หินไนส์
หินแปร | |
![]() ภาพของหินไนส์ |
หินไนส์ (อังกฤษ: gneiss) เป็นหินแปรชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปและกระจายตัวอย่างกว้างขวาง โดยเกิดจากกระบวนการแปรสภาพภายใต้อุณหภูมิและความดันสูง ซึ่งมีผลต่อหินต้นกำเนิดที่เป็นหินอัคนีหรือหินตะกอน หินชนิดนี้เกิดขึ้นภายใต้ความดันที่อยู่ในช่วง 2 ถึง 15 กิโลบาร์ หรือมากกว่านั้นในบางกรณี และอุณหภูมิที่สูงกว่า 300 องศาเซลเซียส (572 องศาฟาเรนไฮต์) ลักษณะเด่นของหินไนส์คือพื้นผิวที่มีเนื้อเป็นแถบ (banded texture) ซึ่งประกอบด้วยแถบสีเข้มและสีอ่อนสลับกัน โดยไม่มีแนวแตกเรียบ (cleavage) ที่ชัดเจน
หินไนส์สามารถพบเจอได้ทั่วไปตามหินฐานทวีปโบราณ หินที่เก่าแก่ที่สุดในโลกบางก้อนนั้นคือหินไนส์ ยกตัวอย่างเช่นหินไนส์ที่อะคัสตาไนส์ (Acasta Gneiss)
คำจำกัดความ
[แก้]
จากนิยามดั้งเดิมของภาษาอังกฤษและการใช้งานในอเมริกาเหนือ คำว่า "ไนส์" (Gneiss) หมายถึงหินแปรเนื้อหยาบที่มีลักษณะการเรียงตัวขององค์ประกอบเป็นแถบ (gneissic banding) แต่มีความเป็นหินชิสต์ (schistosity) ที่พัฒนาน้อย และไม่มีแนวแตกเรียบ (cleavage) ที่ชัดเจน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหินไนส์เป็นหินแปรที่ประกอบด้วยแร่ธาตุที่มีขนาดเม็ดใหญ่จนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าซึ่งเรียงตัวกันเป็นชั้นหรือแถบอย่างชัดเจน แต่มีแนวโน้มที่จะเกิดการแตกหักตามชั้นหรือแถบเหล่านี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในยุโรป คำว่า "ไนส์" ถูกใช้อย่างกว้างมากกว่า โดยหมายรวมถึงหินแปรเนื้อหยาบที่มีไมกา (mica) น้อยและเป็นหินแปรคุณภาพสูง[1]
สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร (British Geological Survey - BGS) และ สหภาพวิทยาศาสตร์ทางธรณีวิทยานานาชาติ (International Union of Geological Sciences - IUGS) ใช้คำว่า "ไนส์" เป็นหมวดหมู่อย่างกว้างที่เกี่ยวกับเนื้อหินสำหรับหินแปรเนื้อปานกลางถึงเนื้อหยาบที่มีความเป็นชิสต์ ที่พัฒนาน้อย โดยมีการเรียงตัวขององค์ประกอบเป็นชั้นที่มีความหนามากกว่า 5 มิลลิเมตร (0.20 นิ้ว)[2] และมักแตกออกเป็นแผ่นที่มีความหนามากกว่า 1 เซนติเมตร (0.39 นิ้ว)[3] นิยามนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีหรือแหล่งกำเนิดของหิน แต่หินที่มีแร่แผ่นบาง (platy minerals) ประกอบอยู่น้อยนั้นมักจะเกิดลักษณะเนื้อไนส์ (gneissose texture) ได้ง่ายกว่า ด้วยเหตุนี้ หินไนส์จึงเป็นหินที่ผ่านกระบวนการตกผลึกใหม่ (recrystallized) เป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้ประกอบด้วยไมกา, คลอไรต์ (chlorite) หรือแร่แผ่นบางชนิดอื่นในปริมาณมาก[4] หินแปรที่แสดงความเป็นชิสต์มากกว่าจะถูกจัดประเภทเป็น ชิสต์ ในขณะที่หินแปรที่ไม่มีความเป็นชิสต์เลยจะเรียกว่ากราโนเฟลส์ (granofels)[2][3]
