ข้ามไปเนื้อหา

เสน่ห์ อ่อนแก้ว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เสน่ห์ อ่อนแก้ว (พ.ศ.2493 – 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515) เป็นผู้ข่มขืนต่อเนื่อง และฆาตกรฆ่าข่มขืนเด็กชาวไทย ที่ถูกคณะปฎิวัติซึ่งนำโดยจอมพลถนอม กิติขจร ใช้อำนาจมาตรา 17 สั่งให้ประหารชีวิตในข้อหาฆ่าข่มขืนเด็กหญิงวารี ทรงสุข อายุ 12 ปี ที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2515[1][2]

เสน่ห์ อ่อนแก้ว
ภาพถ่ายหน้าตรงของเสน่ห์หลังจากถูกจับกุม
เกิดพ.ศ. 2493
อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย
เสียชีวิต9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 (21 ปี)
เรือนจำกลางบางขวาง อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ประเทศไทย
สาเหตุเสียชีวิตประหารชีวิตด้วยการยิง
อาชีพกรรมกร
นายจ้างโรงงานทอผ้าไทยเกียง
มีชื่อเสียงจากฆาตกรรมและข่มขืนเด็กหญิงวัย 12 ปี
สถานะทางคดีประหารชีวิตแล้ว
บุตร1
บิดามารดาสมพงษ์ อ่อนแก้ว (บิดา)
นพรัตน์ อ่อนแก้ว (ลูกพี่ลูกน้อง)
พิพากษาลงโทษฐานข่มขืนในลักษณะโทรมหญิง และฆ่าคนตายโดยเจตนา
บทลงโทษประหารชีวิตตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี
คู่หู8
รายละเอียด
ผู้เสียหายเด็กหญิงวารี ทรงสุข, 12 ปี (เสียชีวิต)
เหยื่อข่มขืนในหมู่บ้านหลายราย
วันที่ไม่ทราบ - 19 ธันวาคม พ.ศ. 2514
ประเทศประเทศไทย
รัฐจังหวัดสมุทรปราการ
ตำแหน่งตำบลบางจาก อำเภอพระประแดง
วันที่ถูกจับ
22 ธันวาคม พ.ศ. 2514
จำคุกที่เรือนจำจังหวัดสมุทรปราการ

เสน่ห์ได้ร่วมกับพรรคพวกรวม 9 คน ก่อเหตุฉุดเด็กหญิงวารี ทรงสุขไปรุมโทรมในสวนมะพร้าวในอำเภอพระประแดง แล้วฆ่าเธอ[3] ในวันที่เขาถูกประหารชีวิต เขามีอาการไม่สะทกสะท้าน และไม่ยอมฟังเทศน์พร้อมกับด่าเจ้าหน้าที่ด้วยคำหยาบคาย โดยเขานับเป็นบุคคลที่ 3 ถูกประหารชีวิตโดยอำนาจมาตรา 17 หลังจากการรัฐประหารตนเองของจอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 และนับเป็นอาชญากรทางเพศรายแรกที่ถูกประหารชีวิตตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี[4][5]

ประวัติ

[แก้]

เสน่ห์ อ่อนแก้ว เกิดเมื่อปีพ.ศ. 2493 เป็นบุตรชายของนายสมพงษ์ อ่อนแก้วซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลบางจาก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ [6] เขามีนิสัยเกเร และมีพฤติกรรมลวนลานและข่มขืนผู้หญิงในหมู่บ้านหลายคน แต่เหยื่อไม่กล้าแจ้งความเนื่องจากเพราะกลัวว่าจะเกิดความอับอาย และเกรงกลัวอิทธิพลของเสน่ห์ กับสมพงษ์ พ่อของเสน่ห์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน[7][8]

การก่อคดีฆาตกรรม

[แก้]

ในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2515 เวลาประมาณ 19.00 น. นายอี้ด(ไม่ทราบนามสกุล)ได้ชวนนายสมชาย หรือจุก แสนสุข อายุ 16 ปี ไปเดินเล่นที่หมู่บ้านจัดสรร ในซอยกลับเจริญ 1 เมื่อทั้งสองเดินไปถึงปากทางเข้าบริษัทไทยเกียง ทั้งสองได้พบกับนายนรัตน์ อ่อนแก้ว อายุ 15 ปี ลูกพี่ลูกน้องของเสน่ห์,นายปุ้ม และนายัย หรือแดง ประดิษฐ์สุวรรณ อายุ 15 ปี นั่งอยู่ในร้านกาแฟ อี้ดกับสมชายจึงเข้าไปมั่วสุมร่วมกับวัยรุ่นทั้งสามภายในร้านกาแฟ[9]

ในเวลา 20.00 น. เด็กหญิงวารี ทรงสุข ได้อุ้มเด็กชายสมศักดิ์ซึ่งเป็นหลานชายของพี่เขยของเธอไปส่งที่บ้าน วัยรุ่นทั้ง 5 คนได้สังเกตุเห็นวารี ปุ้มได้พูดว่าเด็กหญิงวารีเคยด่าตน วัยรุ่นทั้ง 5 คน จึงวางแผนฉุดวารีไปข่มขืน หลังจากวารีส่งสมศักดิ์แล้ว เธอได้เดินออกมาเพื่อจะไปช่วยนางป่วน ทรงสุข มารดาของเธอขายส้มตำ[10] วัยรุ่นทั้ง 5 จึงสะกดรอยตามเธอห่างๆ เมื่อนรัตน์,ปุ้ม และเชิดชัย ใกล้ถึงตัวเธอ วัยรุ่นทั้งสามได้อุดปากเธอและอุ้มไปยังสวนมะพร้าว โดยระหว่างการเดินได้รวมเข้ากับพรรคพวกอีก 2 คน ที่ปากซอยโรงน้ำมันทิพย์ เมื่อกลุ่มวัยรุ่นทั้งเจ็ดเดินมาถึงห้องแถวสร้างใหม่ได้พบกับเสน่ห์และเพื่อนอีกคน คนร้ายทั้ง 9 จึงพาเธอเข้าไปยังสวนะพร้าวของนายลพ อ้นจู แล้วกลุ่มคนร้ายได้ผลัดกันข่มขืนบริเวณโคนต้นมะพร้าว โดยอี้ดเป็นคนแรกที่ก่อเหตุข่มขืน โดยมีเชิดชัยกับนายปุ้มเป็นคนจับแขนและขาขณะที่คนร้ายคนอื่นข่มขืน หลังจากอี้ดข่มขืนเสร็จ สมชายได้มาข่มขืนเป็นคนที่สอง แล้วตามด้วยนรัตน์ เมื่อสมชายข่มขืนเสร็จ เชิดชัยได้เดินตามสมชายไปโดยยังไม่ได้ข่มขืน หลังจากที่เชิดชัยกับสมชายกลับบ้านไป ได้มีคนในกลุ่มในกลุ่มคนร้ายใช้ดินเหนียวอุดปากวารีเพื่อไม่ให้ร้องขอความข่วยเหลือ และบีบคอเธอจนเสียชีวิต[11] หลังจากวารีเสียชีวิตแล้วกลุ่มคนร้ายได้แยกย้ายกันหลบหนีไป[12][13]

ในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น(20 ธันวาคม) เพื่อนบ้านซึ่งมีอาชีพปีนต้นมะพร้าวได้พบศพของเธอในสวนมะพร้าว จากการชันสูตรศพพบว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากการขาดอากาศหายใจจากการถูกอุดปากและบีบคอ[14][15] ในวันที่ 22 ธันวาคม เวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมสมชายที่ร้านกาแฟ เยื้องปากตรอกโรงงานทอผ้าไทยเกียง ในอีก 1 ชั่วโมงต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมเชิดชัยขณะช่วยแม่ขายข้าวแกงในโรงงานไทยเกียง[16][17] สมชาย และเชิดชัยได้ให้การรับสารภาพถึงการก่อคดี โดยแดงปฎิเสธว่าได้ร่วมข่มขืน แต่เป็นคนจับขา สมชายยอมรับว่าตนเองเป็นคนข่มขืน ทั้งสองยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนเอาดินอุดปากวารีและฆ่าเธอ สมชายได้ให้การว่าเสน่ห์ได้ร่วมก่อเหตุ โดยในขณะที่เกิดเหตุเสน่ห์ได้ยืนคอยกับคนร้ายอีกคนในสวนมะพร้าวและเป็นคนข่มขืนคนท้ายๆ แต่เขาไม่ได้อยู่ดูว่าเสน่ห์ข่มขืนหรือไม่เพราะเขากลับไปกับเชิดชัยก่อน[18] ต่อมาในเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมเสน่ห์ ขณะทำงานเป็นกรรมกรอยู่ที่แผนกช่างไฟฟ้าของโรงงานไทยเกียง จากการสอบสวนเสน่ห์ เขาให้การปฎิเสธ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบร่างกายเขา พบรอยเล็บที่โคนนิ้วก้อยด้านซ้าย กับแผลที่หลังมือทั้งสองข้าง เขาอ้างว่าแผลดังกล่าวเกิดจากการหกล้มระหว่างซ้อมฟุตบอล และยอมรับว่ารู้จักจุกกับแดง แต่ไม่เคยคบค้าสมาคมกัน [19] ในเวลา 23 นาฬิกาเศษของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอพระประแดงโดยมีนายจุ่น อ่อนแก้ว พ่อของนรัตน์ ซึ่งอาสาพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปติดตามตัวของนรัตน์ ได้เดินทางไปถึงอำเภอไชยบาดาล แล้วเดินทางไปยังบ้านพักของจ่าสิบตำรวจตรี สวง จิตรพันธ์ เมื่อเข้าไปในบ้านของสวงในตำบลมะนาวหวาน พบว่าทุกคนในบ้านกำลังนอนหลับอยู่ เจ้าหน้าที่จึงจับกุมนรัตน์ขณะนอนหลับภายในมุ้ง เขาได้ให้การปฎิเสธ โดยบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นและไม่มีส่วนร่วมกับการก่อคดี ถัดจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนรัตน์กลับไปยังอำเภอพระประแดงเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 23 ธันวาคม[20] เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวของสมชายและเชิดชายมายืนยันว่านรัตน์ก่อเหตุข่มขืน เขาจึงยอมรับสารภาพว่าเป็นคนข่มขืนคนที่ 3[21][22] ส่วนเสน่ห์ก็ยังไม่ยอมรับสารภาพ และยังพูดว่า “ถึงจะเอาผมไปยิงเป้าก็ยอม แต่ผมไม่ยอมรับว่าไปกระทำจริง[23] ต่อมาในเวลา 16.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งทำสำนวนการสอบสวนจนเสร็จสิ้น เพื่อนำเสนอผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้นำเสนอคณะปฎิวัติพิจารณาต่อไป[24]

ในวันที่ 24 ธันวาคม พลตำรวจโทจำรัส มังคลารัตน์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ได้เดินทางมาดูสำนวนการสอบสวน และกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า”ผมจะประมวลสำนวนการสอบสวนทั้งหมดเสนอหัวหน้าคณะปฎิวัติพิจารณาโดยด่วน เพราะพฤติการณ์ของเหล่าฆาตกรเหี้ยมโหด และไม่เกรงกลัวต่อกฏหมาย เพื่อจะให้หัวหน้าคณะปฎิวัติสั่งการอย่างเฉียบขาดเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป.” [25]

ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 ตำรวจได้ปิดสำนวนคดี และส่งมอบสำนวนคดีให้คณะปฎิวัติพิจารณาโทษผู้ต้องหาทั้งหมดในสถานหนัก เพราะมีพฤติการณ์ทารุณโหดร้ายเย้ยหยันอำนาจคณะปฎิวัติ โดยมีรายงานว่าว่าขณะนี้ที่ปรึกษากฎหมายของหัวหน้าคณะปฎิวัติกำลังตรวจสอบสำนวน และฆาตกรอย่างเสน่ห์จะต้องถูกคำสั่งยิงเป้าแน่นอน[26]

การประหารชีวิต

[แก้]

ในช่วงบ่ายของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 จอมพลถนอม กิตติขจร ลงนามในคำสั่งให้ประหารชีวิตเสน่ห์ อ่อนแก้ว จำคุกสมชายไว้ตลอดชีวิต จำคุกนรัตน์ 25 ปี และจำคุกเชิดชัยไว้ 15 ปี[27] โดยเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นการโทรมเด็กหญิงวารีด้วยความโหดร้ายทารุณ และเจตนาฆ่าเพื่อปิดปาก เพราะเธออยู่หมู่บ้านเดียวกับผู้ต้องหา โดยเฉพาะเสน่ห์ เป็นลูกของผู้ใหญ่บ้านที่วารีและผู้ต้องหาคนอื่นอาศัยอยู่ นอกจากผู้ต้องหาได้กระทำผิดร้ายแรงโดยไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน ยังพบว่าเสน่ห์มีนิสัยชอบข่มเหงและฉุดผู้หญิงไปข่มขืนหลายราย นอกจากนี้เสน่ห์ยังบรรลุนิติภาวะและเคยบวชเรียน แต่ไม่สำนึกผิดในการกระทำของตนและไม่สารภาพผิด[28][29][30]

ในวันรุ่งขึ้น เวลา 04.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางไปยังเรือนจำจังหวัดสมุทรปราการเพื่อขอรับตัว สมชาย,เสน่ห์ และนรัตน์ไปยังเรือนจำกลางบางขวาง ส่วนเชิดชัยถูกนำตัวไปควบคุมที่สถานพินิจเยาวชนบางนา[31] เจ้าหน้าที่เรือนจำปลุกทั้ง 3 คนให้ตื่นและแจ้งว่าจะย้ายไปควบคุมตัวที่อื่น เมื่อทั้งสามเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากทั้งสามหน้าซีดและไม่พูดอะไร[32] ต่อมาเวลา 05.00 น. ตำรวจได้นำทั้งสามขึ้นรถจี๊บตราโล่ออกจากเรือนจำ และเดินทางไปถึงเรือนจำกลางบางขวางเมื่อเวลา 06.00 น.[33]

ผมไม่กลัว..ผมรู้สึกเฉยๆ..จะทำกันยังไงก็เป็นเรื่องของเขา

เสน่ห์ อ่อนแก้ว ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของพิมพ์ไทยก่อนการประหารชีวิต, 2515[34]

เมื่อรถเข้าสู่เรือนจำ เจ้าหน้าที่เรือนจำได้แยกสมชายกับนรัตน์ไปขังตามแดนของเรือนจำ ส่วนเสน่ห์ให้นั่งรอที่ฝ่ายควบคุมของเรือนจำ คณะกรรมการควบคุมการประหารชีวิตได้พิมพ์ลายนิ้วมือเขา แล้วพัศดีเรือนจำได้อ่านคำสั่งของหัวหน้าคณะปฎิวัติแล้วให้เซ็นทราบในคำสั่ง โดยเสน่ห์รับฟังคำสั่งอย่างปกติ เมื่อฟังคำสั่งไปได้สักพักหนึ่ง เขาเกิดอาการหงุดหงิด และตะโกนว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยต้องใช้เวลาพอสมควรถึงเขาจะยอมเซ็นรับทราบในคำสั่ง ถัดจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ถามเขาว่าจะทำพินัยกรรมหรือไม่ เขาได้ปฎิเสธที่จะทำ แต่ขอเขียนจดหมายถึงพ่อและฝากเงินกับเจ้าหน้าที่จำนวน 105 บาท

พี่ครับ...ขอทำใจให้สบาย มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดา ขอร้องอย่าเอาศพผมเผา ให้เก็บไว้สัก 3 ปี ผมขอลาทุกคน....

