พระเจ้าโลแทร์แห่งฝรั่งเศส
พระเจ้าโลแทร์แห่งฝรั่งเศส | |||||
---|---|---|---|---|---|
![]() | |||||
พระมหากษัตริย์แห่งชนแฟรงก์ตะวันตก | |||||
รัชสมัย | 954 – 986 | ||||
ก่อนหน้า | พระเจ้าหลุยส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส | ||||
ถัดไป | พระเจ้าหลุยส์ที่ 5 แห่งฝรั่งเศส | ||||
พระราชสมภพ | 941 | ||||
สวรรคต | 986 (พระชนมายุ 45 พรรษา) | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์การอแล็งเฌียง | ||||
พระราชบิดา | พระเจ้าหลุยส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศส | ||||
พระราชมารดา | เจอร์เบอร์กาแห่งแซกโซนี่ |
พระเจ้าโลแทร์แห่งฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Lothaire de France) (941 - 986) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งชนแฟรงค์ตะวันตก พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 14 ในราชวงศ์การอแล็งเฌียง
พระเจ้าโลแทร์ เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าหลุยส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศสกับเจอร์เบอร์กาแห่งแซกโซนี่[1] พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสในขณะที่มีพระชนมายุได้ 13 พรรษา[2]
ขึ้นครองบัลลังก์
[แก้]โลแธร์เสด็จพระราชสมภพในล็องช่วงใกล้สิ้นปี ค.ศ. 941 ทรงเป็นพระโอรสคนโตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 4 กับแกร์แบร์กาแห่งซัคเซิน[3] พระองค์สืบทอดตำแหน่งต่อจากพระบิดาในวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 954 ด้วยพระชนมายุ 13 พรรษา และได้รับการสวมมงกุฎที่วิหารแซ็งต์เรมีโดยอาร์ทูด์แห่งแร็ง อาร์ชบิชอปแห่งแร็งในวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 954[4]
พระราชินีแกร์แบร์กาทำข้อตกลงกับอูกมหาราช ดยุคของชาวแฟรงก์และเคานต์แห่งปารีส น้องเขยผู้เป็นที่ปรึกษาของพระบิดาของพระเจ้าโลแธร์[5] โดยขอให้อูกสนับสนุนการปกครองของพระเจ้าโลธาร์แลกกับการที่อูกจะได้ปกครองดัชชีอากีแตนและพื้นที่หลายแห่งของราชอาณาจักรบูร์กอญ[6] ในฐานะกึ่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระเจ้าโลแธร์ได้รับราชอาณาจักรที่แตกเป็นเสี่ยงเป็นมรดก ผู้ทรงอิทธิพลกลุ่มใหญ่ยึดที่ดิน, สิทธิ์ชอบธรรม และตำแหน่งต่างๆ เป็นของตนโดยแทบไม่สนใจพระราชอำนาจของกษัตริย์[7] ผู้ทรงอิทธิพลอย่างอูกมหาราชกับแอร์แบต์ที่ 2 เคานต์แห่งแวร์ม็องดัวส์มักคอยคุกคามอยู่ลับหลัง[8]
ในปี ค.ศ. 955 พระเจ้าโลแธร์กับอูกมหาราชร่วมกันปิดล้อมปัวติเยส์จนได้เมืองมา เมื่ออูกมหาราชสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 956 พระเจ้าโลแธร์ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษาตกอยู่ภายใต้การพิทักษ์ของบรูโน อาร์ชบิชอปแห่งโคโลญ พระอนุชาของพระเจ้าออทโทที่ 1 แห่งราชอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกซึ่งเป็นพระมาตุลา พระเจ้าโลแธร์เป็นคนไกล่เกลี่ยสงบศึกระหว่างบุตรชายทั้งสองของอูก คือ อูก กาแปกับออทโท ดยุคแห่งบูร์กอญ ตามการแนะนำของบรูโน กษัตริย์พระราชทานปารีสและตำแหน่งดยุคของชาวแฟรงก์ให้อูก กาแป และยกดัชชีบูร์กอญให้บรูโนในปี ค.ศ. 956
ความสัมพันธ์กับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เลวร้ายลง