ไนส์ที่เกิดจากการแปรสภาพของหินอัคนีหรือหินต้นกำเนิดที่มีลักษณะใกล้เคียงกันจะถูกเรียกชื่อตามหินต้นกำเนิด เช่น ไนส์แกรนิต (granite gneiss), ไนส์ไดออไรต์ (diorite gneiss) เป็นต้น หินไนส์อาจถูกตั้งชื่อตามองค์ประกอบเด่นที่พบ เช่น ไนส์การ์เนต (garnet gneiss), ไนส์ไบโอไทต์ (biotite gneiss), ไนส์อัลไบต์ (albite gneiss) เป็นต้น คำว่าออร์โธไนส์ (orthogneiss) ใช้ระบุถึงไนส์ที่มีต้นกำเนิดจากหินอัคนี ในขณะที่พาราไนส์ (paragneiss) หมายถึงไนส์ที่มีต้นกำเนิดจากหินตะกอน[2][3] ทั้งสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร (BGS) และสหภาพวิทยาศาสตร์ทางธรณีวิทยานานาชาติ (IUGS) ได้ใช้คำว่า gneissose เพื่ออธิบายหินที่มีเนื้อหินแบบไนส์[2][3] แม้คำว่า gneissic จะยังคงเป็นคำที่ใช้กันทั่วไป[5] ตัวอย่างเช่น gneissose metagranite หรือ gneissic metagranite ทั้งสองคำนี้หมายถึงหินแกรนิตที่ผ่านการแปรสภาพและมีเนื้อหินแบบไนส์
ลายแถบแบบไนส์
[แก้]
แร่ธาตุในหินไนส์ถูกจัดเรียงตัวเป็นชั้น ซึ่งปรากฏเป็นแถบเมื่อมองผ่านมุมมองหน้าตัด ลักษณะนี้เรียกว่า การเรียงตัวเป็นแถบของไนส์[6] แถบสีเข้มประกอบด้วยแร่รูปแบบเมฟิก (mafic) มากกว่า ซึ่งหมายถึงแร่ที่มีแมกนีเซียมและเหล็กในปริมาณสูง ส่วนแถบสีอ่อนประกอบด้วยแร่รูปแบบเฟลสิก (felsic) มากกว่า เช่น เฟลด์สปาร์ หรือควอตซ์ ซึ่งมีธาตุเบาอย่างอะลูมิเนียม, โซเดียม และโพแทสเซียมเป็นองค์ประกอบหลัก[7]
การเกิดลายแถบแบบหินไนส์นั้นพัฒนาขึ้นมาภายใต้อุณหภูมิสูง เมื่อหินถูกบีบอัดอย่างรุนแรงในทิศทางหนึ่งมากกว่าทิศทางอื่น (แรงเค้นแบบไม่เป็นไปตามหลักอุทกสถิต หรือ nonhydrostatic stress) แถบเหล่านี้จะพัฒนาไปในทิศทางตั้งฉากกับทิศทางที่มีการบีบอัดมากที่สุด ซึ่งเรียกว่า ทิศทางการหดตัว (shortening direction) โดยแร่แผ่นบางจะถูกหมุนหรือเกิดการตกผลึกใหม่ให้เรียงตัวเป็นชั้นขนานกันในทิศทางดังกล่าว[8]
สาเหตุทั่วไปของแรงเค้นที่ไม่เป็นไปตามอุทกพลศาสตร์ (nonhydrodynamic stress) คือการที่หินต้นกำเนิด (protolith) ซึ่งก็คือวัสดุหินดั้งเดิมก่อนที่จะถูกแปรสภาพเป็นหินแปรได้ถูกแรงเฉือน (shearing force) กระทำอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นแรงที่คล้ายกับการเลื่อนสำรับไพ่ โดยการผลักไพ่ด้านบนไปในทิศทางหนึ่งและผลักไพ่ด้านล่างไปในทิศทางตรงกันข้าม[6] แรงดังกล่าวทำให้หินถูกยืดออกเหมือนวัสดุพลาสติก และวัสดุดั้งเดิมกระจายตัวออกเป็นชั้นอย่างบาง ตามหลักทฤษฎีบทการย่อยปัญหาเชิงขั้ว (polar decomposition theorem) การเปลี่ยนรูปที่เกิดจากแรงเฉือนประเภทนี้มีผลเทียบเท่ากับการหมุนของหิน พร้อมกับการหดตัวในทิศทางหนึ่งและการยืดตัวในอีกทิศทางหนึ่ง[9]
ลายแถบบางส่วนนั้นเกิดขึ้นจากวัสดุดั้งเดิมของหินต้นกำเนิดที่ถูกแปรสภาพภายใต้อุณหภูมิและความดันสูง วัสดุดังกล่าวประกอบด้วยชั้นสลับกันของหินทราย (สีอ่อน) และหินดินดาน (สีเข้ม) ซึ่งผ่านกระบวนการแปรสภาพจนกลายเป็นแถบของควอร์ตไซต์ (quartzite) และไมกา[6]
อีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดแถบคือ "การแยกตัวในกระบวนการแปรสภาพ" (metamorphic differentiation) ซึ่งเป็นการแยกวัสดุชนิดต่าง ๆ ออกเป็นชั้นที่แตกต่างกันผ่านปฏิกิริยาเคมี ซึ่งกระบวนการนี้ยังไม่ได้รับการทำความเข้าใจอย่างสมบูรณ์[6]
หินไนส์รูปตา
[แก้]ดูเพิ่มเติม: ออยเกน


หินไนส์รูปตา หรือไนส์ออยเกน (Augen gneiss) เป็นชื่อที่มาจากภาษาเยอรมันคำว่า "Augen" [ˈaʊɡən] ซึ่งหมายถึง "ดวงตา" เป็นหินไนส์ที่เกิดจากการแปรสภาพของหินแกรนิต มีลักษณะเด่นคือเม็ดแร่ทรงรีหรือทรงเลนส์ (porphyroclasts) ซึ่งมักเป็นเฟลด์สปาร์ที่ถูกแรงเฉือนล้อมรอบด้วยวัสดุที่มีลักษณะเป็นเม็ดที่เล็กกว่า วัสดุเม็ดเล็กที่ล้อมรอบนี้ถูกแปรสภาพและเปลี่ยนรูปตามแรงเฉือนรอบเม็ดเฟลด์สปาร์ที่มีความทนทานมากกว่า จึงก่อให้เกิดลักษณะพื้นผิวแบบเฉพาะตัวของหินไนส์รูปตา[10]
มิกมาไทต์
[แก้]บทความหลัก: มิกมาไทต์
หินมิกมาไทต์ (Migmatite) เป็นหินไนส์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยหินสองประเภทหรือมากกว่าที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยหินประเภทหนึ่งมีลักษณะคล้ายหินไนส์ทั่วไป เรียกว่า เมโซโซม (mesosome) และอีกประเภทหนึ่งมีลักษณะคล้ายหินอัคนีแทรกซ้อน เช่น เพกมาไทต์ (pegmatite), แอพไลต์ (aplite) หรือแกรนิต ซึ่งเรียกว่าลูโคโซม (leucosome) นอกจากนี้ มิกมาไทต์อาจมีส่วนประกอบของเมลาโนโซม (melanosome) ซึ่งเป็นหินเมฟิกที่ประกอบเข้ากับลูโคโซม[11] มิกมาไทต์มักถูกตีความว่าเป็นหินที่ผ่านกระบวนการหลอมบางส่วน โดยที่ลูโคโซมคือส่วนที่ถูกหลอมละลายและอุดมไปด้วยซิลิกา ส่วนเมลาโนโซมนั้นคือหินที่ยังคงเป็นของแข็งหลังจากการหลอมบางส่วน และเมโซโซมคือหินต้นกำเนิดที่ยังไม่ผ่านกระบวนการหลอมบางส่วนดังกล่าว[12]
การกำเนิด
[แก้]


หินไนส์เป็นหินที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะของบริเวณที่เกิดการแปรสภาพระดับภูมิภาค (regional metamorphism) ซึ่งอยู่ระหว่างชุดลักษณ์ (facies) ของแอมฟิโบไลต์ (amphibolite) ไปจนถึงชุดลักษณ์ของกรานูไลต์ (granulite) กล่าวคือหินเหล่านี้ได้ผ่านกระบวนการแปรสภาพที่อุณหภูมิสูงกว่า 600 °C (1,112 °F) และความดันระหว่างประมาณ 2 ถึง 24 กิโลบาร์ หินหลากหลายชนิดสามารถแปรสภาพเป็นหินไนส์ได้ ดังนั้นนักธรณีวิทยาจึงให้ความสำคัญกับการระบุสีและองค์ประกอบแร่ในชื่อของหินไนส์ เช่น การ์เนต-ไบโอไทต์ พาราไนส์ (garnet-biotite paragneiss) หรือ ไนส์ออโธสีเทาอมชมพู (grayish-pink orthogneiss)[14]
แดนแกรนิต-กรีนสโตน
[แก้]หินฐานทวีป (continental shield) คือพื้นที่ที่มีหินโบราณโผล่ขึ้นมา ซึ่งได้ประกอบเป็นแกนกลางที่มีความเสถียรของทวีปต่าง ๆ หินที่โผล่ในพื้นที่ที่เก่าแก่ที่สุดของหินฐานเหล่านี้ ซึ่งอยู่ในบรมยุคอาร์เคียน (อายุมากกว่า 2,500 ล้านปี) ส่วนใหญ่เป็นหินในแดนแกรนิต-กรีนสโตน (granite-greenstone belts) แดนหินกรีนสโตนประกอบด้วยหินภูเขาไฟแปร (metavolcanic rock) และหินตะกอนแปร (metasedimentary rock) ซึ่งผ่านการแปรสภาพในระดับค่อนข้างต่ำ โดยอยู่ในอุณหภูมิระหว่าง 