เซาตูแมอีปริงซีปของโปรตุเกส
จังหวัดโพ้นทะเลเซาตูแมอีปริงซีป Província Ultramarina de São Tomé e Príncipe | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ. 1485–ค.ศ. 1975 | |||||||
เพลงชาติ: "อูอีนูปราเตียติโก" (ค.ศ. 1808–26) เพลงของผู้รักชาติ "อูอีนูดาการ์ตา" (ค.ศ. 1826–1911) เพลงสรรเสริญรัฐธรรมนูญ "อาปูร์ตูเกซา" (ค.ศ. 1911–75) เพลงแห่งชาวโปรตุเกส | |||||||
สถานะ | อาณานิคมของจักรวรรดิโปรตุเกส (ค.ศ. 1485-1951) จังหวัดโพ้นทะเลของจักรวรรดิโปรตุเกส (ค.ศ. 1951-1975) | ||||||
เมืองหลวง | เซาตูแม | ||||||
ภาษาทั่วไป | โปรตุเกส | ||||||
ประมุขแห่งรัฐ | |||||||
• ค.ศ. 1470-1481 | พระเจ้าอาฟงซูที่ 5 | ||||||
• ค.ศ. 1974–75 | ฟรานซิสโก ดา คอสต้า โกเมซ | ||||||
ผู้ว่าการ | |||||||
• ค.ศ. 1485-1490 (คนแรก) | ณูเอา เด ไพวา | ||||||
• ค.ศ. 1974–75 (คนสุดท้าย) | อังตอนียู เอลีซโซ คาเปโล พีซ เวโลโซ | ||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | จักรวรรดินิยม | ||||||
• ก่อตั้ง | ค.ศ. 1485 | ||||||
• การสิ้นสุดของจักรวรรดิโปรตุเกส | 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 | ||||||
สกุลเงิน | เอสคูโดเซาตูแมอีปริงซีป | ||||||
| |||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | เซาตูแมอีปริงซีป |
หมู่เกาะเซาตูแมอีปริงซีป ตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิโปรตุเกส นับตั้งแต่ถูกค้นพบใน ค.ศ. 1470 จนกระทั่งมีการมอบเอกราชให้ใน ค.ศ. 1975
ประวัติศาสตร์
[แก้]หมู่เกาะเซาตูแมอีปริงซีปถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวโปรตุเกส ณูเอา เด ซังตาไร และเปโร เอสโกบาร์ ในราว ๆ ค.ศ. 1470[1] ซึ่งพวกเขาพบว่าหมู่เกาะดังกล่าวไม่มีผู้อยู่อาศัย[2] เกาะเซาตูแมได้รับการตั้งชื่อตามนักบุญโธมัสอัครทูต เนื่องจากชาวโปรตุเกสค้นพบเกาะดังกล่าวในวันฉลองของนักบุญองค์นี้ ในขณะที่เกาะปริงซีป (แปลว่า เกาะเจ้าชาย) เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อถวายพระเกียรติแด่เจ้าชายอาฟงซูแห่งโปรตุเกส พระราชโอรสพระองค์โปรดในพระเจ้าฌูเอาที่ 2[1]
มีความพยายามก่อตั้งนิคมขึ้นบนหมู่เกาะเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1485 หลังจากราชสำนักโปรตุเกสยกเกาะเซาตูแมให้กับณูเอา เด ไพวา กระนั้น ความพยายามดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเหล่าผู้ตั้งถิ่นฐานไม่สามารถผลิตอาหารในสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศอันเป็นเอกเอกลักษณ์ของหมู่เกาะนี้ อีกทั้งยังเป็นเพราะโรคภัยเขตร้อนที่แพร่ระบาดในหมู่ผู้ตั้งถิ่นฐานด้วย[1] การตั้งถิ่นฐานมาประสบผลสำเร็จใน ค.ศ. 1493 เมื่อพระเจ้าฌูเอาที่ 2 แห่งโปรตุเกส ทรงแต่งตั้งอัลวาโร คามินฮา เป็นผู้ว่าการชั่วคราวของเกาะเซาตูแม[1] ผู้ตั้งถิ่นฐานชุดแรกโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นอาชญากรและผู้เป็นกำพร้า รวมถึงยังมีเด็ก ๆ ชาวยิวที่ถูกพรากจากพ่อแม่เพื่อนำมาเข้ารีตเป็นคริสตชนอยู่จำนวนหนึ่งด้วย[3]การตั้งถิ่นฐานบนเกาะปริงซีปตามมาภายหลังใน ค.ศ. 1500[1]
ในช่วงหลายปีให้หลัง ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวโปรตุเกสเรื่มนำเข้าทาสจำนวนมากจากภาคพื้นทวีปแอฟริกา เพื่อนำมาใช้เป็นแรงงานเพาะปลูกอ้อยซึ่งเป็นสินค้ามีราคาในสมัยนั้น บนพื้นดินที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุภูเขาไฟของเซาตูแม เมื่อถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เซาตูแมก็สร้างความมั่งคั่งให้กับโปรตุเกสเป็นอย่างมาก เมื่อโปรตุเกสกลายมาเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลก[4]
