อภิรัฐมนตรีสภา
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
อภิรัฐมนตรีสภา | |
---|---|
คณะองคมนตรี แห่งราชอาณาจักรสยาม | |
พ.ศ. 2468 - พ.ศ. 2475 | |
วันแต่งตั้ง | 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468[1] |
วันสิ้นสุด | 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475[2] (6 ปี 228 วัน) |
บุคคลและองค์กร | |
พระมหากษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ประธานอภิรัฐมนตรีสภา | สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช (ถึง 2471) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต (เริ่ม 2472) |
จำนวนรัฐมนตรีทั้งหมด | 8 |
อภิรัฐมนตรีสภา (อังกฤษ: Supreme Council of State) เป็นสภาที่ปรึกษาและนิติบัญญัติที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชโองการของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ พ.ศ. 2468 ถึง พ.ศ. 2475 โดยทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างสภาลักษณะเดียวกับคณะรัฐมนตรีอันเป็นที่ประชุมของพระราชวงศ์ที่สำคัญที่สุด 5 พระองค์ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติก่อนนำขึ้นทูลเกล้าถวายให้ทรงลงพระปรมาภิไธย และประชุมหารือข้อราชการ สภาก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เพียง 3 วันหลังจากพระองค์ขึ้นครองราชย์ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเชษฐาของพระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468
สมาชิก
[แก้]สภาประกอบด้วยพระราชวงศ์ 5 พระองค์ แต่ละพระองค์เป็นเจ้านายแห่งราชวงศ์จักรีซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีที่สำคัญในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระราชบิดาและพระเชษฐาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) ภายหลังมีสมาชิกสิ้นพระชนม์จึงมีการแต่งตั้งสมาชิกเพิ่มเติมจากพระราชวงศ์อีก 3 พระองค์ สมาชิกสภาประกอบด้วย
อภิรัฐมนตรีสภา รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||||
อภิรัฐมนตรี | ตำแหน่ง | เริ่มดำรงตำแหน่ง | ||
---|---|---|---|---|
สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช (11 มกราคม พ.ศ. 2403 - 13 มิถุนายน พ.ศ. 2471) (68 ปี 153 วัน) |
ประธานอภิรัฐมนตรีสภา | 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 13 มิถุนายน พ.ศ. 2471 (2 ปี 197 วัน) | ||
สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต (29 มิถุนายน พ.ศ. 2424 - 18 มกราคม พ.ศ. 2487) (62 ปี 203 วัน) |
ประธานอภิรัฐมนตรีสภา | 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 - 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 (2 ปี 356 วัน) | ||
อภิรัฐมนตรี | 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 (3 ปี 238 วัน) | |||
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ (28 เมษายน พ.ศ. 2406 - 10 มีนาคม พ.ศ. 2490) (83 ปี 316 วัน) |
อภิรัฐมนตรี | 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 (6 ปี 228 วัน) | ||
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (21 มิถุนายน พ.ศ. 2405 - 1 ธันวาคม พ.ศ. 2486) (81 ปี 163 วัน) |
อภิรัฐมนตรี | 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 (6 ปี 228 วัน) | ||
พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ (8 มิถุนายน พ.ศ. 2417 - 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2474) (56 ปี 353 วัน) |
อภิรัฐมนตรี | 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 - 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 (5 ปี 180 วัน) | ||
สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ (17 มีนาคม พ.ศ. 2425 - 8 เมษายน พ.ศ. 2475) (50 ปี 22 วัน) |
อภิรัฐมนตรี | 1 เมษายน พ.ศ. 2473 - 8 เมษายน พ.ศ. 2475 (2 ปี 7 วัน) | ||
พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน (11 สิงหาคม พ.ศ. 2426 - 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486) (59 ปี 178 วัน) |
อภิรัฐมนตรี | 21 ตุลาคม พ.ศ. 2474 - 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 (0 ปี 266 วัน) | ||
พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นเทววงศวโรทัย (23 มกราคม พ.ศ. 2425 - 14 กันยายน พ.ศ. 2479) (54 ปี 234 วัน) |
อภิรัฐมนตรี | 21 ตุลาคม พ.ศ. 2474 - 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 (0 ปี 266 วัน) |
สภานี้มิใช่องค์กรเดียวของรัฐบาลในเวลานั้น หากแต่ยังมีสภากรรมการองคมนตรี (Privy Council) และเสนาบดีสภา (Council of Secretaries) อย่างไรก็ดี สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตเป็นสมาชิกที่โดดเด่นที่สุดของอภิรัฐมนตรีสภา เพราะพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการและเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
บทบาทหน้าที่ของอภิรัฐมนตรีสภา
