เกาะแคโรไลน์
ภาพถ่ายทางอากาศของนาซาแสดงส่วนประกอบของเกาะแคโรไลน์ ทิศเหนืออยู่ทางขวามือบนของภาพเกาะเล็กใหญ่สุด 2 เกาะ คือ เนกไอลิต (บน) และเซาท์ไอลิต (ล่าง) | |
ภูมิศาสตร์ | |
---|---|
ที่ตั้ง | มหาสมุทรแปซิฟิก |
พิกัด | 09°57′18″S 150°12′45″W / 9.95500°S 150.21250°W |
กลุ่มเกาะ | หมู่เกาะไลน์ |
เกาะทั้งหมด | ประมาณ 39 เกาะเล็กเกาะน้อย |
พื้นที่ | 699 เฮกตาร์ (1,730 เอเคอร์) |
ระดับสูงสุด | 6 ม. (20 ฟุต) |
การปกครอง | |
ประชากรศาสตร์ | |
ประชากร | ไม่มีใครอยู่ |
เกาะแคโรไลน์ (อังกฤษ: Caroline Island) หรือ แคโรไลน์อะทอลล์ (อังกฤษ: Caroline Atoll) บ้างเรียก เกาะมิลเลนเนียม (อังกฤษ: Millennium Island) และ เกาะเบสซีซา (อังกฤษ: Beccisa Island) เป็นเกาะปะการังวงแหวนไร้คนอาศัยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะไลน์ใต้ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง
ชาวยุโรปพบเกาะนี้ครั้งแรกเมื่อประมาณ ค.ศ. 1606 ใน ค.ศ. 1868 สหราชอาณาจักรอ้างสิทธิเหนือเกาะ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศคิริบาสหลังได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1979 เกาะแคโรไลน์แทบไม่มีคนบุกรุก และถือเป็นเกาะเขตร้อนในสภาพดั้งเดิมมากที่สุดเกาะหนึ่ง แม้มีการทำปุ๋ยขี้นก การเก็บเกี่ยวลูกมะพร้าวแห้งและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 เกาะนี้เป็นถิ่นอาศัยของปูมะพร้าวใหญ่สุดแห่งหนึ่งของโลกและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกทะเลโดยเฉพาะนกจำพวกนกนางนวลแกลบดำที่สำคัญอีกด้วย
ปัจจุบันเกาะนี้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า[1] เมื่อ ค.ศ. 2014 รัฐบาลคิริบาสจัดตั้งเขตห้ามทำประมง 12 ไมล์ทะเลรอบหมู่เกาะไลน์ใต้[2]
เกาะนี้ขึ้นชื่อจากบทบาทในการเฉลิมฉลองสหัสวรรษ หลังมีการปรับเปลี่ยนเส้นแบ่งเขตวันสากลใน ค.ศ. 1994 ทำให้เกาะแคโรไลน์เป็นหนึ่งในจุดแรก ๆ บนโลกที่ย่างเข้าวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 ในปฏิทิน
ภูมิศาสตร์และภูมิอากาศ
[แก้]เกาะแคโรไลน์ตั้งอยู่ใกล้ปลายทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่เกาะไลน์ ทอดข้ามเส้นศูนย์สูตรอยู่ทางใต้ห่างจากหมู่เกาะฮาวาย 1,500 กม. ในมหาสมุทรแปซิฟิกกลาง เป็นเกาะที่เกิดจากการทับถมของทรายและหินปูนบนแนวปะการัง เกาะมีรูปจันทร์เสี้ยวเล็กน้อย มีพื้นที่ 3.76 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะเล็ก 39 เกาะล้อมรอบลากูนแคบ ๆ ขนาด 8.7 × 1.2 กิโลเมตร หรือมีพื้นที่ 6.3 ตารางกิโลเมตร อะทอลล์มีขนาดซึ่งนับรวมแผ่นดิน ลากูนและปะการังแนวราบมีขนาดทั้งสิ้น 13 × 2.5 กิโลเมตร หรือพื้นที่ 24 ตารางกิโลเมตร เกาะเล็กมีความสูงเพียง 6 เมตรจากระดับน้ำทะเล ตามวิถีของเส้นแบ่งเขตวันสากล เกาะแคโรไลน์เป็นจุดตะวันออกสุดบนโลก
เกาะแคโรไลน์ประกอบด้วยเกาะเล็กขนาดใหญ่ 3 เกาะ ประกอบด้วย เนกไอลิต พื้นที่ 1.04 ตารางกิโลเมตรอยู่ทางตอนเหนือ, ลองไอลิต พื้นที่ 0.76 ตารางกิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงเหนือของลากูน และเซาท์ไอลิต พื้นที่ 1.07 ตารางกิโลเมตรทางตอนใต้[3] ส่วนเกาะเล็กขนาดเล็กอื่นที่เหลือส่วนใหญ่ได้ชื่อระหว่างการสำรวจระบบนิเวศของแอนจิลาและแคเมอรอน เคปเลอร์ ใน ค.ศ. 1988 แบ่งเป็นกลุ่มเกาะหลักสี่กลุ่มคือ เซาท์เนกไอลิตส์, เซ็นทรัลลีเวิร์ดไอลิตส์, เซาเทิร์นลีเวิร์ดไอลิตส์ และวินด์เวิร์ดไอลิตส์ (ดูแผนที่ประกอบ) กลุ่มเกาะของแคโรไลน์มีอายุสั้นตลอดช่วงการสังเกตหนึ่งศตวรรษ มีบันทึกว่าเกาะเล็กสุดหลายเกาะปรากฏหรือหายไปทั้งหมดหลังพายุใหญ่ ส่วนรูปร่างของเกาะเล็กขนาดใหญ่ก็เปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ[3][4]