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 การแข่งขันด้านไร่น้ำตาลกับอาณานิคมบราซิล และการกบฎของทาสที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งบนเกาะ เริ่มส่งผลกระทบต่อการเพาะปลูกอ้อยอย่างช้า ๆ[1] ซึ่งส่งผลให้การผลิตน้ำตาลลดลงและทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นหันไปพึ่งพาการค้าทาสแทน[2] ซึ่งส่วนใหญ่แล้วถูกควบคุมโดยประชากรเชื้อสาย เมสติโซ ในท้องถิ่น[4] ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของหมู่เกาะนี้ยังทำให้มันกลายเป็นสถานีการค้าสำคัญในเส้นทางการค้าทาสทรานแอตแลนติก[5] โดยหมู่เกาะเซาตูแมอีปริงซีปทำหน้าที่เป็นจุดรวมตัวของเหล่าทาสที่นำมาจากอ่าวกินีและราชอาณาจักรคองโก เพื่อนำไปยังจุดหมายปลายทางในทวีปอเมริกา[4]
เกาะเซาตูแมถูกสาธารณรัฐดัตช์ เข้ายึดครองระหว่าง ค.ศ. 1641 ถึง ค.ศ. 1648 ก่อนที่โปรตุเกสจะกลับเข้ามาปกครองอีกครั้ง[5] กระนั้นเกาะปริงซีปก็ไม่ได้ถูกฝ่ายดัชต์ยึดครองไปด้วยแต่อย่างใด[5]
เนื่องจากเมืองหลวงของอาณานิคมถูกพวกโจรสลัดและคอร์แซร์โจมตี จึงมีการย้ายเมืองหลวงไปยังซังตูอังตอนีอูซึ่งตั้งอยู่บนเกาะปริงซีป ใน ค.ศ. 1753 และหมู่เกาะทั้งสองก็เริ่มถูกปกครองเป็นอาณานิคมเดียวกัน และมีการแต่งตั้งผู้ว่าการเพียงแค่คนเดียว[4] ภายหลังเมืองหลวงของอาณานิคมได้ย้ายกลับไปยังเกาะเซาตูแมดังเดิมใน ค.ศ. 1852[6]
เมื่อถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวโปรตุเกสได้นำเอากาแฟและโกโก้ มาเพาะปลูกในไร่ขนาดใหญ่เรียกว่า โฮชัช (Roças) ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก การผลิตกาแฟยุติลงในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และโกโก้กลายมาเป็นสินค้าหลักของหมู่เกาะแทน จากนั้นเซาตูแมอีปริงซีปจึงกลายมาเป็นผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่อยู่หลายชั่วอายุคน และในช่วงแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 เซาตูแมอีปริงซีปก็ถือเป็นผู้ผลิตโกโก้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกในช่วงเวลานั้น[2]
ใน ค.ศ. 1972 ขบวนการปลดปล่อยเซาตูแมอีปริงซีป พรรคการเมืองชาตินิยม แนวคิดลัทธิมากซ์ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยผู้พลัดถิ่นในอิเควทอเรียลกินี โดยมีจุดประสงค์เพื่อสถาปนาเซาตูแมอีปริงซีปเป็นประเทศเอกราช หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติคาร์เนชัน ใน ค.ศ. 1974 ซึ่งยุติระบอบเผด็จการอึชตาดูโนวูในโปรตุเกส รัฐบาลใหม่ของโปรตุเกสได้ริเริ่มกระบวนการปล่อยอาณานิคมในทวีปแอฟริกาให้เป็นอิสระ และมอบเอกราชให้เซาตูแมอีปริงซีป ในวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1975[5]
ระเบียงภาพ
[แก้]-
ขบวบรถไฟของไร่เพาะปลูก ค.ศ. 1910
-
ถนนในเซาตูแม ถ่ายใน ค.ศ. 1941-1942
-
เซาตูแม ค.ศ. 1941-1942
-
ตลาดในเซาตูแม ค.ศ. 1941-1942
-
วิลลาตรินิแดด (Vila Trindade) ค.ศ. 1941-1942
-
ทิวทัศน์ของเซาตูแม
สถาปัตยกรรมสมัยอาณานิคม
[แก้]-
ป้อมเซาเซบาสเตียว (Fort São Sebastião)
-
ศาลสูงสุดของเซาตูแม
-
ทำเนียบประธานาธิบดี
-
อาคารที่อยู่อาศัย
-
โรงเรียนมัธยมศึกษา
-
บ้านไร่ (Plantation house) ในเมืองเซาณูเอาดอสแองโกลาเรส (São João dos Angolares)
-
อาสนวิหารเซาตูแม
-
อาคาร สถานเมตตา (Misericórdia) เก่า
เงินตรา
[แก้]-
เหรียญกษาปณ์ปี 1970 มูลค่า 50 เอสคูโดจากเซาตูแม
ดูเพิ่ม
[แก้]รายการอ้างอิง
[แก้]บรรณานุกรม
[แก้]- Jack P. Greene, Philip D. Morgan, Atlantic History: A Critical Appraisal (2008) ISBN 9780199886432
- Richard M. Juang, Noelle Morrissette, Africa and the Americas: Culture, Politics, and History (2008) ISBN 9781851094417
- Louis E. Grivetti, Howard-Yana Shapiro, Chocolate: History, Culture, and Heritage (2011) ISBN 9781118210222
- Albertino Francisco, Nujoma Agostinho, Exorcising Devils from the Throne: São Tomé and Príncipe in the Chaos of Democratization (2011) ISBN 9780875868486
- Amy McKenna, The History of Central and Eastern Africa (2011) ISBN 9781615303229