350–500 °C (662–932 °F) และความดัน 200–500 เมกะปาสกาล (2,000–5,000 บาร์) แดนหินกรีนสโตนถูกล้อมรอบด้วยพื้นที่ของหินไนส์ที่มีการแปรสภาพในระดับสูง ซึ่งแสดงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในสภาวะความดันต่ำและอุณหภูมิสูง (มากกว่า 500 °C (932 °F)) จนถึงระดับชุดลักษณ์ของแอมฟิบอไลต์หรือกรานูไลต์ หินเหล่านี้คือองค์ประกอบส่วนใหญ่ของหินที่โผล่ขึ้นมา ณ หินฐานธรณีในบรมยุคอาร์เคียน[15]
โดมหินไนส์
[แก้]โดมหินไนส์พบได้ทั่วไปในแดนเทือกเขา (orogenic belts) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดการก่อตัวของภูเขาขึ้นมา[16] โดยจะประกอบด้วยโดมของหินไนส์ที่ถูกแทรกด้วยหินแกรนิตและมิกมาไทต์ที่มีอายุน้อยกว่า โดยมีหินตะกอนปกคลุมอยู่ด้านบน[17] โดมหินไนส์เหล่านี้ได้รับการตีความว่าเป็นบันทึกทางธรณีวิทยาของเหตุการณ์การก่อตัวของภูเขาในช่วงเวลาสองช่วงที่แตกต่างกัน โดยเหตุการณ์แรกทำให้เกิดหินแกรนิตที่เป็นฐานราก และเหตุการณ์ที่สองที่ทำให้ฐานรากนี้เกิดการเสียรูปและการหลอมละลายจนกลายเป็นโดม อย่างไรก็ตาม โดมหินไนส์บางแห่งอาจเป็นแกนกลางของแหล่งแกนกลางหินแปร (metamorphic core complexes) ซึ่งเป็นส่วนลึกของเปลือกโลกที่ถูกยกขึ้นมาสู่ผิวโลกและโผล่ขึ้นมาในช่วงที่เปลือกโลกเกิดการขยายตัว[18]
ตัวอย่าง
[แก้]- อะคัสตาไนส์ (Acasta Gneiss) พบในเขตนอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ (Northwest Territories) ประเทศแคนาดา บนเกาะที่อยู่ห่างจากเมืองเยลโลว์ไนฟ์ (Yellowknife) ไปทางเหนือประมาณ 300 กิโลเมตร (190 ไมล์) หินชนิดนี้เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนเปลือกโลกที่คงสภาพได้เก่าแก่ที่สุดบนโลก โดยผ่านการแปรสภาพเมื่อ 3,580 ถึง 4,031 ล้านปีมาแล้ว[19]
- ลูวิเซียนไนส์ (Lewisian gneiss) พบได้ทั่วหมู่เกาะเอาเตอร์เฮบริดีส (Outer Hebrides) ของสกอตแลนด์ รวมถึงพื้นที่ทางตะวันตกของโมอิเนธรัสต์ (Moine Thrust) บนแผ่นดินใหญ่ของสกอตแลนด์ และบนเกาะคอลล์ (Coll) และไทรี (Tiree)[20] หินเหล่านี้ส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดจากหินอัคนี โดยมีส่วนผสมของหินอ่อนแปร, หินควอตไซต์ และหินไมกาชิสต์ (mica schist) พร้อมทั้งมีการแทรกตัวของพนังบะซอลต์และแมกมาของหินแกรนิตในภายหลัง[21]
- มอร์ตันไนส์ (Morton Gneiss) เป็นหินไนส์ที่มีอายุร่วมสมัยบรมยุคอาร์เคียน ซึ่งโผล่ขึ้นในหุบเขาแถบแม่น้ำมินนิโซตา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา เชื่อกันว่าเป็นชิ้นส่วนเปลือกทวีปที่คงสภาพสมบูรณ์ที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา[22]
- หินไนส์คาบสมุทร (Peninsular Gneiss) เป็นลำดับชั้นของหินไนส์ที่มีอายุร่วมสมัยบรมยุคอาร์เคียน ซึ่งพบได้ทั่วพื้นที่หินฐานทวีปอินเดีย (Indian Shield) โดยมีอายุระหว่าง 3,400 ถึง 2,500 ล้านปี[23][24]
นิรุกติศาสตร์
