ลิ้มโต๊ะเคี่ยม
ลิ้มโต๊ะเคี่ยม | |
---|---|
林道乾 | |
เกิด | คริสต์ศตวรรษที่ 16 ภูมิภาคแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง จีนสมัยราชวงศ์หมิง |
เสียชีวิต | คริสต์ทศวรรษ 1580? ปาตานี |
อาชีพ | โจรสลัด |
ลิ้มโต๊ะเคี่ยม (จีน: 林道乾; พินอิน: Lín Dàoqián; เวด-ไจลส์: Lin Tao-ch'ien; เป่อ่วยยี: Lîm tō-khiân, มลายู: Tok Kayan) เป็นโจรสลัดชาวจีนแต๋จิ๋วที่โจมตีชายฝั่งกวางตุ้งกับฝูเจี้ยน แต่ถูกผู้บังคับบัญชากองเรือแห่งราชวงศ์หมิง หยู่ ต้าโหย่ว ขับไล่ไปที่ไต้หวัน ต่อมาเขาย้ายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งถิ่นฐาน และเสียชีวิตที่ปาตานี[1]
ชีวิต
[แก้]ลิ้มมีต้นกำเนิดเป็นชาวแต้จิ๋ว และเขาอาจมาจากเฉิงไห่หรือฮุ่ยหลายในมณฑลกวางตุ้ง[2][3] ต่อมาเขาย้ายไปที่เฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยน[4] ลิ้มเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโจรสลัดโวโก้วที่ปล้นสะดมริมชายฝั่งจีนในรัชสมัยจักรพรรดิเจียจิ้ง (1522–1566) เขาโจมตีเจ้าอาน โดยเขาเผาบ้านมากกว่าร้อยหลังและฆ่าคนมากกว่าพันคน[1] ด้วยเหตุนี้ กองเรือราชวงศ์หมิงที่นำโดยหยู่ ต้าโหย่ว ขับไล่ลิ้มไปที่หมู่เกาะเผิงหู และต่อมาที่เป่ย์กั่ง ประเทศไต้หวัน หลังขับไล่ลิ้มออกไป หยู่ก็ครอบครองเผิงหู แต่ไม่ไล่ตามลิ้มต่อที่ไต้หวัน[5]
ลิ้มเป็นที่รู้จักจากปฏิบัติการที่จามปาและเกาะลูซอนในประเทศฟิลิปปินส์[6] ใน ค.ศ. 1567 เขาไปปล้นสะดมที่ชายฝั่งจีนอีกครั้ง และใน ค.ศ. 1568 เจ้าหน้าที่ราชวงศ์หมิงตั้งหมายจับลิ้มเพื่อจับกุมเขา[7] ในช่วงหนึ่ง เขาถูกโจมตีโดยลิ้ม เฟิ่ง หัวหน้าโจรสลัดอีกคนที่ยึดเรือของเขา 55 ลำ[8] บันทึกราชวงศ์หมิงกล่าวถึงลิ้มว่า"เจ้าเล่ห์และเล่นกลมากที่สุด"[9] และอาจจะก่อกบฎและสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้าหน้าที่ราชวงศ์หมิง[10] มีรายงานใน ค.ศ. 1573 ว่าเขาได้ก่อกบฎและหนีไปหลบภัยที่ต่างประเทศ[11]
ในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ทศวรรษ 1570 ลิ้มได้ทำปฏิบัติการในพื้นที่ปาตานีแล้ว และกองทัพหมิงได้เข้าร่วมกับกองทัพเรือสยามและเรือโปรตุเกสเพื่อโจมตีพวกโจรสลัด[12] ใน ค.ศ. 1578 เขาตั้งฐานที่ปาตานีกับผู้ติดตาม 2,000 คน[13] ข้อมูลสมัยราชวงศ์หมิงบันทึกว่า ใน ค.ศ. 1578 เขาโจมตีเรือสยามแต่ถูกต้านทานไว้ และใน ค.ศ. 1580 เขาโจมตีอีกครั้ง และออกจากสยามในปีต่อมา[14] เจ้าหน้าที่ราชวงศ์หมิงพยายามจับกุมเขาในตอนที่กำลังโจมตีเรือจีนใน ค.ศ. 1580–81 หลัง ค.ศ. 1581 ก็ไม่มีรายงานกิจกรรมโจรสลัดของเขาแล้ว ซึ่งมีข้อเสนอว่าเขาได้เกษียณและตั้งถิ่นฐานที่ปาตานี[12]
