มัสยิดอันนะบะวี
มัสยิดอันนะบะวี | |
---|---|
ٱلْمَسْجِد ٱلنَّبَوِي | |
มัสยิดมองจากทางใต้ โดยมีตัวนครมะดีนะฮ์เป็นฉากหลัง | |
ศาสนา | |
ศาสนา | อิสลาม |
จารีต | ซิยาเราะฮ์ |
หน่วยงานกำกับดูแล |
|
ที่ตั้ง | |
ที่ตั้ง | อัลฮะรอม อัลมะดีนะฮ์ 42311, อัลฮิญาซ |
ประเทศ | ซาอุดีอาระเบีย |
ผู้บริหาร | หน่วยงานของประธานใหญ่ฝ่ายกิจการของมัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 24°28′6″N 39°36′39″E / 24.46833°N 39.61083°E |
สถาปัตยกรรม | |
ประเภท | ศาสนา |
รูปแบบ | อิสลาม |
ผู้ก่อตั้ง | มุฮัมมัด |
เริ่มก่อตั้ง | ค.ศ. 623 (ฮ.ศ. 1) |
ลักษณะจำเพาะ | |
ความจุ | 1,000,000[1] |
หอคอย | 10 |
ความสูงหอคอย | 105 เมตร (344 ฟุต) |
จารึก | โองการจากอัลกุรอาน และพระนามอัลลอฮ์และชื่อมุฮัมมัด |
เว็บไซต์ | |
wmn |
มัสยิดอันนะบะวี (อาหรับ: ٱلْمَسْجِد ٱلنَّبَوِي, "มัสยิดของท่านศาสดา") เป็นมัสยิดที่สองที่สร้างขึ้นโดยศาสดามุฮัมมัดที่มะดีนะฮ์ (สร้างหลังจากมัสยิดกุบาอ์) และมัสยิดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอิสลามอันดับ 2 (เป็นรองเพียงมัสยิดอัลฮะรอมที่มักกะฮ์) ในแคว้นฮิญาซ ประเทศซาอุดีอาระเบีย[2]
มุฮัมมัดก็มีส่วนในการสร้างมัสยิดนี้ ในเวลานัั้น ที่ดินมัสยิดเป็นของเด็กกำพร้าสองคนชื่อ Sahl กับ Suhayl และเมื่อทั้งสองรู้ว่าท่านศาสดาหวังที่จะซื้อที่ดินเพื่อสร้างมัสยิด ทั้งคู่จึงไปหาท่านและให้ที่ดินนี้เป็นของขวัญ แต่มุฮัมมัดต้องการจ่ายเงินซื้อที่ดินเพราะทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้า ราคาที่ตกลงร่วมกันได้รับความตกลงจากอะบู อัยยูบ อัลอันศอรี ซึ่งกลายเป็นผู้บริจาค (อาหรับ: وَاقِف, อักษรโรมัน: wāqif) ของมัสยิด ในนามหรือความโปรดปรานของมุฮัมมัด[3]
มัสยิดนี้เคยเป็นอาคารเปิดโล่งที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์ชุมชน ศาลกฎหมาย และโรงเรียนสอนศาสนา ผู้นำอิสลามยุคต่อมาขยายและตกแต่งมัสยิิด ตั้งชื่อกำแพง ประตู หออะษานตามตนเองและบรรพบุรุษของตน หลังการขยายในรัชสมัยเคาะลีฟะฮ์ อัลวะลีดที่ 1 แห่งอุมัยยะฮ์ มัสยิดนี้จึงรวมสถานที่พำนักแห่งสุดท้ายของมุฮัมมัดกับอะบูบักร์และอุมัร เคาะลีฟะฮ์รอชิดูนสององค์แรก[4] หนึ่งในจุดเด่นที่สำคัญที่สุดคือโดมเขียวในมุมตะวันออกเฉียงใต้ของมัสยิด[5] เดิมเป็นที่ตั้งของบ้านอาอิชะฮ์[4] ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานศาสดามุฮัมมัด
มัสยิดนี้เปิดทุกวันตลอดเวลา เว้นแต่จะมีการปิดในช่วงหนึ่ง เช่นเมื่อโควิด-19 ระบาดใน ค.ศ. 2020[6]
ประวัติ
[แก้]ช่วงแรก
