตาเซีย"[9]
คิดด์ย้ายไปลีดส์ยูไนเต็ดในเดือนพฤษภาคม 2000 ในฐานะผู้ฝึกทีมเยาวชนแต่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้ฝึกในเดือนมีนาคม 2001 ภายใต้การนำของเดวิด โอเลียรีและเทอร์รี เวนาเบิลส์ เขาออกจากลีดส์ในเดือนพฤษภาคม 2003 หลังจากที่ปีเตอร์ รีดได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีม[10]
ในขณะเดียวกัน คิดด์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมชาติอังกฤษในยุคที่สเวน-โกรัน เอริกสันเป็นผู้จัดการทีมในเดือนมกราคม 2003[11] เขาถูกบังคับให้ยุติบทบาทนี้ในเดือนพฤษภาคม 2004 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 เนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก[12] คิดด์พักรักษาตัวถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2006[13]
ในเดือนสิงหาคม 2006 รอย คีน อดีตผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมซันเดอร์แลนด์และมีรายงานว่าคีนต้องการให้คิดด์มาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของเขาที่สเตเดียมออฟไลต์ อย่างไรก็ตาม คิดด์กลับยอมรับข้อเสนอทำงานเป็นผู้ช่วยของนีล วอร์น็อกที่เชฟฟีลด์ยูไนเต็ดไม่กี่เดือนหลังจากทีมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก[14] หลังจากที่เดอะเบลดส์ตกชั้นและวอร์น็อคลาออก คิดด์ก็ยังคงอยู่ที่บรามอลล์เลนภายใต้ผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างไบรอัน ร็อบสัน (อดีตผู้เล่นแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอีกคน) แต่ออกจากสโมสรหลังจากที่ร็อบสันออกจากทีมในเดือนกุมภาพันธ์ 2008[15]
2009–ปัจจุบัน
[แก้]ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2009 คิดด์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมชั่วคราวของพอล ฮาร์ตที่พอร์ตสมัทในศึกพรีเมียร์ลีก[16] เขาอยู่จนถึงเดือนสิงหาคม 2009 เมื่อเขาปฏิเสธข้อเสนอสัญญาฉบับใหม่[17]
คิดด์ได้รับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาเทคนิคที่ แมนเชสเตอร์ซิตีในเดือนกันยายน 2009[18]ก่อนที่จะกลายมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมให้กับโรแบร์โต มันชินีผู้จัดการทีมคนใหม่เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2009 หลังจากปลดมาร์ก ฮิวส์ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม
คิดด์เปิดเผยว่าแม้จะไม่ได้รับโทรศัพท์จากเฟอร์กูสันในช่วงที่เขาต่อสู้กับมะเร็งต่อมลูกหมากในปี 2004 แต่ตอนนี้เขากำลังพูดคุยกับเฟอร์กูสันหลังจบการแข่งขัน[19]
ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี 2011 แมนเชสเตอร์ซิตีคว้าแชมป์รายการใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ 35 ปีหลังจากเอาชนะสโตกซิตีไปได้ 1–0[20] ในฤดูกาล 2011–12 แมนฯ ซิตีคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1968 แมนเชสเตอร์ซิตียิงสองประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเอาชนะควีนส์พาร์กเรนเจอส์ 3–2 แบบสุดดราม่าและคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกจากผลต่างประตูได้เสียเหนือแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คิดด์วิ่งลงไปในสนามพร้อมกับมันชินีและเดวิด แพลตต์ ผู้ฝึกทีมชุดใหญ่เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับเซร์ฆิโอ อาเกวโรที่ยิงประตูชัยให้กับซิตี้[21]
คิดด์ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวสำหรับสองเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2012–13 หลังจากการออกจากทีมของมันชินี[22] คิดด์กลับมาทำหน้าที่ผู้ช่วยอีกครั้งหลังจากการแต่งตั้งมานูเอล เปเลกรินิและทำงานร่วมกับเขาและผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างแป็ป กวาร์ดิออลาก่อนจะลาออกหลังจบฤดูกาล 2020–21[23]
เกียรติประวัติ
[แก้]นักเตะ
[แก้]แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
- ยูโรเปียนคัพ (1): 1967–68
- เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ (1): 1967
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 "ไบรอัน คิดด์". Barry Hugman's Footballers. สืบค้นเมื่อ 7 ธันวาคม 2024.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 "Brian Kidd". England Football Online.com.
- ↑ 3.0 3.1 "Profile: Brian Kidd". Arsenal.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 January 2014. สืบค้นเมื่อ 13 January 2014.
- ↑ "Arsenal 6-1 West Ham". EFL. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-08-13 – โดยทาง YouTube.
- ↑ "Arsenal 6-1 West Ham United". World Football.net.
- ↑ "Brian Kidd at Man City". Sporting Heroes.net.
- ↑ "Managers: Brian Kidd". Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 14 February 2013.
- ↑ "Boom and bust the Blackburn way". BBC News. 13 May 1999.
- ↑ Nixon, Alan (7 August 1999). "Angry Kidd responds to Ferguson 'insults'". The Independent. สืบค้นเมื่อ 14 February 2013.
- ↑ "Leeds axe Gray and Kidd". BBC Sport. 15 March 2003. สืบค้นเมื่อ 22 February 2008.
- ↑ "Kidd gets England role". BBC Sport. 22 January 2003. สืบค้นเมื่อ 22 February 2008.
- ↑ "McClaren nets England role". BBC Sport. 14 May 2004. สืบค้นเมื่อ 22 February 2008.
- ↑ "Kidd keen on return to coaching". BBC Sport. 7 February 2006. สืบค้นเมื่อ 22 February 2008.
- ↑ "Kidd snubs Sunderland for Blades". BBC Sport. 11 September 2006. สืบค้นเมื่อ 22 February 2008.
- ↑ "Blackwell in for Robson at Blades". BBC Sport. 14 February 2008. สืบค้นเมื่อ 22 February 2008.
- ↑ "Kidd Joins Blues". portsmouthfc.co.uk. Portsmouth FC. 11 February 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 February 2009. สืบค้นเมื่อ 11 February 2009.
- ↑ "Portsmouth and Kidd part company". BBC Sport. 10 August 2009. สืบค้นเมื่อ 10 August 2009.
- ↑ "Brian Kidd joins Manchester City". mcfc.co.uk. Manchester City FC. 7 September 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 March 2016. สืบค้นเมื่อ 7 September 2009.
- ↑ Herbert, Ian (11 February 2011). "How a bitter dispute with Ferguson turned Kidd red then blue". The Independent. สืบค้นเมื่อ 14 February 2013.
- ↑ "Man City 1 Stoke 0". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 14 February 2013.
- ↑ "Man City 3 QPR 2". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 14 February 2013.
- ↑ "Roberto Mancini: Manchester City sack manager". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2 July 2021.
- ↑ "Brian Kidd leaves Manchester City after 12 years". Manchester City F.C. สืบค้นเมื่อ 2 July 2021.