[แก้]คำว่า "ไนส์" (gneiss) ถูกใช้ในภาษาอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1757[25] หรือก่อนหน้านั้น โดยยืมมาจากคำในภาษาเยอรมัน Gneis ซึ่งเดิมสะกดว่า Gneiss เช่นกัน คำนี้อาจมีที่มาจากคำนามในภาษาเยอรมันสูงยุคกลาง (Middle High German) คำว่า gneist ซึ่งแปลว่า "ประกายไฟ" เนื่องจากหินชนิดนี้มีลักษณะแวววาวเหมือนประกายไฟ[26]
การใช้ประโยชน์
[แก้]หินไนส์ถูกนำมาใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง เช่นหินเฟคอยดัลไนส์ (Facoidal gneiss) ซึ่งมีการใช้งานอย่างกว้างขวางในเมืองริโอเดจาเนโร[27] นอกจากนี้ หินไนส์ยังถูกนำมาใช้เป็นวัสดุผสมในการก่อสร้าง เช่น การผสมยางมะตอยสำหรับพื้นถนน[28]
ดูเพิ่มเติม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Yardley, B. W. D. (1989). An introduction to metamorphic petrology. Longman earth science series. Harlow, Essex, England : New York: Longman Scientific & Technical ; Wiley. ISBN 978-0-582-30096-5.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 Robertson, S. (1999). "BGS Rock Classification Scheme, Volume 2: Classification of metamorphic rocks" (PDF). British Geological Survey Research Report. RR 99-02. Retrieved 27 February 2021.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Schmid, R.; Fettes, D.; Harte, B.; Davis, E.; Desmons, J. (2007). "How to name a metamorphic rock.". Metamorphic Rocks: A Classification and Glossary of Terms: Recommendations of the International Union of Geological Sciences Subcommission on the Systematics of Metamorphic Rocks (PDF). Cambridge: Cambridge University Press. pp. 3–15. Retrieved 28 February 2021.
- ↑ Blatt, Harvey; Tracy, Robert J. (1996). Petrology: igneous, sedimentary and metamorphic (2nd ed ed.). New York: W. H. Freeman and company. ISBN 978-0-7167-2438-4.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help) - ↑ Jackson, Julia A.; Bates, Robert Latimer; American Geological Institute, บ.ก. (1997). Glossary of geology (4th ed ed.). Alexandria, Va: American Geological Institute. ISBN 978-0-922152-34-6.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help) - ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 Marshak, Stephen (2013). Essentials of geology (4. ed ed.). New York: Norton. ISBN 978-0-393-91939-4.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help) - ↑ Yardley, 1989 p. 22. ISBN 0582300967.
- ↑ Blatt & Tracy 1996, p. 359. ISBN 0716724383
- ↑ Fossen, Haakon (2016). Structural Geology (1st ed ed.). Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 978-1-107-05764-7.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help) - ↑ Blatt & Tracy 1996, pp. 358–359. ISBN 0716724383.