[แก้]มัสยิดนี้ถูกสร้างโดยศาสดามุฮัมมัดในปี ค.ศ. 622 หลังจากท่านมาเมืองมะดีนะฮ์[7] โดยการขี่อูฐที่ชื่อก็อสวะฮ์ ที่ดินนี้ครอบครองโดยซะฮัล และซุฮัยล์ เป็นบริเวณที่มีต้นอินทผลัมที่กำลังจะตาย และเคยเป็นที่ฝังศพมาก่อน[8] ท่านปฏิเสธ "การให้ที่ดินเป็นของขวัญ" และซื้อที่ดินนี้พร้อมกับสร้างมัสยิดนี้โดยใช้เวลา 7 เดือน[8] โดยมีหลังคาเป็นใบอินทผลัมและนำลำต้นทำเป็นเสาที่มีความสูง 3.60 m (11.8 ft) และมีสามประตูที่มีชื่อว่า บาบุลเราะฮ์มะฮ์อยู่บริเวณตอนใต้ บาบุลญิบรีลอยู่บริเวณตะวันตก และบาบุนนิซาอยู่บริเวณตะวันออก[9][8]
หลังจากสงครามค็อยบัร ได้มีการขยายมัสยิด[10] โดยขยายไปด้านละ47.32 m (155.2 ft) และเพิ่มอีกสามแถวที่กำแพงฝั่งตะวันตก[11] และไม่ได้ขยายในช่วงที่อะบูบักร์เป็นเคาะลีฟะฮ์คนแรก[11] จนกระทั่งสมัยเคาะลีฟะฮ์อุมัรได้ทำลายบ้านทุกหลังที่อยู่ข้างมัสยิด ยกเว้นบ้านภรรยาของมุฮัมมัด เพื่อขยายมัสยิด[12] โดยเริ่มใช้อิฐในการสร้างกำแพงและโปรยก้อนกรวดบนพื้น มีการยกหลังคาให้สูงถึง 5.6 m (18 ft)
สมัยเคาะลีฟะฮ์อุสมาน ได้รื้อมัสยิดในปี ค.ศ. 649 แล้วสร้างใหม่ให้เป็นมัสยิดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่หันหน้าไปทางมักกะฮ์โดยใช้เวลา 10 เดือน ส่วนจำนวนกำแพงยังคงเหมือนเดิม[13] กำแพงถูกปูด้วยหิน และเปลี่ยนเสาอินตผลัมให้เป็นเสาหินที่เชื่อมกับที่หนีบเหล็ก และเพดานที่ทำมาจากไม้สัก[14]
ช่วงกลาง
[แก้]ในปี ค.ศ. 707 วะลีด อิบน์ อับดุลมะลิกกษัตริย์จากราชวงศ์อุมัยยะฮ์ได้บูรณะมัสยิดใหม่ โดยใช้เวลา 3 ปี เพราะต้องนำวัตถุดิบมาจากจักรวรรดิไบแซนไทน์[15] โดยมีการขยายขนาดมัสยิดจาก 5,094 ตารางเมตร ให้เป็น 8,672 ตารางเมตร มีการสร้างกำแพงกั้นระหว่างมัสยิดและบ้านภรรยาของมุฮัมมัด และเป็นครั้งแรกที่มัสยิดถูกสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูที่มีความยาว 101.76 เมตร (333.9 ฟุต) และเสามินาเร็ต 4 หอที่สร้างล้อมรอบมัสยิดนี้[16]
สมัยกษัตริย์อัลมะฮ์ดีของราชวงศ์อับบาซิยะฮ์ได้ขยายมัสยิดไปทางเหนืออีก 50 เมตร (160 ฟุต) [17] รายงานจากอิบน์ กุต็อยบะฮ์ว่า อัลมะมูนกษัตริย์คนที่สามได้ทำ "งานที่ไม่ได้ระบุ" ไว้ที่มัสยิด ส่วนอัลมุตะวักกิลได้สร้างทางไปที่ประตูสุสานมุฮัมมัดด้วยหินอ่อน[18] และอัลอัชราฟ กอนซุฮ อัลเฆารีได้สร้างโดมหินบนสุสานของท่านเมื่อปี ค.ศ. 1476[19]
เราเฎาะฮ์ได้สร้างโดมบริเวณทางตะวันออกเฉียงใต้ของมัสยิด[5] ในปี ค.ศ. 1817 ในช่วงสุลต่านมาห์มูดที่ 2 แล้วโดมถูกทาเป็นสีเขียวในปี ค.ศ. 1837 และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "โดมเขียว"[4]
และสมัยสุลต่านอับดุล เมจิดที่ 1 ได้ใช้เวลา 13 ปีในการสร้างมัสยิดใหม่ โดยเริ่มในปี ค.ศ. 1849[20] มีการใช้อิฐแดงในการสร้างครั้งนี้ บริเวณมัสยิดถูกขยายไป 1,293 ตารางเมตร มีการเขียนอายะฮ์อัลกุรอานบนกำแพงทางตอนเหนือของมัสยิด และได้สร้าง มัดดารอซะฮ์ เพื่อ "สอนอัลกุรอาน"[21]
สมัยซาอุดี