ลากูนศูนย์กลางมีขนาดประมาณ 6 × 0.5 กิโลเมตร เป็นลากูนตื้นลึกสุดประมาณ 5–7 เมตร มีแนวปะการังและกลุ่มปะการังบนพื้นทรายแคบ ๆ ข้ามไปมา ปะการังแนวราบปกติขยายไปประมาณ 500 เมตร จากฝั่ง แม้บางแหล่งรายงานว่าขยายไปกว่าหนึ่งกิโลเมตรจากฝั่ง ทำให้การจอดเรือมีอันตรายยกเว้นเมื่อน้ำขึ้น [3] ไม่มีที่ขึ้นฝั่งธรรมชาติ ที่ทอดสมอหรือช่องน้ำลึกเข้าสู่ลากูนศูนย์กลาง น้ำซึ่งล้นเข้าสู่ลากูนจากช่องตื้นเมื่อน้ำขึ้นขังอยู่ในปะการังโดยรอบและยังเสถียรอยู่แม้มีน้ำขึ้นลงมหาสมุทร ปกติขึ้นฝั่งส่วนมากที่รอยแยกเล็ก ๆ ในปะการัง ณ มุมตะวันออกเฉียงเหนือของเซาท์ไอลิต[4]
ในบางส่วนของลากูนมีความหนาแน่นของหอยมือเสือยักษ์มากถึงสี่ตัวต่อตารางฟุต[2] ชนิดที่พบบ่อยสุด คือ หอยมือเสือแม็กซิมา (Tridacna maxima) และหอยมือเสือยักษ์ (Tridacna gigas)[2] นอกจากนี้ลากูนยังเป็นถิ่นอาศัยอนุบาลของปลาหลายชนิดรวมทั้งชนิดที่สำคัญและถูกจับอย่างหนัก เช่น ปลาฉลามครีบดำ (Carcharhinus melanopterus) ปลานโปเลียน (Cheilinus undulatus) ที่ใกล้สูญพันธุ์[5]
เกาะแคโรไลน์ไม่มีแหล่งน้ำจืดนิ่งแต่เนกไอลิตและเซาท์ไอลิตนั้นมีชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดินอยู่ และมีการสร้างบ่อน้ำเพื่อเจาะเอาน้ำดื่มสำหรับนิคมชั่วคราว[6] ดินบนเกาะเลวพอ ๆ กัน ลักษณะเป็นกรวดปะการังและทรายเป็นหลัก โดยมีองค์ประกอบอินทรีย์ที่สำคัญอยู่เฉพาะศูนย์กลางของเกาะที่มีสภาพเป็นป่าเสถียรเท่านั้น การทับถมของปุ๋ยขี้นกทำให้บริเวณที่มีปุ๋ยนี้อุดมด้วยไนโตรเจน แต่แม้ในบริเวณที่มีอายุมากสุดและมีพืชพรรณมากที่สุดของเกาะ ดินก็ยังหนาไม่กี่เซนติเมตร[4]
เกาะแคโรไลน์มีลักษณะอากาศแบบทะเลเขตร้อน ซึ่งมีลักษณะร้อนชื้นตลอดปี บันทึกทางอุตุนิยมวิทยามีน้อย แต่ปกติอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 28 ถึง 32 องศาเซลเซียส ตลอดปี[7] อยู่ในบริเวณที่มีหยาดน้ำฟ้าผกผันมาก แต่ประมาณว่ามีปริมาณฝนเฉลี่ย 1,500 มม. ต่อปี น้ำขึ้นลงอยู่ในลำดับที่ 0.5 เมตร และลมค้าซึ่งปกติพัดมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หมายความว่า มุมเกาะมีคลื่นลมแรงสุด[4]
เกาะแห่งนี้เป็นหนึ่งในเกาะที่ห่างไกลที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก[8] อยู่ห่างจากเกาะฟลินต์ (Flint Island) เกาะใกล้สุด 230 กม. อยู่ห่างจากนิคมถาวรใกล้สุดบนคิริสมาสประมาณ 1,500 กิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงตาราวา เมืองหลวงของประเทศคิริบาส ประมาณ 4,200 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากชายฝั่งทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปใกล้สุด ประมาณ 5,100 กิโลเมตร
สัตว์และพืช
[แก้]แม้มนุษย์มีผลกระทบเป็นครั้งคราวต่อเกาะแคโรไลน์เป็นเวลากว่าสามศตวรรษ แต่เกาะนี้ยังถือเป็นเกาะเขตร้อนสภาพใกล้เคียงดั้งเดิมหนึ่งในไม่กี่แห่งที่ยังเหลืออยู่[4] และยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นเกาะปะการังรูปวงแหวนแปซิฟิกที่บริสุทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่ง[9] สภาพแทบไม่ถูกรบกวนของเกาะทำให้เกาะแคโรไลน์ได้รับกำหนดให้เป็นแหล่งมรดกโลกและเขตสงวนชีวมณฑล มีการสำรวจนิเวศวิทยาบันทึกสัตว์และพืชของเกาะเป็นระยะในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้แก่ โครงการสำรวจชีววิทยามหาสมุทรแปซิฟิกเยี่ยมเกาะใน ค.ศ. 1965 การสำรวจเกาะไลน์ ค.ศ. 1974 หน่วยอนุรักษ์สัตว์ป่าของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติใน ค.ศ. 1988 และ ค.ศ. 1991[10]
