ข้ามไปเนื้อหา

เจ้าชายเฟลิกซ์แห่งบูร์บง-ปาร์มา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจ้าชายเฟลิกซ์แห่งบูร์บง-ปาร์มา
เจ้าชายพระสวามีแห่งลักเซมเบิร์ก
ดำรงพระยศ6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1919 – 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1964
ก่อนหน้า มารี เเอนน์ (แกรนด์ดัชเชส)
ถัดไป โฌเซฟีน-ชาร์ล็อต (แกรนด์ดัชเชส)
ประสูติ28 ตุลาคม ค.ศ. 1893(1893-10-28)
Schwarzau am Steinfeld, ประเทศออสเตรีย
สิ้นพระชนม์8 เมษายน ค.ศ. 1970(1970-04-08) (76 ปี)
Fischbach Castle, ประเทศลักเซมเบิร์ก
คู่อภิเษกแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อตแห่งลักเซมเบิร์ก
พระราชบุตรแกรนด์ดยุกฌ็องแห่งลักเซมเบิร์ก
เจ้าหญิงเอลีซาแบ็ต ดัชเชสแห่งโฮเอินแบร์ค
เจ้าหญิงมารี อาเดลาอีดแห่งลักเซมเบิร์ก
เจ้าหญิงมารี กาบรีแยล เคาน์เตสแห่งฮ็อลชไตน์-เลเดอร์บอร์ก
เจ้าชายชาร์ลแห่งลักเซมเบิร์ก
เจ้าหญิงอาลิกซ์ เจ้าหญิงแห่งลีญ
ราชวงศ์บูร์บง-ปาร์มา
พระบิดาโรเบิร์ตที่ 1 ดยุคแห่งปาร์มา
พระมารดาอิงฟังตามารีอา อังตอนีอาแห่งโปรตุเกส

เจ้าชายเฟลิกซ์แห่งบูร์บง-ปาร์มา หรือ เจ้าชายเฟลิกซ์แห่งลักเซมเบิร์ก (28 ตุลาคม ค.ศ. 1893 - 8 เมษายน ค.ศ. 1970) เป็นพระสวามีในแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อตแห่งลักเซมเบิร์ก และเป็นพระบิดาของพระโอรส-ธิดา 6 พระองค์ รวมทั้งแกรนด์ดยุกฌ็องแห่งลักเซมเบิร์ก พระองค์ทรงเป็นคู่อภิเษกสมรสที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดของลักเซมเบิร์ก

พระประวัติ

[แก้]

เจ้าชายเฟลิกซ์ประสูติเมื่อ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1893 เป็นพระโอรสของโรเบิร์ตที่ 1 ดยุคแห่งปาร์มาและอินฟานตามารีอา อันโตนีอาแห่งโปรตุเกส ทรงอภิเษกสมรสกับแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อตแห่งลักเซมเบิร์ก มีพระโอรส-ธิดา 6 พระองค์ คือ

พระเกียรติยศ

[แก้]

พระอิสริยยศ

[แก้]
  • 28 ตุลาคม ค.ศ. 1893 - 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1919: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายเฟลิกซ์แห่งบูร์บง-ปาร์มา
  • 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1919 - 8 เมษายน ค.ศ. 1970: ฮิสรอยัลไฮเนส เจ้าชายเฟลิกซ์แห่งบูร์บง-ปาร์มาและลักเซมเบิร์ก

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

[แก้]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ลักเซมเบิร์ก

[แก้]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. http://www.angelfire.com/vt/luxenthronement/part1.html
  2. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-06. สืบค้นเมื่อ 2015-02-08.
  3. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เก็บถาวร 2015-04-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม ๘๒, ตอน ๑๑๓ ง, ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๘, หน้า ๓๒๖๓