[แก้]เมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีซะอูด บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูดได้ครอบครองมะดีนะฮ์ในปี ค.ศ. 1905 พร้อมกับผู้ติดตามที่นับถือนิกายวะฮาบีย์ ได้ทำลายเกือบทุกโดมที่อยู่เหนือสุสานในมะดีนะฮ์เพื่อไม่ให้ใครเลื่อมใสในสิ่งนี้[22]และโดมเขียวก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด[23] พวกเขากล่าวว่าสุสานและสถานที่ต่าง ๆ มีพลังบางอย่างที่เป็นสิ่งต้องห้ามในหลัก เตาฮีด[24] สุสานของศาสดามุฮัมมัดถูกทำลายและนำทองและเครื่องประดับออกไป แต่ยังคงเหลือโดมไว้ เนื่องจากการทำลายที่ล้มเหลว หรือเมื่อก่อนมุฮัมมัด อิบน์ อับดุลวะฮับเขียนว่าเขาไม่อยากเห็นโดมถูกทำลาย[22]
หลังจากก่อตั้งประเทศซาอุดีอาระเบียในปี ค.ศ. 1932 ได้มีการขยายมัสยิดในสมัยสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ อิบน์ ซะอูดในปี ค.ศ. 1951 ทรงมีรับสั่งให้รื้อมัสยิดที่อยู่รอบ ๆ เพื่อขยายไปทางตะวันออกและตะวันตก โดยมีการใช้เสาคอนกรีตที่มีประตูโค้ง ส่วนอันเก่าก็ถูกครอบด้วยคอนกรีตและเชื่อมด้วยแหวนทองแดงที่ด้านบน หอสุลัยมานียยะฮ์ และมาญิดียะฮ์ถูกเปลี่ยนให้เป็นหอแบบมัมลูก แล้วเพิ่มหอมินาเร็ตบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของมัสยิด และสร้างห้องสมุดขึ้นตรงบริเวณกำแพงฝั่งตะวันตก[21][25]
จากนั้นสมเด็จพระราชาธิบดีฟัยศ็อล บิน อับดัลอะซีซ อาล ซะอูดได้ขยายมัสยิดไปอีก 40,440 ตารางเมตรในปี ค.ศ. 1974[26] และขยายไปอีกในสมัยของสมเด็จพระราชาธิบดีฟะฮด์ บิน อับดัลอะซีซ อาล ซะอูดในปี ค.ศ. 1985 โดยมีการใช้รถปราบดินในการทำลายสิ่งก่อสร้างรอบ ๆ มัสยิด[27] แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1992 โดยที่มัสยิดมีขนาด 1.7 พันล้านตารางเมตร มีบันไดเลื่อนและพื้นที่ราบอีก 27 แปลง[28]
และในปี ค.ศ. 2012 ได้มีการวางแผนขยายมัสยิดด้วยวงเงินประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2012 ทาง รอยเตอร์ ได้รายงานว่าการขยายครั้งนี้จะจุผู้คนได้ประมาณ 1.6 ล้านคน[29]
สิ่งก่อสร้างที่สำคัญ
[แก้]โดมเขียว
[แก้]โดมเหล่านี้สร้างโดย เราเฎาะฮ์ โดยมีโดมสำหรับมุฮัมมัด, อะบูบักร์ และอุมัร ส่วนโดมที่สี่มีไว้สำหรับนบีอีซา (عِـيـسَى, พระเยซู) โดยมีความเชื่อว่าท่านจะถูกฝังที่นี่ โดมเขียวนี้สร้างในปี ค.ศ. 1817 ในสมัยสุลต่านมาห์มูดที่ 2 และถูกทาสีเขียวในปี ค.ศ. 1837[4]
มิฮรอบ
[แก้]มัสยิดนี้มีสองมิฮรอบ อันหนึ่งสร้างโดยมุฮัมมัด และอีกอันหนึ่งสร้างโดยเคาะลีฟะฮ์อุสมาน[30] ข้าง ๆ มิฮรอบ จะมีโถงสำหรับละหมาด ตัวอย่างเช่น มิฮรอบ ฟาติมะฮ์ (مِـحْـرَاب فَـاطِـمَـة) หรือ มิฮรอบ อัตตาฮัดญุด (مِـحْـرَاب الـتَّـهَـجُّـد) ซึ่งสร้างโดยมุฮัมมัดสำหรับละหมาด ตะฮัดญุด (تَـهَـجُّـد)[31]
มิมบัร