- ↑ British Geological Survey 1999, p. 11.
- ↑ Sawyer, Edward W. (2008). Atlas of migmatites. The Canadian mineralogist. Special publication. Association minéralogique du Canada, Conseil national de recherches. Ottawa: NRC research press. ISBN 978-0-660-19787-6.
- ↑ Bjørn Hageskov (1985): Constrictional deformation of the Koster dyke swarm in a ductile sinistral shear zone, Koster islands, SW Sweden. Bulletin of the Geological Society of Denmark 34 (3–4): 151–97
- ↑ British Geological Survey 1999, pp. 5–6.
- ↑ Kearey, Philip; Klepeis, Keith A.; Vine, Frederick J. (2009). Global tectonics (3rd ed ed.). Chichester, West Sussex: Wiley-Blackwell. ISBN 978-1-4051-0777-8.
{{cite book}}
:|edition=
has extra text (help) - ↑ Whitney, D.L; Teyssier, C.; Vanderhaeghe, O. (2004). "Gneiss domes and crustal flow". In Whitney, D.L.; Teyssier, C.; Siddoway, C.S. (eds.). Gneiss domes in orogeny: Boulder, Colorado, Geological Society of America Special Paper 380. Retrieved 5 July 2021.
- ↑ Teyssier, Christian; Whitney, Donna L. (2002). "Gneiss domes and orogeny". Geology (ภาษาอังกฤษ). 30 (12): 1139. doi:10.1130/0091-7613(2002)030<1139:GDAO>2.0.CO;2. ISSN 0091-7613.
- ↑ Yin, A. (2004). "Gneiss domes and gneiss dome systems". In Whitney, D.L.; Teyssier, C.; Siddoway, C.S. (eds.). Gneiss domes in orogeny (PDF). Boulder, Colorado: Geological Society of America. pp. 1–14. Special Paper 380. Retrieved 4 July 2021.
- ↑ Bowring, S.A., and Williams, I.S., 1999. Priscoan (4.00–4.03 Ga) orthogneisses from northwestern Canada. Contributions to Mineralogy and Petrology, v. 134, 3–16
- ↑ Gillen, Con (2003). Geology and landscapes of Scotland. Harpenden: Terra. p. 44. ISBN 1-903544-09-2.
- ↑ McKirdy, Alan (2007). Land of mountain and flood : the geology and landforms of Scotland. Edinburgh: Birlinn. p. 95. ISBN 978-1-84158-357-0.
- ↑ "GO 326 Morton Gneiss". web.archive.org. 2014-11-26. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-26. สืบค้นเมื่อ 2025-01-21.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Peninsular Gneiss". Geological Survey of India. Archived from the original on 21 July 2011. Retrieved 2009-02-27.
- ↑ "National Geological Monuments, pages 96, Peninsular Gneiss, page29-32". Special Publication Series. Geological Survey of India,27, Jawaharlal Nehru Road, Kolkata-700016. 2001. ISSN 0254-0436.
- ↑ Henckel, Johann Friedrich (1757). Pyritologia, or a History of the Pyrites …. London, England: A. Millar and A. Linde. p. 308. From p. 308: " … to which we may add this conjecture, that the black vein-stone, or rock, usually called kneiss, at Friberg, … "
- ↑ "gneiss | Search Online Etymology Dictionary". www.etymonline.com.
- ↑ Castro, Nuria Fernández; Mansur, Kátia Leite; Frascá, Maria Heloisa Barros de Oliveira; Silva, Rosana Elisa Coppedê (2021-03-01). "A heritage stone of Rio de Janeiro (Brazil): the Facoidal gneiss". Episodes (ภาษาอังกฤษ). 44 (1): 59–74. doi:10.18814/epiiugs/2020/0200s13. ISSN 0705-3797.
- ↑ Chen, Zongwu; Wu, Shaopeng; Wen, Jin; Zhao, Meiling; Yi, Mingwei; Wan, Jiuming (2015-09). "Utilization of gneiss coarse aggregate and steel slag fine aggregate in asphalt mixture". Construction and Building Materials (ภาษาอังกฤษ). 93: 911–918. doi:10.1016/j.conbuildmat.2015.05.070.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help)