เกาะแคโรไลน์มีพืชพรรณหนาแน่น เกาะเล็ก ๆ ส่วนมากมีเขตพืชพรรณวงแหวนสามวง ได้แก่ เขตนอกพรมพืชล้มลุก ซึ่งประกอบด้วย Heliotropium anomalum เป็นหลัก เขตในกว่าเป็นไม้พุ่ม ซึ่งมีงวงช้างทะเล (Heliotropium foertherianum) เป็นหลัก และบริเวณป่าใจกลางมักซึ่งมีไม้ต้น Pisonia grandis มากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการนำต้นมะพร้าวและมีอยู่ปริมาณค่อนข้างมากในเกาะเล็กขนาดใหญ่ ๆ แบบรูปพรรณพืชนี้เป็นเหมือนกันในเกาะเล็กขนาดใหญ่ ๆ ส่วนเกาะเล็กขนาดเล็กไม่มีป่าใจกลางและเกาะเล็กสุดจะมีเฉพาะไม้ล้มลุกเตี้ยเท่านั้น[4] พืชที่พบมากอื่น เช่น Suriana maritima และยอ (Morinda citrifolia)[11]
เกาะแคโรไลน์เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของนกทะเลหลายชนิด สำคัญที่สุดคือ นกนางนวลแกลบดำ (Onychoprion fuscata) ซึ่งมีจำนวนประมาณ 500,000 ตัว โดยพบมากบนเกาะเล็กฝั่งตะวันออก และนกโจรสลัดใหญ่ (Fregata minor) ซึ่งมีจำนวนประมาณ 10,000 ตัว เกาะแคโรไลน์และเกาะฟลินต์ที่อยู่ใกล้เคียงเป็นถิ่นอาศัยของปูมะพร้าว (Birgus latro) ใหญ่สุดแห่งหนึ่งในโลก[3] นอกจากนี้ สัตว์เฉพาะถิ่นอื่นมีหอยมือเสือซึ่งพบมากบริเวณลากูนศูนย์กลาง เต่าตนุ ปูเสฉวน และกิ้งก่าอีกหลายชนิด[11]
เต่าตนุ (Chelonia mydas) ซึ่งเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ทำรังบนหาดเกาะแคโรไลน์ แต่มีรายงานผู้ตั้งถิ่นฐานล่าสุดบุกรุกเข้าไปล่าสัตว์[11] นกชนิด Numenius tahitiensis ซึ่งอพยพมาจากอะแลสกาก็จัดเป็นสายพันธุ์เสี่ยงอีกด้วย
เกาะแห่งนี้มีพืชต่างถิ่นกว่า 20 ชนิดที่มนุษย์นำเข้ามา เช่น เถาเลื้อยอย่างเช่นผักบุ้งทะเลซึ่งเริ่มแพร่พันธุ์ มนุษย์นำแมวและหมาเลี้ยงร่วมกับผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนหนึ่งได้ขับประชากรนกทะเลออกจากเกาะเล็กโมนูอะตา-อะตา
ประวัติศาสตร์
[แก้]ก่อนประวัติศาสตร์
[แก้]เชื่อว่าเกาะแคโรไลน์กำเนิดจากจุดร้อนภูเขาไฟที่ถูกกัดกร่อนและกลายเป็นที่อยู่ของแนวปะการังและค่อย ๆ เติบโตขึ้นเหนือผิวมหาสมุทร แม้ยังเข้าใจกระบวนการทางธรณีวิทยานี้เพียงเล็กน้อย แต่การวางตัวของหมู่เกาะไลน์ (ประมาณจากเหนือไปใต้) แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเกาะเหล่านี้น่าจะกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 40 ล้านปีมาแล้ว ก่อนที่แผ่นแปซิฟิกจะเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนตัว และจุดร้อนเดียวกันนี้ยังก่อให้เกิดกลุ่มเกาะตูอาโมตูอีกด้วย[12]
มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของชาวพอลินีเชียบนเกาะเล็กใหญ่ ๆ ก่อนมีการติดต่อกับชาวยุโรป[4] คณะสำรวจเกาะนี้ยุคแรก ๆ ค้นพบสุสานและลานแผ่นแบบและมีมาราเอ (marae) ซึ่งเป็นลานชุมชนและลานศักดิ์สิทธิ์ บนฝั่งตะวันตกของเนกไอลิต ตราบจนปัจจุบัน นักโบราณคดียังไม่ได้สำรวจสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้
การพบและบันทึกแรก ๆ
[แก้]เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน อาจพบเกาะแคโรไลน์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1521[13][14]