[แก้]มิมบัร (مِـنـۢبَـر) ที่มุฮัมมัดใช้เป็น "ไม้จากต้นอินทผลัม" หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นแบบทามาริสก์ และในปี ค.ศ. 629 ได้เพิ่มขั้นบันไดอีกสามขั้น อะบูบักร์ และอุมัร เคาะลีฟะฮ์สองพระองค์แรกไม่ใช่ขั้นที่สาม "เพื่อเป็นการให้เกียรติศาสดา" แต่เคาะลีฟะฮ์อุสมานได้ตั้งผ้าบนนั้น ส่วนชั้นอื่นถูกคลุมด้วยไม้ตะโก ในปี ค.ศ. 1395 บัยบัรที่ 1 ได้เปลี่ยน มิมบัร ใหม่ และเปลี่ยนอีกรอบในปี ค.ศ. 1417 โดยเชค อัลมะฮ์มูดี หลังจากนั้นจึงถูกเปลี่ยนเป็นแบบหินอ่อนโดยก็อยต์บัยในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 และใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน[31]
หอมินาเร็ต
[แก้]สี่มินาเร็ตแรกมีความสูง 26 ฟุต (7.9 เมตร) สร้างโดยอุมัร และในปี ค.ศ. 1307 มีการเพิ่มมินาเร็ตที่ชื่อว่า บาบุลสะลาม โดยมุฮัมมัด อิบน์ คาลาวุน แล้วบูรณะใหม่โดยเมห์เหม็ดที่ 4 หลังจากการบูรณะในปี ค.ศ. 1994 มีมินาเร็ตสิบหอที่สูง 104 เมตร (341 ฟุต) โดยที่ส่วนด้านบน ด้านล่าง และตรงกลางเป็นลวดลายทรงกระบอก, รูปแปดเหลี่ยม และรูปสี่เหลี่ยมอย่างสมดุล[31]
-
ทางเข้ามัสยิดโดยที่ร่มเปิดอยู่
-
มิฮรอบหลัก
-
รายละเอียดประตูทางเข้าหลัก
-
มัสยิดในช่วงกลางคืน
ดูเพิ่ม
[แก้]- ที่ฝังศพของผู้ก่อตั้งศาสนาต่าง ๆ
- การทำลายสถานที่สำคัญของอิสลามช่วงแรกในซาอุดีอาระเบีย
- สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม นิกายซุนนี
- สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม นิกายชีอะฮ์
- ศิลปะอิสลาม
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "WMN". สืบค้นเมื่อ 26 November 2020.
- ↑ Trofimov, Yaroslav (2008), The Siege of Mecca: The 1979 Uprising at Islam's Holiest Shrine, New York, p. 79, ISBN 978-0-307-47290-8
- ↑ "Masjid-e-Nabwi - IslamicLandmarks.com". IslamicLandmarks.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 29 March 2014. สืบค้นเมื่อ 26 June 2020.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 Ariffin 2005, pp. 88–89, 109
- ↑ 5.0 5.1 Petersen, Andrew (11 March 2002). Dictionary of Islamic Architecture. Routledge. p. 183. ISBN 978-0-203-20387-3.
- ↑ Farrell, Marwa Rashad, Stephen (24 April 2020). "Islam's holiest sites emptied by coronavirus crisis as Ramadan begins". Reuters (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-28. สืบค้นเมื่อ 12 September 2020.
- ↑ "The Prophet's Mosque [Al-Masjid An-Nabawi]". Islam Web. สืบค้นเมื่อ 17 June 2015.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 Ariffin, p. 49.
- ↑ "Gates of Masjid al-Nabawi". Madain Project. สืบค้นเมื่อ 18 March 2018.
- ↑ Ariffin, p. 50.
- ↑ 11.0 11.1 Ariffin, p. 51.
- ↑ Atiqur Rahman. Umar Bin Khattab: The Man of Distinction. Adam Publishers. p. 53. ISBN 978-81-7435-329-0.