ที่ปาตานี ลิ้มได้ครอบครองที่ดินศักดินาและก่อตั้งเมืองท่าขนาดเล็กใกล้ปาตานี กล่าวกันว่าเขาเป็นหัวหน้าศุลกากร ในขณะที่สมาชิกของเขาได้รับชื่อเสียงจากการบริการผู้ปกครองปาตานี[15][16] รายงานจากความเชื่อพื้นบ้านปาตานี เขาแต่งงานกับพระราชธิดาสุลต่าน เข้ารับอิสลาม และสร้างมัสยิด กล่าวกันว่าเขาเสียชีวิตขณะทดสอบปืนใหญ่ที่ทำมาถวายแก่พระราชินีปาตานี[17] บางส่วนกล่าวแนะว่า เขาเสียชีวิตในคริสต์ทศวรรษ 1580 ในขณะที่บางส่วนกล่าวแนะว่า เขายังคงมีชีวิตอยู่ในรัชสมัยรายาบีรูในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 เชื่อว่าเขาถูกฝังที่กูโบร์บูกิตจีนอ (Kubo Bukit Cina; ป่าช้าจีน) สุสานชาวจีนที่เก่าแก่ที่สุดในปาตานี[18]
เรื่องราวและตำนาน
[แก้]ในไต้หวัน
[แก้]มีตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับลิ้มหลายแบบที่ไต้หวัน ถึงแม้ว่าข้อมูลทางประวัติศาสตร์ให้ข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน และไม่กระจ่างว่าเขาอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่ ตามรายงานจากตำนาน ลิ้มสังหารชาวไต้หวันจำนวนมาก เพื่อนำเลือดของพวกเขาไปอุดรูบนเรือ[19][20] กล่าวกันว่า เมื่อเขาลงจอดที่เกาสฺยง ประเทศไต้หวันใน ค.ศ. 1563 ลิ้มซ่อนสมบัติลงในตะกร้าไม้ไผ่จำนวนสิบแปดและอีกครึ่งอันในบริเวณเนินเขารอบ ๆ ทำให้เนินเขาเกาสฺยงมีอีกชื่อหนึ่งว่าเนินเขาฝังทอง (埋金山) อีกเรื่องหนึ่งบันทึกว่า ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าพูดกับลิ้มว่า เขาสามารถครอบครองจีนทั้งหมดได้ ถ้าหลังจากฝึกภารกิจบางอย่างครบร้อยวัน เขาจะยิงธนูสามอันไปที่ปักกิ่งในตอนเช้าของวันสุดท้าย ปรมาจารย์ให้ธนูวิเศษสามดอกและ"ไก่โต้งวิเศษ" ลิ้มยกไก่ให้จินเหลียน (金蓮) พี่/น้องสาวของเขาดูแล ในช่วงเที่ยงคืนของวันสุดท้าย จินเหลียนทำให้ไก่โต้งตื่นโดยไม่ตั้งใจ ทำให้มันส่งเสียงร้อง ลิ้มตื่นขึ้นมาและเข้าใจผิดว่าเป็นช่วงเช้าแล้ว จึงยิงธนูวิเศษสามดอกกับชื่อของเขาไปที่เมืองหลวงจักรวรรดิ ธนูทั้งสามบินไปถึงพระราชวังต้องห้าม จิ้มบัลลังก์มังกร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นช่วงเที่ยงคืน บัลลังก์จึงว่าง พระจักรพรรดิพบธนูสามดอกที่มีชื่อลิ้มบนนั้น ทำให้รู้ว่าเขาพยายามปลงพระชนม์พระองค์ ทำให้พระองค์สั่งกองทัพไปฆ่าลิ้มเสีย[21]
ในปาตานี
[แก้]ชาวแต้จิ๋วในประเทศไทยเล่าเรื่องราวของลิ้มไว้มากมาย หนึ่งในนั้นคือ เขาเคยช่วยสยามสู้รบต่อการโจมตีของอันนัม และพระองค์ประทานพระราชธิดาเพื่ออภิเษกสมรส อย่างไรก็ตาม เขาทำให้พระองค์ทรงกริ้วหลังเล่นมุขการปลงพระชนม์กษัตริย์ ทำให้ต้องหนีไป[17] ส่วนอีกเรื่องกล่าวถึงตำนานลิ้มกอเหนี่ยว โดยเธอพยายามให้พี่ชายกลับจีนหลังพบว่าพี่ชายแต่งงานกับเจ้าหญิงในปาตานี เข้ารับอิสลาม และสร้างมัสยิดที่กรือเซะ ปาตานี แต่พี่ชายไม่ยอมกลับบ้าน ทำให้เธอฆ่าตัวตายใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์[15][18] กล่าวกันว่า พี่ชายสร้างสุสานของเธอที่อยู่ถัดจากมัสยิดกรือเซะ แต่อันที่จริงมันถูกสร้างในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ศาลเจ้าที่มีชื่อเธออยู่ในปัตตานี และมีชาวจีนทั้งในภาคใต้และต่างประเทศมาสักการะกัน[4][22][23]