บันทึกการเห็นเกาะแคโรไลน์ต่อมาของชาวยุโรปคือ บันทึกของเปดรู ฟือร์นังดึช ดือ ไกรอช นักสำรวจชาวโปรตุเกสที่ล่องเรือในนามของสเปน เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1606 บันทึกของเขาเรียกเกาะนี้ว่า "ซานเบร์นาร์โด" (San Bernardo)[4] ต่อมาวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1795 กัปตันวิลเลียม รอเบิร์ต บรอตัน แห่งเรือหลวง พรอวิเดนซ์ ค้นพบเกาะนี้และตั้งชื่อเกาะว่าแคโรไลนา (ต่อมาเป็นแคโรไลน์) เพื่อยกย่องธิดาของเซอร์เซอร์ฟิลิป สตีเวนส์ แห่งกระทรวงทหารเรือ[4] ต่อมาเรือล่าปลาวาฬสัญชาติอังกฤษ ซะพลาย พบเกาะนี้อีกครั้งใน ค.ศ. 1821 และตั้งชื่อว่า "เกาะธอนตัน" ตามชื่อกัปตันเรือ เกาะแห่งนี้ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกเช่น "เกาะเฮิสต์" (Hirst Island) "เกาะคลาร์ก" (Clark Island) และ "เกาะอินดิเพนเดนซ์" (Independence Island) การเดินทางถึงครั้งแรก ๆ ซึ่งมีบันทึกเกี่ยวกับเกาะ คือ การเดินทางของยูเอสเอส ดอลฟิน ใน ค.ศ. 1825 (ร้อยโท ไฮรัม พอลดิง เป็นผู้บันทึก) และเรือล่าวาฬใน ค.ศ. 1835 (เฟรเดอริก ดีเบลล์ เบนเนตต์ บันทึกในหนังสือ คำบรรยายของการล่องเรือล่าปลาวาฬรอบโลกระหว่างปี ค.ศ. 1833–1836 (Narrative of a Whaling Voyage Round the Globe From the Year 1833–1836)
ค.ศ. 1846 คอลลีและลูเซ็ตต์ บริษัทสัญชาติตาฮีตี พยายามสร้างชุมชนเลี้ยงปศุสัตว์และปลูกมะพร้าวขนาดเล็กบนเกาะ ซึ่งประสบความสำเร็จทางการเงินจำกัด ส่วนใน ค.ศ. 1868 เรือหลวง เรนเดีย ของบริเตนอ้างสิทธิเหนือแคโรไลน์ ซึ่งบันทึกผู้อยู่อาศัย 27 คนในนิคมแห่งหนึ่งบนเซาท์ไอลิต เมื่อ ค.ศ. 1872 รัฐบาลบริติชให้เช่าเกาะนี้แก่บริษัทโฮลเดอร์บราเธอส์ จำกัด โดยมีจอห์น ที. แอรันเดล เป็นผู้จัดการ (เป็นชื่อชื่อเกาะเล็กเกาะหนึ่งด้วย)[6] จอห์น ที. แอรันเดลและคณะรับสัญญาเช่าใน ค.ศ. 1881 จนใน ค.ศ. 1885 แอรันเดลตั้งไร่ใหญ่มะพร้าว แต่ต้นมะพร้าวติดโรคและไร่ใหญ่ล้มเหลวไป[4] อีกทั้งบริษัทโฮลเดอร์บราเธอส์ จำกัด ที่มีแอรันเดลเป็นผู้จัดการนั้น ยังทำฟาร์มปุ๋ยขี้นกใน ค.ศ. 1874 ด้วย โดยพบฟอสเฟตกว่า 10,000 ตัน จนหมดไปจากเกาะในราว ค.ศ. 1895[4] นิคมบนเกาะอยู่จนกระทั่ง ค.ศ. 1904 ชาวพอลินีเชีย 6 คนสุดท้ายย้ายออกจากเกาะนี้ไปนีวเว[4]
คณะสำรวจนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันเดินทางจากเปรูมาเกาะแคโรไลน์ด้วยเรือยูเอสเอส ฮาร์ตเฟิร์ด เพื่อมาชมสุริยุปราคาเต็มดวงวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1883 คณะสำรวจชาวฝรั่งเศสก็สังเกตสุริยุปราคาจากเกาะแคโรไลน์เช่นกัน และกองทัพเรือสหรัฐทำแผนที่เกาะ[6] โยฮันน์ พาลีซา สมาชิกคณะสำรวจคนหนึ่ง ค้นพบดาวเคราะห์น้อยในปีเดียวกันซึ่งเขาตั้งชื่อว่า แคโรไลนา เพื่อรำลึกถึงการเยือนเกาะแคโรไลน์[15]
คริสต์ศตวรรษที่ 20
[แก้]เอส.อาร์. แมกซ์เวลล์แอนด์คอมปานีเช่าเกาะนี้และตั้งถิ่นฐานใหม่ใน ค.ศ. 1916 ครั้งนี้สร้างขึ้นเพื่อส่งออกเนื้อมะพร้าวแห้งโดยเฉพาะ มีการถางป่าอย่างกว้างขวางในเซาท์ไอลิตเพื่อปลูกต้นมะพร้าวซึ่งไม่ใช่พืชท้องถิ่น[4] ทว่า การลงทุนธุรกิจนี้ประสบหนี้สิน และนิคมของอเกาะเริ่มมีประชากรลดลง เมื่อ ค.ศ. 1926 เหลือผู้อยู่อาศัยเพียง 10 คน และใน ค.ศ. 1936 นิคมเหลือครอบครัวชาวตาฮิตีเพียง 2 ครอบครัวก่อนย้ายออกไปในปลายคริสต์ทศวรรษ 1930[6]
