สงครามโลกครั้งที่สาม
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/5d/Castle_Bravo_Blast.jpg/300px-Castle_Bravo_Blast.jpg)
สงครามโลกครั้งที่สาม (อังกฤษ: World War III หรือ Third World War; มักย่อเป็น WWIII) เป็นคำที่ใช้กล่าวถึงสงครามโลกที่ถูกสมมติขึ้นว่าจะเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง มีการกล่าวถึงสงครามโลกครั้งที่สามมาตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1941[1] ในบางครั้ง คำว่า "สงครามโลกครั้งที่สาม" ก็ถูกนำไปใช้เพื่อกล่าวถึงความขัดแย้งขนาดย่อย เช่น สงครามเย็นหรือสงครามต่อต้านการก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม มีการสันนิษฐานว่าหากความขัดแย้งขนาดใหญ่เช่นนั้นเกิดขึ้น จะส่งผลเสียหายเป็นวงกว้างกว่าสงครามโลกที่ผ่านมาทั้งสองครั้ง[2]
จากการที่อาวุธนิวเคลียร์ถูกพัฒนาขึ้นในโครงการแมนแฮตตัน จนกระทั่งมีการนำไปใช้ที่เมืองฮิโระชิมะและนางาซากิ และการที่อาวุธนิวเคลียร์ถูกพัฒนาและเก็บสะสมไว้โดยหลายประเทศ ทำให้มีการจินตนาการถึงสงครามโลกครั้งที่สามว่าอาจเป็นหายนะนิวเคลียร์ที่ทำลายล้างอารยธรรมและสิ่งมีชีวิตทั่วโลกในวงกว้าง
ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะเกิดขึ้น มีความเชื่อว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็น "สงครามเพื่อยุติสงครามทั้งปวง" มีความเชื่อว่าสงครามที่ใหญ่ในระดับนี้ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้อีก ในช่วงเวลานั้น สงครามโลกครั้งที่หนึ่งถูกเรียกอย่างเรียบง่ายว่า "มหาสงคราม" มีความหวังว่า หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลงแล้ว มนุษยชาติจะสามารถก้าวข้ามความขัดแย้งและสงครามได้ อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่สองทำให้ความหวังนี้หมดไป[3]
การเริ่มต้นของสงครามเย็นใน ค.ศ. 1945 และการที่อาวุธนิวเคลียร์แพร่หลายไปถึงสหภาพโซเวียตทำให้โอกาสเกิดสงครามโลกครั้งที่สามเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงสงครามเย็น กองทัพและรัฐบาลของหลาย ๆ ประเทศมีการวางแผนรับมือสงครามโลกครั้งที่สาม มีการคาดเดาเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สามไว้อย่างหลากหลาย บ้างก็คาดว่าสงครามครั้งนี้จะเป็นสงครามตามแบบ (Conventional warfare) บ้างก็คาดว่าจะเป็นสงครามนิวเคลียร์ มีแนวคิดว่า หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้น การสู้รบด้วยอาวุธนิวเคลยร์จะทำให้ชาติต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามถูกทำลายไปจนหมด แนวคิดดังกล่าวอาจมีผลทำให้ผู้นำของสหรัฐและสหภาพโซเวียตหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ จนสงครามเย็นสิ้นสุดลง
ความขัดแย้งระหว่างชาติต่าง ๆ ในศตวรรษที่ 21 (รวมถึงการรุกรานยูเครนโดยรัสเซียเมื่อ ค.ศ. 2022 ซึ่งเป็นความขัดแย้งครั้งล่าสุด) ทำให้เกิดความวิตกกังวลมาหลายครั้งว่าอาจเกิดการบานปลายจนกลายเป็นขนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่สาม[4][5]
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4a/Commons-logo.svg/30px-Commons-logo.svg.png)
อ้างอิง
[แก้]![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/fa/Wikiquote-logo.svg/34px-Wikiquote-logo.svg.png)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/ec/Wiktionary-logo.svg/40px-Wiktionary-logo.svg.png)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4a/Commons-logo.svg/30px-Commons-logo.svg.png)
- ↑ "Foreign News: World War III?". Time. 3 November 1941. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 October 2017. สืบค้นเมื่อ 12 August 2017.
- ↑ The New Quotable Einstein. Alice Calaprice (2005), p. 173.
- ↑ Safire, William (2008). Safire's Political Dictionary. Oxford University Press US. pp. 792–3. ISBN 978-0-19-534334-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 July 2021. สืบค้นเมื่อ 2010-08-24.
- ↑ "This Is What World War III Will Look Like". Time (ภาษาอังกฤษ). 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2020. สืบค้นเมื่อ 22 March 2020.
- ↑ Is this the start of World War III? | DW | 05.10.2022 (ภาษาอังกฤษแบบบริติช), Deutsche Welle, สืบค้นเมื่อ 2022-10-11