— เสน่ห์ อ่อนแก้ว, ใจความสุดท้ายของจดหมายที่เสน่ห์เขียนถึงพ่อ

เสน่ห์ได้เขียนฝากให้พ่อดูแลลูกกับเมีย ส่วนศพของเขาห้ามนำไปฝังเด็ดขาด ให้เก็บศพเขาไว้ 3 ปี และให้พ่อมาเยี่ยมนพรัตน์ลูกพี่ลูกน้องของเขา[35]

หลังจากเขียนจดหมายแล้วเจ้าหน้าที่ได้นำตัวเขาไปยังหอรักษาการ 7 ชั้น เพื่อฟังพระธรรมเทศนาจากพระมหาสาย ฐานมงคโล เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ แต่เขาขัดขืนไม่ยอมฟังเทศน์ เขาไม่ยอมนั่งกับพื้นและฮึดฮัดตลอดเวลา เขายังกล่าวว่า “กูไม่ฟังเทศน์ กูบวชเรียนมาแล้ว ไม่ต้องฟังเทศน์ก็ได้ เอากูไปยิงเลย..!” เมื่อเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงยกอาหารมื้อสุดท้าย เขาปฎิเสธที่จะรับประทาน ในเวลา 06.55 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำได้นำตัวเขาไปยังสถานที่หมดทุกข์โดยให้ขึ้นรถเข็น แต่เขาไม่ยอมขึ้นและขอเดินไปเอง แต่เขาเดินได้ไม่กี่ก้าวก็เข่าอ่อน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องประคองเดินไป[36] ระหว่างที่เจ้าหน้าที่นำตัวเขาไปยังสถานที่หมดทุกข์ เขาได้ตะโกนฝากนรัตน์กับผู้คุม[37]

เมื่อไปถึงศาลาเย็นใจ นายแพทย์สุจริตได้ขอร้องให้สละดวงตาให้กับสภากาชาดไทยเพื่อช่วยผู้พิการ แต่เขาไม่ยอมให้โดยกล่าวว่า “ของๆกู กูไม่ให้ กูไม่ให้ใครทั้งนั้น” ก่อนเข้าสู่ห้องประหารชีวิต เขาขอบุหรี่ แล้วสูบบุหรี่อัดควันอย่างแรง และเดินเร็วอย่างไม่สะทกสะท้านไปยังห้องประหารชีวิต เมื่อเดินได้กลางทางเจ้าหน้าที่บอกให้เขาทิ้งบุหรี่ เขาจึงหยุดสุบบุหรี่จนหมดมวน เมื่อเจ้าหน้าที่ผูกตาเสน่ห์แล้วพาเข้าสู่ห้องประหาร เขาได้โยนดอกไม้ธูปเทียนทิ้งและไม่ยอมถือดอกไม้ธูปเทียน[38] เจ้าหน้าที่ได้นำเสน่ห์มัดกับหลักประหาร แล้วนำดอกไม้ธูปเทียนยัดใส่มือหลังจากมัดให้พนมมือ เขาได้สาบแช่งและด่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดเวลา ในเวลา 07.11 น. มุ่ย จุ้ยเจริญ เพชฌฆาตได้เหนี่ยวไกปืนจำนวน 6 นัด เขายังไม่ตายและส่งเสียงครอกๆ กับเรอ 3 ครั้ง โดยใช้เวลา 6 นาทีถึงเขาจะเสียชีวิต [39][40]

หลังจากการประหารชีวิต

[แก้]