รายงานจาก พงศาวดารเมืองปัตตานี เขาพยายามหล่อปืนใหญ่ทองแดงสามอันที่ใช้ในสงครามปาตานี และประสบความล้มเหลวกับปืนใหญ่อันที่สามที่ใหญ่ที่สุด เขายอมสละชีพตนเองถ้าทำปืนใหญ่นี้เสร็จ แล้วปืนใหญ่ระเบิดหลังนำไปทดสอบ[17] รายงานชาวจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 19 อ้างว่า ผู้นำปาตานีเป็นลูกหลานของเขา[24]
มรดกตกทอด
[แก้]กล่าวกันว่า ผลงานที่ลิ้มทำในบริเวณนี้อาจมีอิทธิพลให้ชาวแต้จิ๋วอพยพมาที่ประเทศไทยในปีถัดมา[2] ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีชาวจีนตั้งถิ่นฐานในปาตานีมานานแล้ว Olivier van Noort พ่อค้าชาวดัตช์ กล่าวถึงกลุ่มพ่อค้าจากปาตานีในประเทศบรูไนใน ค.ศ. 1601 และสังคมในปาตานีมีความเป็นจีนมากพอที่จะมีกษัตริย์เป็นของตนเอง และใช้กฎหมายเดียวกันกับจีน[25] Jacob van Neck ชาวดัตช์อีกคน รายงานใน ค.ศ. 1603 โดยประมาณว่ามีชาวจีนในปาตานีเท่ากับชาวมลายูท้องถิ่น[26] ชาวมลายูหลายคนที่กรือเซะอ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากลิ้ม ถึงแม้ว่าหลายคนอาจเป็นลูกหลานของผู้ติดตามของเขาที่แต่งงานกับหญิงสาวท้องถิ่น[17]
ปืนใหญ่พญาตานีที่บางส่วนเชื่อว่าสร้างโดยลิ้ม ถูกนำไปที่กรุงเทพหลังสยามยึดเมืองปาตานีใน ค.ศ. 1785 และปัจจุบันตั้งอยู่หน้ากระทรวงกลาโหมที่กรุงเทพ[27] ปืนใหญ่นี้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดปัตตานี โดยใน ค.ศ. 2013 มีการสร้างแบบจำลองหน้ามัสยิดกรือเซะ แต่ถูกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทำลาย โดยเห็นว่าเป็น'ของปลอม' และต้องการปืนใหญ่จริง ๆ กลับมา[28][29]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Graham Gerard Ong-Webb, บ.ก. (30 June 2007). Piracy, Maritime Terrorism and Securing the Malacca Straits. ISEAS Publishing. p. 236. ISBN 978-9812304179.
- ↑ 2.0 2.1 Yen Ching-hwang (2013-09-13). Ethnic Chinese Business In Asia: History, Culture And Business Enterprise. World Scientific Publishing Company. p. 57. ISBN 9789814578448.
- ↑ Yow Cheun Hoe (2013). Guangdong and Chinese Diaspora: The Changing Landscape of Qiaoxiang. Routledge. ISBN 9781136171192.
- ↑ 4.0 4.1 Tamaki, Mitsuko (December 2007). "The prevalence of the worship of Goddess Lin Guniang by the ethnic Chinese in southern Thailand" (PDF). G-SEC Working Paper. 22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-01-24. สืบค้นเมื่อ 2021-09-01.
- ↑ Wong Young-tsu (2017). "Unrest on the China Coast". China's Conquest of Taiwan in the Seventeenth Century. Springer, Singapore. p. 25. doi:10.1007/978-981-10-2248-7_2. ISBN 978-981-10-2248-7.
- ↑ Igawa Kenji (1 June 2010). Robert J. Antony (บ.ก.). Elusive Pirates, Pervasive Smugglers: Violence and Clandestine Trade in the Greater China Seas. Hong Kong University Press. p. 80. ISBN 978-9888028115.