เกาะแคโรไลน์ไม่มีคนอาศัยและไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากสงครามโลกครั้งที่สองและหลังจากนั้น เกาะยังอยู่ภายใต้เขตอำนาจของบริเตน ซึ่งข้าหลวงใหญ่แปซิฟิกตะวันออกของบริเตนเข้าควบคุมอีกครั้งใน ค.ศ. 1943 และปกครองโดยเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะเซ็นทรัลและเซาเทิร์นไลน์ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1972 หมู่เกาะเซ็นทรัลและเซาเทิร์นไลน์รวมทั้งเกาะแคโรไลน์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมหมู่เกาะกิลเบิร์ตและเอลลิส ซึ่งได้อัตตาณัติใน ค.ศ. 1971 โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปลดปล่อยอาณานิคมของบริเตน[16]
ค.ศ. 1979 หมู่เกาะกิลเบิร์ตกลายเป็นรัฐเอกราชคิริบาส หมู่เกาะแคโรไลน์เป็นจุดตะวันออกสุดของคิริบาส ทั้งเกาะมีรัฐบาลสาธารณรัฐคิริบาสเป็นเจ้าของ มีกระทรวงกลุ่มไลน์และฟีนิกซ์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่บนคิริสมาสเป็นผู้ดูแล สหรัฐสละการอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือเกาะของสหรัฐ (ภายใต้รัฐบัญญัติหมู่เกาะปุ๋ยขี้นก) ในสนธิสัญญาตาราวาใน ค.ศ. 1979 และวุฒิสภาสหรัฐให้สัตยาบันใน ค.ศ. 1983[17]
เกาะนี้มีคนอาศัยอีกช่วงสั้น ๆ ระหว่าง ค.ศ. 1987 ถึง ค.ศ. 1991 โดยรอน ฟอลคอเนอร์ และแอน ภรรยา พร้อมลูก 2 คนซึ่งพัฒนานิคมพึ่งพาตนเองเป็นส่วนใหญ่บนเกาะ หลังการโอนความเป็นเจ้าของ ฟอลคอเนอร์ถูกรัฐบาลคิริบาสฟ้องขับไล่ออกจากเกาะ หนังสือ ทูเกเธอร์อะโลน (ISBN 1-86325-428-5) ซึ่งฟอลคอเนอร์เขียน บันทึกนิยายการพำนักของพวกเขาบนเกาะแคโรไลน์[18]
มีการให้เช่าเกาะแก่อูรีมา เฟลิกซ์ ผู้ประกอบการชาวเฟรนช์พอลินีเชีย ในคริสต์ทศวรรษ 1990 เขาสร้างที่อยู่อาศัยเล็ก ๆ บนเกาะเล็กเกาะหนึ่งและมีรายงานว่าวางแผนพัฒนาเกาะ เกาะยังมีผู้เก็บเกี่ยวมะพร้าวแห้งชาวพอลินีเซียเวียนมาเป็นบางครั้งภายใต้ความตกลงกับรัฐบาลคิริบาสในตาราวา[10]
การเปลี่ยนเส้นแบ่งเขตวัน
[แก้]เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1994 ประเทศคิริบาสประกาศเปลี่ยนเขตเวลาของหมู่เกาะไลน์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1994 การเปลี่ยนเขตเวลานี้เลื่อนเส้นแบ่งเขตวันสากลไปทางทิศตะวันออก 1,000 กิโลเมตรในคิริบาส โดยวางคิริบาสทั้งหมดอยู่ในฝั่งตะวันตกของเส้นแบ่งเขตวัน แม้ข้อเท็จจริงว่าลองจิจูด 150 องศาตะวันตกซึ่งตรงกับเวลา UTC−10 แทนเขตเวลาอย่างเป็นทางการ UTC+14 ปัจจุบันหมู่เกาะแคโรไลน์อยู่ในเขตเวลาเดียวกับหมู่เกาะฮาวาย (เขตเวลามาตรฐานฮาวาย–อะลูเชียน) แต่เร็วกว่า 1 วัน[19] การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกาะแคโรไลน์เป็นดินแดนตะวันออกสุดในเขตเวลาเร็วสุด (บางนิยามว่า เป็นจุดตะวันออกสุดบนโลก) และเป็นแผ่นดินจุดแรก ๆ ที่เห็นอาทิตย์ขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 เมื่อ 5:43 น. ตามเวลาท้องถิ่น
เหตุผลการย้ายที่แถลงไว้เป็นคำสัญญาระหว่างการรณรงค์ของเตบูโรโร ติโต (Teburoro Tito) อดีตประธานาธิบดีคิริบาส เพื่อขจัดความสับสนที่ประเทศคิริบาสทอดข้ามเส้นแบ่งเขตวัน ฉะนั้นจึงมีวันต่างกันสองวันเสมอ ทว่า ข้าราชการคิริบาสไม่ฝืนใจที่พยายามฉวยสถานภาพใหม่ของประเทศที่เป็นดินแดนแรกที่เห็นรุ่งอรุณใน ค.ศ. 2000[20] ประเทศแปซิฟิกอื่น รวมทั้งประเทศตองงาและหมู่เกาะแชทัมของนิวซีแลนด์ประท้วงการย้ายนี้ โดยคัดค้านว่าละเมิดการอ้างเป็นดินแดนแห่งแรกที่เห็นรุ่งเช้าใน ค.ศ. 2000[21]