- ↑ Ariffin, p. 55.
- ↑ Ariffin, p. 56.
- ↑ NE McMillan. Fathers and Sons: The Rise and Fall of Political Dynasty in the Middle East. Palgrave Macmillan. p. 33. ISBN 978-1-137-29789-1.
- ↑ Ariffin, p. 62.
- ↑ Munt, p. 116.
- ↑ Munt, p. 118.
- ↑ Wahbi Hariri-Rifai, Mokhless Hariri-Rifai. The Heritage of the Kingdom of Saudi Arabia. GDG Exhibits Trust. p. 161. ISBN 978-0-9624483-0-0.
- ↑ Ariffin, p. 64.
- ↑ 21.0 21.1 Ariffin, p. 65.
- ↑ 22.0 22.1 Mark Weston (2008). Prophets and princes: Saudi Arabia from Muhammad to the present. John Wiley and Sons. pp. 102–103. ISBN 978-0-470-18257-4.
- ↑ Doris Behrens-Abouseif; Stephen Vernoit (2006). Islamic art in the 19th century: tradition, innovation, and eclecticism. BRILL. p. 22. ISBN 978-90-04-14442-2.
- ↑ Peskes, Esther (2000). "Wahhābiyya". Encyclopaedia of Islam. Vol. 11 (2nd ed.). Brill Academic Publishers. pp. 40, 42. ISBN 90-04-12756-9.
- ↑ "New expansion of Prophet's Mosque ordered by king". Arab News. สืบค้นเมื่อ 19 June 2015.
- ↑ "Prophet's Mosque to accommodate two million worshippers after expansion". Arab News. สืบค้นเมื่อ 19 June 2015.
- ↑ "Expansion of the Prophet's Mosque in Madinah (3 of 8)". King Fahd Abdulaziz. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 March 2016. สืบค้นเมื่อ 19 June 2015.
- ↑ "Expansion of the two Holy Mosques". Saudi Embassy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2015. สืบค้นเมื่อ 19 June 2015.
- ↑ "Saudi Arabia plans $6bln makeover for second holiest site in Islam". RT. สืบค้นเมื่อ 19 June 2015.
- ↑ Ariffin, p. 57.
- ↑ 31.0 31.1 31.2 "The Prophet's Mosque". Last Prophet. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-15. สืบค้นเมื่อ 19 June 2015.
ข้อมูล
[แก้]- Ariffin, Syed Ahmad Iskandar Syed (2005). Architectural Conservation in Islam : Case Study of the Prophet's Mosque. Penerbit UTM. ISBN 978-983-52-0373-2.
- Bacharach, Jere L. (1996). "Marwanid Umayyad Building Activities: Speculations on Patronage". ใน Necpoğlu, Gülru (บ.ก.). Muqarnas: An Annual on the Visual Culture of the Islamic World, Volume 13. Leiden: Brill. ISBN 90-04-10633-2.
- Hillenbrand, Robert (1994). Islamic Architecture: Form, Function and Meaning. New York: Columbia University Press. ISBN 0-231-10132-5.
- Kennedy, H. (2002). "al-Walīd (I)". ใน Bearman, P. J.; Bianquis, Th.; Bosworth, C. E.; van Donzel, E. & Heinrichs, W. P. (บ.ก.). The Encyclopaedia of Islam, Second Edition. Volume XI: W–Z. Leiden: E. J. Brill. pp. 127–128. ISBN 978-90-04-12756-2.
- Munt, Harry (31 July 2014). The Holy City of Medina: Sacred Space in Early Islamic Arabia. Cambridge University Press. ISBN 978-1-107-04213-1.
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Fahd, Salem Bahmmam (30 January 2014). Pilgrimage in Islam: A description and explanation of the fifth pillar of Islam. Modern Guide, 2014. ISBN 978-1-78338-174-6.
- Hasrat Muhammad the Prophet of Islam. Adam Publishers. ISBN 978-81-7435-582-9.
- Muhammad, Asad (1954). The Road To Mecca. The Book Foundation, 1954. ISBN 978-0-9927981-0-9.
- Sir, Richard Francis Burton (January 1964). Personal Narrative of a Pilgrimage to Al-Madinah & Meccah, Volume 2. ISBN 978-0-486-21218-0.
- Prophet's Mosque: mosque, Medina, Saudi Arabia, in Encyclopædia Britannica Online, by The Editors of Encyclopaedia Britannica, Brian Duignan, Kanchan Gupta, John M. Cunningham and Amy Tikkanen