หลังจากการประหารชีวิตนางสอาด เพ็งแจ่มศรี อายุ 19 ปี ภรรยาของเสน่ห์ได้ติดต่อขอรับศพจากเรือนจำ เจ้าหน้าที่ได้มอบจดหมายที่เสน่ห์เขียนไว้ กับเงินจำนวน 105 บาท แต่เธอรับแค่จดหมาย ส่วนเงินได้มอบให้เรือนจำ ถัดจากนั้นเธอได้ไปติดต่อเทศบาลนครนนทบุรี เพื่อขอใบมรณบัตรและขนย้ายศพเสน่ห์ ในเวลา 13.00 น. เธอพร้อมกับญาติได้นำศพขึ้นรถยนต์ไปยังวัดครุใน เธอกล่าวว่าพ่อแม่ของเสน่ห์ไม่มารับศพเพราะเกิดอาการช็อกหลังทราบข่าวการประหารชีวิต[41]

นายมุ่ย จุ้ยเจริญ เพชฌฆาต ได้กล่าวถึงการประหารเสน่ห์ว่า “ในระยะ 7 ปี เคยประหารนักโทษมานับร้อยราย แต่ยังไม่เคยพบคนใจดำหมิตและเหี้ยมอย่างนี้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นมหาโจรปล้นฆ่านับสิบศพ พอพบพระก็ไหว้พระฟังเทศน์ บางคนถึงกับเข่าอ่อนเมื่อได้ฟังคำสั่งประหารต้องเอานั่งรถเข็นเข้าสู่หลักประหาร แต่รายนี้เหี้ยมน่าดู” [42][43]