ใน ค.ศ. 1999 เพื่อใช้ประโยชน์จากความสนใจของสาธารณะขนานใหญ่ต่อการเฉลิมฉลองการย่างเข้า ค.ศ. 2000 ยิ่งขึ้น จึงมีการเปลี่ยนชื่อเกาะแคโรไลน์เป็นเกาะมิลเลนเนียม แม้เป็นเกาะที่ไม่มีคนอาศัย แต่มีการจัดการเฉลิมฉลองพิเศษบนเกาะ มีการแสดงของวงการบันเทิงพื้นเมืองชาวคิริบาสและประธานาธิบดีติโตเข้าร่วมด้วย[22] มีนักร้องและนักเต้นชาวคิริบาสเดินทางจากเมืองหลวงกรุงตาราวา กว่า 70 คน[23] และมีนักข่าวประมาณ 25 คน มีการแพร่สัญญาณการเฉลิมฉลองครั้งนี้ผ่านดาวเทียมทั่วโลกและมีผู้ชมประมาณหนึ่งพันล้านคน[22]
แม้สื่อและรัฐบาลอ้าง แต่เกาะแคโรไลน์มิใช่แผ่นดินจุดแรกที่เห็นรุ่งอรุณของวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 ตามเวลาท้องถิ่น เกียรตินั้นเป็นของจุดของดินแดนระหว่างระหว่างธารน้ำแข็งดิบเบิล (Dibble Glacier) กับอ่าววิกตอร์ (Victor Bay) บนชายฝั่งแอนตาร์กติกาตะวันออก ณ พิกัด 66°03′S 135°53′E / 66.050°S 135.883°E ซึ่งเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นก่อน 35 นาที[24] เนื่องจากจุดนี้อยู่ใกล้วงกลมแอนตาร์กติก และพื้นที่ที่อยู่เลยวงกลมแอนตาร์กติกได้รับผลจากแสงอาทิตย์ตลอดเวลาในเดือนธันวาคม นิยามของจุดที่แน่ชัดจึงเป็นปัญหาการแยกแยะระหว่างดวงอาทิตย์ตกและดวงอาทิตย์ขึ้นทันทีในมุมมองของผลการหักเหบรรยากาศ
คริสต์ศตวรรษที่ 21 และอนาคต
[แก้]เกาะแคโรไลน์อยู่เหนือระดับน้ำทะเลเพียง 6 เมตร จึงจะเป็นอันตรายหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น รัฐบาลคิริบาสประเมินว่า น้ำทะเลอาจท่วมเกาะใน ค.ศ. 2025[23] สหประชาชาติจัดให้เกาะแคโรไลน์อยู่ในกลุ่มเกาะที่อยู่ในอันตรายมากที่สุดจากการเพิ่มของระดับน้ำทะเล[25]
สมุดภาพ
[แก้]-
ชายฝั่งลากูนทางใต้ของเกาะแคโรไลน์
-
ลากูนของเกาะแคโรไลน์
-
รอนและแอน ฟอลคอเนอร์ ซึ่งอาศัยอยู่บนอะทอลล์แห่งนี้ในช่วง ค.ศ. 1988–1992
-
น้ำทะเลสะอาดใสของเกาะแคโรไลน์
-
บราเทอส์ไอลิต เกาะแคโรไลน์
-
พระอาทิตย์ตกดินเหนือเกาะแคโรไลน์
-
ซากโบราณสถาน เกาะแคโรไลน์
-
ต้นคอร์เดียบนนอร์ทแอรันเดลไอลิต เกาะแคโรไลน์
-
ต้น Pisonia เกาะแคโรไลน์
-
ชาร์กไอลิต เกาะแคโรไลน์
-
ไม้จำพวกต้นรักทะเลบนวินด์เวิร์ดไอลิต เกาะแคโรไลน์
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Edward R. Lovell, Taratau Kirata & Tooti Tekinaiti (September 2002). "Status report for Kiribati's coral reefs" (PDF). Centre IRD de Nouméa. สืบค้นเมื่อ 15 May 2015.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Warne, Kennedy (September 2014). "A World Apart – The Southern Line Islands". National Geographic. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-21. สืบค้นเมื่อ 15 May 2015.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 "Line Islands - Millennium". Oceandots.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-23. สืบค้นเมื่อ 2006-06-11.
- ↑ 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 4.10 4.11 4.12 Kepler, Angela K.; Cameron B. Kepler (February 1994). "The natural history of the Caroline Atoll, Southern Line Islands" (PDF). Atoll Research Bulletin. 397–398.
- ↑ Katie L. Barott (3 June 2010). "The Lagoon at Caroline/Millennium Atoll, Republic of Kiribati: Natural History of a Nearly Pristine Ecosystem" (PDF). PLoS ONE. 5 (6). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-10-14. สืบค้นเมื่อ 22 January 2017.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 Bryan, E.H. (1942). American Polynesia and the Hawaiian Chain. Honolulu: Tongg Publishing Company.