- ↑ "Long-qing: Year 2, Month 9, Day 29". Southeast Asia in the Ming Shi-lu: an open access resource. แปลโดย Geoff Wade. Asia Research Institute and the Singapore E-Press, National University of Singapore.
- ↑ Mendoza's Historie of the Kingdome of China, Volume 2. 1854. p. 7.
- ↑ "LLong-qing: Year 3, Month 7, Day 23". Southeast Asia in the Ming Shi-lu: an open access resource. แปลโดย Geoff Wade. Asia Research Institute and the Singapore E-Press, National University of Singapore.
- ↑ "Long-qing: Year 3, Month 6, Day 1". Southeast Asia in the Ming Shi-lu: an open access resource. แปลโดย Geoff Wade. Asia Research Institute and the Singapore E-Press, National University of Singapore.
- ↑ "Wan-li: Year 1, Month 5, Day 14". Southeast Asia in the Ming Shi-lu: an open access resource. แปลโดย Geoff Wade. Asia Research Institute and the Singapore E-Press, National University of Singapore.
- ↑ 12.0 12.1 Geoff Wade (30 August 2013). Patrick Jory (บ.ก.). Ghosts of the Past in Southern Thailand: Essays on the History and Historiography of Patani. NUS Press. pp. 67–69. ISBN 978-9971696351.
- ↑ Anthony Reid (30 August 2013). Patrick Jory (บ.ก.). Ghosts of the Past in Southern Thailand: Essays on the History and Historiography of Patani. NUS Press. p. 7. ISBN 978-9971696351.
- ↑ Geoff Wade (September 2000). "The "Ming shi-lu" as a Source for Thai History: Fourteenth to Seventeenth Centuries". Journal of Southeast Asian Studies. 31 (2): 249–294. doi:10.1017/s0022463400017562. hdl:10722/42537. JSTOR 20072252.
- ↑ 15.0 15.1 Francis R. Bradley (2008). "Piracy, Smuggling, and Trade in the Rise of Patani, 1490–1600" (PDF). Journal of the Siam Society. 96: 27–50.
- ↑ Bougas, Wayne A. (1994). The Kingdom of Patani: Between Thai and Malay Mandalas. Institut Alam dan Tamadun Melayu, Universiti Kebangsaan Malaysia. p. 45.
- ↑ 17.0 17.1 17.2 17.3 Geoff Wade (2004). "From Chaiya to Pahang: The Eastern Seaboard of the Peninsula in Classical Chinese Texts". ใน Daniel Perret (บ.ก.). Études sur l'histoire du sultanat de Patani. École française d'Extrême-Orient. pp. 75–78. ISBN 9782855396507.
- ↑ 18.0 18.1 Bougas, Wayne (1990). "Patani in the Beginning of the XVII Century". Archipel. 39: 133. doi:10.3406/arch.1990.2624.
- ↑ Camille Imbault-Huart (1893). L'île Formose : histoire et description. p. 5.
- ↑ 呂自揚. "林道乾傳說". Kaohsiung Stories. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-24. สืบค้นเมื่อ 2021-09-01.
- ↑ 雪珥 (2013). 大國海盜. pp. 87–88. ISBN 9789573272069.
- ↑ Anthony Reid (30 August 2013). Patrick Jory (บ.ก.). Ghosts of the Past in Southern Thailand: Essays on the History and Historiography of Patani. NUS Press. pp. 12–13. ISBN 978-9971696351.
- ↑ "ตำนานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว". Pattani Heritage City.
- ↑ Geoff Wade (30 August 2013). Patrick Jory (บ.ก.). Ghosts of the Past in Southern Thailand: Essays on the History and Historiography of Patani. NUS Press. pp. 75–76. ISBN 978-9971696351.
- ↑ Anthony Reid (30 August 2013). Patrick Jory (บ.ก.). Ghosts of the Past in Southern Thailand: Essays on the History and Historiography of Patani. NUS Press. p. 20. ISBN 978-9971696351.
- ↑ Anthony Reid (30 August 2013). Patrick Jory (บ.ก.). Ghosts of the Past in Southern Thailand: Essays on the History and Historiography of Patani. NUS Press. pp. 22–23. ISBN 978-9971696351.
- ↑ Le Roux, Pierre (1998). "Bedé kaba' ou les derniers canons de Patani". Bulletin de l'École française d'Extrême-Orient. 85: 125–162. doi:10.3406/befeo.1998.2546.
- ↑ Veera Prateepchaikul (14 June 2013). "Time to return the Phaya Tani cannon". Bangkok Post.
- ↑ "Phaya Tani replica cannon bombed". Bangkok Post. 11 June 2013.