ดูเพิ่มเติม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "ให้ประหารชีวิตคนเดียว ส่วนอีกสามคนถูกจำคุก". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 10 February 1972. p. 16.
  2. "มหาดไทยยิงเป้านักข่มขืนตามคำสั่งคณะปฎิวัติ". หนังสือพิมพ์ไทยเดลี่. 11 February 1972. p. 3,14.
  3. "ให้ประหารชีวิตคนเดียว ส่วนอีกสามคนถูกจำคุก". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 10 February 1972. p. 16.
  4. "เพชฌฆาตเผย". หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ. 11 February 1972. p. 16.
  5. "ยิงด้วย "แบล๊คมันน์-นักโทษไม่ยอมฟังเทศน์ ไม่ยอมอุทิศดวงตา.ท้าทายให้ยิงเลย"". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 11 February 1972. p. 16.
  6. "กำชับจับฆาตกรที่หลบหนี ทำสำนวนเสนอคณะปฎิวัติ". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 25 December 1971. p. 2.
  7. "เสนอ หน. ปว. ลงโทษฆาตกรข่มขืนหนูน้อย 12 ขวบ – หักคอ". หนังสือพิมพ์ไทยเดลี่. 25 December 1971. p. 16.
  8. "ยิงเป้า". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 10 February 1972. p. 16.
  9. "สารภาพร่วมกับเพื่อน 6 คน ขืนใจแล้วฆ่า". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์. 23 December 1971. p. 16.
  10. "ฆาตกรรมโหด". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 21 December 1971. p. 16.
  11. "เผยสมคบกับเพื่อนผลัดกันขืนใจทารุณ". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 24 December 1971. p. 16.
  12. "สารภาพร่วมกับเพื่อนก่อเหตุถึง 9 คน ตีจนคอหักหมุนได้รอบ". หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ. 23 December 1971. p. 16.
  13. "ฆาตกรขืนใจ". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 23 December 1971. p. 16.
  14. "คลายคดีฆ่า-ข่มขืน". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 22 December 1971. p. 16.
  15. "ให้ประหารชีวิตคนเดียว ส่วนอีกสามคนถูกจำคุก". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 10 February 1972. p. 16.
  16. "จับฆาตกรขืนใจ". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 23 December 1971. p. 2.
  17. "สารภาพลงมือคนที่ 3". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์. 25 December 1971. p. 2.
  18. "3 ทรชนวัยรุ่น". หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ. 23 December 1971. p. 16.
  19. "สารภาพร่วมกับเพื่อน 6 คน ขืนใจแล้วฆ่า". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์. 23 December 1971. p. 16.
  20. "เผยสมคบกับเพื่อนผลัดกันขืนใจทารุณ". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 24 December 1971. p. 16.
  21. "รับสารภาพ ร่วมข่มขืน". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับหลัง. 24 December 1971. p. 16.
  22. "ตามจับ". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์. 25 December 1971. p. 16.
  23. "เร่งจับฆาตกร". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 25 December 1971. p. 16.
  24. "กำชับฆาตกรที่หลบหนีทำสำนวนเสนอคณะปฎิวัติ". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 25 December 1971. p. 2.
  25. "เสนอ หน. ปว. ลงโทษฆาตกรข่มขืนหนูน้อย 12 ขวบ – หักคอ". หนังสือพิมพ์ไทยเดลี่. 25 December 1971. p. 16.
  26. "เสนอคณะปฎิวัติ". หนังสือพิมพ์ไทยเดลี่. 3 February 1972. p. 16.
  27. "สมุนก็โดนหนัก ตลอดชีวิต-๒๕ ปี-๑๕ปี พฤติการณ์ร้ายกาจ". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 9 February 1972. p. 16.
  28. "สั่งประหารชีวิต". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์. 9 February 1972. p. 2,16.
  29. "ให้ประหารชีวิตคนเดียว ส่วนอีกสามคนถูกจำคุก". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 10 February 1972. p. 16.
  30. "ประหารในคุกบางขวางเช้าวันนี้ คนสมคบถูกตลอดชีวิต-25ปี-15ปี". หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ. 9 February 1972. p. 16.
  31. "ยิงด้วย "แบล๊คมันน์-นักโทษไม่ยอมฟังเทศน์ ไม่ยอมอุทิศดวงตา.ท้าทายให้ยิงเลย"". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 11 February 1972. p. 16.
  32. "พ่อฆาตกรรู้ลูกถูกยิงเป้า ถึงเป็นลมหมดสติ..!". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 10 February 1972. p. 3.
  33. "ยิงเป้า". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับหลัง. 10 February 1972. p. 16.
  34. "พ่อฆาตกรรู้ลูกถูกยิงเป้า ถึงเป็นลมหมดสติ..!". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 10 February 1972. p. 3.
  35. "ยิงเป้า". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 10 February 1972. p. 16.
  36. "ยิงด้วย "แบล๊คมันน์-นักโทษไม่ยอมฟังเทศน์ ไม่ยอมอุทิศดวงตา.ท้าทายให้ยิงเลย"". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 11 February 1972. p. 16.
  37. "เพชฌฆาตเผย". หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ. 11 February 1972. p. 16.
  38. "ยิงเป้า". หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย. 10 February 1972. p. 16.
  39. "ยิงด้วย "แบล๊คมันน์-นักโทษไม่ยอมฟังเทศน์ ไม่ยอมอุทิศดวงตา.ท้าทายให้ยิงเลย"". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 11 February 1972. p. 16.
  40. "เพชฌฆาตเผย". หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ. 11 February 1972. p. 16.
  41. "ยิงเป้า". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับหลัง. 10 February 1972. p. 16.
  42. "ยิงด้วย "แบล๊คมันน์-นักโทษไม่ยอมฟังเทศน์ ไม่ยอมอุทิศดวงตา.ท้าทายให้ยิงเลย"". หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับสอง. 11 February 1972. p. 16.
  43. "เพชฌฆาตเผย". หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ. 11 February 1972. p. 16.
ก่อนหน้า
วินัย โพธิ์ภิรมย์
17 ธันวาคม 2514
บุคคลที่ถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในประเทศไทย
เสน่ห์ อ่อนแก้ว
9 กุมภาพันธ์ 2515
ถัดไป
ปิยะ อำพันปอง และซ้งหลี แซ่ตั้ง
9 เมษายน 2515