- ↑ "Republic of Kiribati". Atlapedia Online. สืบค้นเมื่อ 2006-07-12.
- ↑ "More Isolated Islands". Island Directory Tables. U.N. Earthwatch. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-16. สืบค้นเมื่อ 2006-06-12.
- ↑ "Islands by Human Impact Index". United Nations Environment Programme. 18 February 1998. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 July 2006.
- ↑ 10.0 10.1 Scott, Derek A., บ.ก. (1993). A Directory of Wetlands in Oceania. Slimbridge, UK: International Waterfowl and Wetlands Research Bureau. ISBN 0-9505731-2-4.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 Teataata, Aobure (1998). "Wetlands". United Nations Environment Programme. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 February 2008.
- ↑ "Pacific Ocean - Line Islands". Oceandots.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-23. สืบค้นเมื่อ 2006-06-11.
- ↑ "Morison Rates Magellan Above Columbus as a Seaman". New York Times.
- ↑ Matthew James. The Great Explorers.
- ↑ Schmadel, L.D. (2000). Dictionary of Minor Planet Names (4th ed.). Berlin: Springer-Verlag Telos. ISBN 3-540-66292-8.
- ↑ Gwillim Law (2005). "Island Groups of Kiribati". Statoids.
- ↑ "Treaty of Friendship Between the United States of America and the Republic of Kiribati". 1979.
- ↑ Falconer, Ron (2004). Together Alone. Australia: Bantam Books. ISBN 1-86325-428-5.
- ↑ Harris, Aimee (August 1999). "Date Line Politics". Honolulu Magazine. p. 20. สืบค้นเมื่อ 2006-06-10.
- ↑ Kristof, Nicholas D. (March 23, 1997). "Tiny Island's Date-Line Jog in Race for Millennium". New York Times. สืบค้นเมื่อ 2006-06-10.
- ↑ Letts, Quentin (January 25, 1996). "Pacific braces for millennium storm over matter of degrees". The Times. สืบค้นเมื่อ 2006-06-10.
- ↑ 22.0 22.1 "2000 greeted with song, dance". Japan Times. Associated Press. January 1, 2000.
- ↑ 23.0 23.1 "Millennium Island greets Y2K warmly". ClimateArk.org. Associated Press. December 30, 1999. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 13, 2005. สืบค้นเมื่อ 2006-06-11.
- ↑ "Islands of Kiribati". U.N. Earthwatch Islands Directory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-11. สืบค้นเมื่อ 2006-06-11.
แหล่งข้อมูล
[แก้]- Barott, Katie L.; Caselle, Jennifer E.; Dinsdale, Elizabeth A.; Friedlander, Alan M.; Maragos, James E.; Obura, David; Rohwer, Forest L.; Sandin, Stuart A.; Smith, Jennifer E.; Zgliczynski, Brian (2010). "The Lagoon at Caroline/Millennium Atoll, Republic of Kiribati: Natural History of a Nearly Pristine Ecosystem". PLoS ONE. 5 (6): e10950. Bibcode:2010PLoSO...510950B. doi:10.1371/journal.pone.0010950. ISSN 1932-6203. PMC 2880600. PMID 20539746.
- Bennett, Frederick Debell (1840). Narrative of a Whaling Voyage Round the Globe: from the year 1833 to 1836; Comprising sketches of Polynesia, California, the Indian archipelago, etc. with an account of southern whales, the sperm whale fishery, and the natural history of the climates visited. Vol. 1. London: R. Bentley. OCLC 663540587.
- Bryan, Edwin Horace (1942). American Polynesia and the Hawaiian Chain. Honolulu: Tongg Publishing Company. OCLC 920470477.
- Caldwell, John (1991) [1949]. Desperate Voyage. Dobbs Ferry, New York: Sheridan House. ISBN 978-09244-8-620-3.
- Clapp, Roger B.; Sibley, Fred C. (1971). "Myits On The Vascular Flora And Terrestrial Vertebrates Of Caroline Atoll Southern Line Islands" (PDF). Atoll Research Bulletin. 145. doi:10.5479/si.00775630.145.1. ISSN 0077-5630.
- Duka, Cecilio D. (2007). World Geography. Manila: Rex Book Store. ISBN 978-97123-4-696-5.
- Dickinson, William R. (2009). "Pacific Atoll Living: How Long Already and Until When?" (PDF). GSA Today. 19 (3): 4–10. doi:10.1130/GSATG35A.1. ISSN 1052-5173.
- Findlay, Alexander George (1884). A Directory for the Navigation of the Pacific Ocean. Vol. 2. London: Laurie. OCLC 78089294.
- Fletcher, Michael; Wyman, Derek A.; Zahirovic, Sabin (July 2020). "Mantle plumes, triple junctions and transforms: A reinterpretation of Pacific Cretaceous – Tertiary LIPs and the Laramide connection". Geoscience Frontiers (ภาษาอังกฤษ). 11 (4): 1140–42. doi:10.1016/j.gsf.2019.09.003. ISSN 1674-9871.
- Harris, Aimee (August 1999). "Millennium: Date Line Politics". Honolulu. Honolulu, Hawaii. p. 20. ISSN 0441-2044. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 June 2006.