[แก้]อภิรัฐมนตรีสภา เป็นสถาบันใหม่เทียบเท่าได้กับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้ตั้งขึ้นภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ 2 วัน (วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468) มีหน้าที่เป็นสภาที่ปรึกษาชั้นสูงแก่พระมหากษัตริย์ ซึ่งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกิจการการเมืองการปกครองและนโยบายของประเทศ อภิรัฐมนตรีสภา มีการกำหนดการประชุมทุก ๆ วันศุกร์ สัปดาห์ละครั้ง โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธานในการประชุม เริ่มการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ณ พระที่นั่งบรมพิมาน อภิรัฐมนตรีสภา ได้ให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดินหลายเรื่องที่สำคัญ กล่าวคือ
- ให้คำปรึกษาหารือข้อราชการเรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติสภากรรมการองคมนตรี" ซึ่งพระราชทานลงมาให้ศึกษาและนำคำปรึกษาขึ้นถวายบังคมทูล
- วางรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปของเทศบาล โดยการปรับปรุงแก้ไขสุขาภิบาลที่มีอยู่ให้เป็นเทศบาล ซึ่งได้จัดตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานและความเห็นเกี่ยวกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติเทศบาล
- พิจารณาโครงร่างรัฐธรรมนูญที่พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี. แซร์) ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย มีลักษณะเป็นระบบนายกรัฐมนตรีให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินโดยตรงแทนองค์พระมหากษัตริย์ โดยนายกรัฐมนตรีมีสิทธิเลือกคณะรัฐมนตรีเอง ส่วนพระมหากษัตริย์ยังคงไว้ซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ตามแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ให้อภิรัฐมนตรีสภามีหน้าที่เพียงถวายคำปรึกษาเท่านั้นไม่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน โครงร่างรัฐธรรมนูญของพระยากัลยาณไมตรีฉบับนี้จึงไม่ได้รับความเห็นชอบจากอภิรัฐมนตรีสภา โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเป็นสมาชิกพระองค์หนึ่งของอภิรัฐมนตรีสภาทรงคัดค้านว่า การมีนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องและวิธีการปกครองในระบอบรัฐสภา ไม่ใช่การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งไม่มีรัฐสภา เมื่อเป็นเช่นนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงระงับพระราชดำริเรื่องการพระราชทานรัฐธรรมนูญไว้ก่อน แล้วทรงเริ่มงานวางพื้นฐานการปกครองแบบรัฐสภาขึ้นในปี พ.ศ. 2470 โดยการให้นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ ที่ปรึกษาราชการกระทรวงการต่างประเทศและพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้พิจารณาร่างหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ และทรงมีพระราชดำรัสถึงความประสงค์ที่จะให้รัฐธรรมนูญแก่ราษฎรโดยเร็วที่สุด และต้องให้ทันวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นวันครบรอบมหาจักรี นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา จึงยกร่างรัฐธรรมนูญ และได้นำทูลเกล้าฯ ถวายต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2474 นอกจากนั้น นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์และพระยาศรีวิสารวาจายังได้แนบบันทึกความเห็นประกอบเค้าโครงการเปลี่ยนแปลงการปกครองอีก 2 ฉบับว่าไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญในขณะนั้น เพราะประชาชนยังไม่พร้อม และเทศบาลก็ยังไม่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมา โครงร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาและพระบรมวงศานุวงศ์ได้พากันคัดค้านไม่เห็นด้วย โดยอ้างเหตุผลว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควร เนื่องจากราษฎรยังมีการศึกษาไม่ดีพอ เกรงว่าเมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายภายหลัง คำคัดค้านดังกล่าวทำให้พระองค์ทรงลังเลพระทัยว่าควรจะพระราชทานรัฐธรรมนูญเมื่อใดจึงจะเหมาะสม ความไม่แน่นอนและเงื่อนไขต่าง ๆ ทำให้ระบบการเมืองไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับเหตุการณ์ การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 จึงเกิดขึ้น
อ้างอิง
[แก้]- Royal Gazette, Royal Command on the establishment of the Supreme Council of State เก็บถาวร 2016-08-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Volume 42, Page 2618, 28 November 2468 B.E.
- Senate of Thailand เก็บถาวร 2012-02-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Stowe, Judith A. Siam Becomes Thailand: A Story of Intrigue. C. Hurst & Co. Publishers, 1991
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชดำรัสทรงตั้งอภิรัฐมนตรีสภา , เล่ม ๔๒ ง, ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘, หน้า ๒๖๑๘
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ เลิกอภิรัฐมนตรีสภา, เล่ม ๔๙ ก, ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๕, หน้า ๒๐๒