- Keating, Barbara H (1992). "Insular Geology of the Line Islands". ใน Keating, Barbara H; Bolton, Barrie R (บ.ก.). Geology and Offshore Mineral Resources of the Central Pacific Basin. Circum-Pacific Council for Energy and Mineral Resources Earth Science Series. Vol. 14. New York: Springer Verlag. ISBN 978-03879-7-771-3.
- Kepler, Angela K.; Kepler, Cameron B.; Ellis, David H. (1992). "1.1 Ecological Studies of Caroline Atoll, Republic of Kiribati, South-central Pacific Ocean". ใน Nagel, P.A. (บ.ก.). Results of the First Joint US-USSR Central Pacific Expedition (BERPAC), Autumn 1988. Washington, D.C.: United States Fish and Wildlife Service. OCLC 647246899.
- Kepler, Angela K.; Kepler, Cameron B., บ.ก. (1994). "The natural history of the Caroline Atoll, Southern Line Islands". Atoll Research Bulletin. 397–398. ISSN 0077-5630.
- Lovell, Edward R.; Kirata, Taratau; Tekinaiti, Tooti (2002). Status Report for Kiribati's Coral Reefs (Report). Vol. 2. New Caledonia: Centre IRD de Nouméa. ISSN 1297-9635.
- Migoń, Piotr (2014). Geomorphological Landscapes of the World. Dordrecht: Springer. ISBN 978-90481-3-055-9.
- Panton, Kenneth J (2015). Historical Dictionary of the British Empire. Lanham, Maryland: Rowman & Littlefield. ISBN 978-08108-7-801-3.
- Paulding, Hiram (1831). Journal of a Cruise of the United States Schooner Dolphin, Among the Islands of the Pacific Ocean. New York: Carvill. OCLC 914717240.
- Rottman, Gordon L. (2002). World War II Pacific Island Guide: A Geo-military Study. Westport, Connecticut: Greenwood Press. ISBN 978-03133-1-395-0.
- Royal Astronomical Society (1884). "The Total Solar Eclipse of 1883, May 6". Monthly Notices of the Royal Astronomical Society. London: Royal Astronomical Society. 44 (4): 180–82. ISSN 0035-8711.
- Schlanger, S. O.; Garcia, M. O.; Keating, B. H.; Naughton, J. J.; Sager, W. W.; Haggerty, J. G.; Philpot, J. G.; Duncan, R.A. (1984). "Geology and Geochronology of the Line Islands" (PDF). Journal of Geophysical Research. 89 (B13): 11, 261. Bibcode:1984JGR....8911261S. doi:10.1029/JB089iB13p11261. ISSN 0022-1406.
- Schmadel, Lutz.D. (2000). Dictionary of Minor Planet Names (4th ed.). Berlin: Springer-Verlag Telos. ISBN 978-3-540-66292-1.
- Scott, Derek A. (1993). A Directory of Wetlands in Oceania (PDF). Slimbridge, United Kingdom: International Waterfpwl and Wetlands Research. ISBN 978-09505-7-312-0.[ลิงก์เสีย]
- Singh, Ashbindu; Pathirana, Sumith; Shi, Hua (2006). Assessing Coastal Vulnerability: developing a global index for measuring risk. Nairobi: United Nations Environment Programme. ISBN 978-92807-2-577-3.
- Stackpole, Edouard A (1972) [1953]. The Sea-Hunters: the New England whalemen during two centuries, 1635-1835. Westport, Connecticut: Greenwood Press. ISBN 978-08371-6-498-4.
- Thomas, Frank R.; Tonganibeia, Kautoa (2007). "Pacific island rural development Challenges and prospects in Kiribati". ใน Connell, John; Waddell, Eric (บ.ก.). Brand logo Environment, Development and Change in Rural Asia-Pacific: Between Local and Global. Routledge Pacific Rim Geographies. London; New York: Routledge. doi:10.4324/9780203967843. ISBN 978-02039-6-784-3.
- Upton, Winslow (29 June 1883). "The Total Solar Eclipse of May 6". Science. Cambridge, Massachusetts: Moses King. 1 (21): 594–96. ISSN 0036-8075.
- Vallado, David A (2001). Fundamentals of astrodynamics and applications (2nd ed.). El Segundo, California: Microcosm Press. ISBN 978-07923-6-903-5.
- Whincup, Tony (1979). Nareau's Nation: a Portrait of the Gilbert Islands. London: Stacey International. ISBN 978-09057-4-316-5.
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Falconer, Ron (2014). Together Alone. Sydney: Bantam Books. ISBN 978-1-86325-428-1.
- Holden, Edward S. (1884). "Report of the Eclipse Expedition to Caroline Island, May, 1883". Memoirs of the National Academy of Sciences. Washington: Government Printing Office. 2: 11–146. ISSN 0885-4637.
- Markham, Clements R., บ.ก. (1904). The Voyages Of Pedro Fernandez De Quiros. Vol. 1. London: The Hakluyt Society. OCLC 1123462176.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Living Archipelagos Profile for Caroline Island
- Caroline Island on Operational Navigation Chart ONC N-20 (Line Islands; Iles Des Tuamotu (France); South Pacific Ocean), revised 1986, from the Perry-Castañeda Library Map Collection
- Tide Predictions for Caroline Island from the National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA)
- Risk map for Caroline Island from the Climate Central organization, showing projected flooding levels due to climate change