[แก้]การเป็นผู้พิทักษ์ของอาร์ชบิชอปบรูโนแห่งโคโลญดำเนินไปจนถึงปี ค.ศ. 965 และคอยชี้แนะแนวทางด้านการเมืองให้พระเจ้าโลแธร์สวามิภักดิ์ต่อราชอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกซึ่งวิวัฒนาการเป็นจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวเยอรมัน แม้จะยังเด็ก แต่พระเจ้าโลแธร์ต้องการปกครองเพียงผู้เดียวและต้องการมีอำนาจเหนือข้าราชบริพารมากกว่าที่มีอยู่ ความต้องการเป็นเอกราชทางการเมืองทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับพระญาติฝั่งมารดาตกต่ำลงจนนำไปสู่การทำสงครามกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมา แต่กระนั้นพระเจ้าโลแธร์ก็ยังอยากรักษาสายสัมพันธ์กับจักรพรรดิออทโทที่ 1 ไว้ จึงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอ็มมาแห่งอิตาลี (พระธิดาคนเดียวของจักรพรรดินีอาเดล์ไฮด์แห่งบูร์กอญ พระมเหสีคนที่สองของจักรพรรดิออทโทที่ 1 ทรงเป็นพระธิดาจากการอภิเษกสมรสครั้งแรกกับพระเจ้าโลแธร์ที่ 2 แห่งราชวงศ์โบโซนิดของจักรพรรดินี) ในช่วงต้นปี ค.ศ. 966[9]
ในปี ค.ศ. 962 เบาด์วินที่ 3 เคานต์แห่งฟลานเดอส์ บุตรชาย, ผู้ปกครองร่วม และทายาทของอาร์นูล์ฟที่ 1 เคานต์แห่งฟลานเดอส์ เสียชีวิต อาร์นูล์ฟจึงยกฟลานเดอส์ให้พระเจ้าโลแธร์ เมื่ออาร์นูล์ฟเสียชีวิตในปี ค.ศ. 965 พระเจ้าโลแธร์บุกฟลานเดอส์และยึดหลายเมืองมาได้ แต่สุดท้ายก็ถูกผู้สนับสนุนของอาร์นูล์ฟที่ 2 เคานต์แห่งฟลานเดอส์ขับไล่ พระเจ้าโลแธร์พยายามเพิ่มอิทธิพลในโลธาริงเจียที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในการครอบครองของตระกูลของพระองค์ จักรพรรดิออทโทที่ 2 ได้สนับสนุนการต่อต้านการรุกรานของพระเจ้าโลแธร์[10]
ในปี ค.ศ. 976 เรนเญร์ที่ 4 เคานต์แห่งมงส์กับล็อมแบต์ที่ 1 เคานต์แห่งลูแว็ง สองพี่น้องที่ถูกจักรพรรดิออทโทที่ 2 ปลดลงจากตำแหน่งที่ได้รับสืบทอดต่อจากบิดาหันไปสานสัมพันธไมตรีกับชาร์ลส์ (พระอนุชาของพระเจ้าโลแธร์) และออทโท เคานต์แห่งแวร์ม็องดัวส์ และเดินทัพเพื่อมาต่อสู้กับกองทหารจักรวรรดิ สมรภูมิครั้งใหญ่ที่ยังคงชี้ขาดผลแพ้ชนะไม่ได้เกิดขึ้นในมงส์[11][12] แม้พระเจ้าโลแธร์จะแอบสนับสนุนการทำสงครามครั้งนี้ แต่พระองค์ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือสองพี่น้องโดยตรง
ชาร์ลส์อาศัยสถานการณ์นี้สถาปนาตนเองในโลธาริงเจีย[13] เป้าหมายหลักของพระองค์คือการทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพระเจ้าโลแธร์กับตระกูลอาร์เด็นส์ที่ภักดีต่อจักรพรรดิออทโทและทรงอำนาจมากในโลธาริงเจีย
ในปี ค.ศ. 977 ชาร์ลส์กล่าวหาว่าพระราชินีเอ็มมาคบชู้กับบิชอปอาดัลเบโรนแห่งล็อง เนื่องด้วยขาดหลักฐาน ทั้งพระราชินีและบิชอปจึงพ้นข้อกล่าวหา แต่ชาร์ลส์ที่ยังคงปล่อยข่าวลือไม่เลิกถูกพระเจ้าโลแธร์ขับไล่ออกจากราชอาณาจักร ตระกูลอาร์เด็นส์และกลุ่มชาวโลธาริงเจียที่ทำข้อตกลงกับจักรพรรดิออทโทที่ 2 ครองอำนาจเบ็ดเสร็จในราชสำนักของพระเจ้าโลแธร์
ทว่าจักรพรรดิออทโทที่ 2 โทษว่าเป็นความผิดพลาดของเรนเญร์ที่ 4 กับล็อมแบต์ที่ 2 ที่ไม่สามารถกอบกู้เคานตีแอโนต์กลับคืนมาได้ จึงแต่งตั้งชาร์ลส์เป็นดยุคแห่งโลร์เรนล่าง แคว้นที่รับผิดชอบดูแลครึ่งทางตอนเหนือของโลธาริงเจียซึ่งแยกตัวออกมาจากโลร์เรนล่างมาตั้งแต่ช่วงปลายปี ค.ศ. 950 การให้รางวัลชาร์ลส์ที่คลางแคลงในเกียรติของพระมเหสีของกษัตริย์ของชาวแฟรงก์ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กษัตริย์[14]
สงครามกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
[แก้]เดือนสิงหาคม ค.ศ. 978 พระเจ้าโลแธร์เดินทัพไปโลร์เรนพร้อมกับอูก กาแป ข้ามแม่น้ำเมิซเข้ายึดอาเคิน แต่ไม่สามารถจับกุมตัวจักรพรรดิออทโทที่ 2 หรือชาร์ลส์ได้ จากนั้นะพระเจ้าโลแธร์ปล้นทำลายพระราชวังอาเคินของจักรพรรดิเป็นเวลาสามวัน ก่อนเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกแทนทิศตะวันตก[10][15]
เพื่อเป็นการเอาคืน จักรพรรดิออทโทที่ 2 กับชาร์ลส์บุกราชอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 978 ทำลายแร็ง, ซัวส์ซงส์ และล็อง[16] พระเจ้าโลแธร์หนีพ้นเงื้อมมือของกองทัพจักรวรรดิ แต่ชาร์ลส์ได้รับการประกาศให้เป็นกษัตริย์ของชาวแฟรงก์[17] ในล็องโดยบิชอปดีทริชที่ 1 แห่งเมตซ์ พระญาติของจักรพรรดิออทโทที่ 1 กองทัพจักรวรรดิมุ่งหน้าไปปารีสและได้เผชิญหน้ากับกองทัพของอูก กาแป วันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 978 จักรพรรดิออทโทที่ 2 และชาร์ลส์ไม่สามารถยึดปารีสได้ จึงล้มเลิกการปิดล้อมเมืองและถอยทัพกลับ กองทัพกษัตริย์แฟรงก์ซึ่งนำโดยพระเจ้าโลแธร์ไล่ล่าและปราบกองทหารจักรวรรดิได้ขณะกำลังข้ามแม่น้ำแอส์น[10] และกอบกู้ล็องกลับคืนมาได้ สถานการณ์บังคับให้จักรพรรดิออทโทหนีลี้ภัยไปอยู่ที่อาเคินกับชาร์ลส์
สงบศึกกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
[แก้]ความร่วมมือกันต่อกรกับจักรพรรดิออทโทที่ 2 ของชาวแฟรงก์ตะวันตกทำให้ราชวงศ์รอแบเตียงขึ้นมามีอำนาจพอๆ กับอูก กาแปที่คนในยุคนั้นให้ความเห็นว่ารับใช้พระเจ้าโลแธร์ด้วยความภักดี[18] การต่อสู้กับจักรพรรดิเพิ่มความแข็งแกร่งทางอำนาจให้อูก กาแป อำนาจของเขาชัดเจนขึ้นเมื่อได้ยึดมงเทรยล์ซูร์แมร์มาจากอาร์นูล์ฟที่ 2 เคานต์แห่งฟลานเดอส์ในปี ค.ศ. 980
พระเจ้าโลแธร์ต้องการหยุดยั้งความทะเยอทะยานของชาร์ลส์ พระอนุชาที่ถูกขับไล่ออกจากประเทศ และตัดสินใจจะเจริญรอยตามพระบิดาในการรักษาการสืบทอดตำแหน่งไว้ให้พระโอรสของตน ในวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 979 เจ้าชายหลุยส์ได้รับการสวมมงกุฎเป็นผู้ปกครองร่วมหรือยุวกษัตริย์[19] แต่ไม่ได้มีอำนาจอย่างแท้จริงจนกระทั่งพระเจ้าโลแธร์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 986[20][21] นับเป็นครั้งที่สองที่มีการปฏิบัติตามธรรมเนียมแบบใหม่นี้ในราชอาณาจักรของชาวแฟรงก์ตะวันตก ซึ่งต่อมาราชวงศ์กาแปเตียงได้รับเอาธรรมเนียมนี้มาใช้
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว พระเจ้าโลแธร์เริ่มเข้าหาจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ บิชอปแห่งแร็งและบิชอปแห่งล็องกับตระกูลอาร์เด็นสนับสนุนการกระชับความสัมพันธ์ครั้งนี้ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 980 พระเจ้าโลแธร์กับจักรพรรดิออทโทที่ 2 เจอกันที่มาร์กุตซูร์แชร์ในพรมแดนของชาวแฟรงก์ และบรรลุข้อตกลงในการทำสนธิสัญญาสันติภาพ[10]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Detlev Schwennicke, Europäische Stammtafeln: Stammtafeln zur Geschichte der Europäischen Staaten, Neue Folge, Band II (Marburg, Germany: J. A. Stargardt, 1984), Tafel 1
- ↑ The Annals of Flodoard of Reims, 916–966, eds & trans. Steven Fanning: Bernard S. Bachrach (New York; Ontario, Can: University of Toronto Press, 2011), p. 60
- ↑ Detlev Schwennicke, Europäische Stammtafeln: Stammtafeln zur Geschichte der Europäischen Staaten, Neue Folge, Band II (Marburg, Germany: J. A. Stargardt, 1984), Tafel 1
- ↑ The Annals of Flodoard of Reims, 916–966, eds & trans. Steven Fanning: Bernard S. Bachrach (New York; Ontario, Can: University of Toronto Press, 2011), p. 60
- ↑ The Annals of Flodoard of Reims, 916–966, eds & trans. Steven Fanning: Bernard S. Bachrach (New York; Ontario, Can: University of Toronto Press, 2011), p. xix
- ↑ Bourchard, Constance Brittain (1999). "Burgundy and Provence: 879–1032". In Reuter, Timothy; McKitterick, Rosamond; Abulafia, David. The New Cambridge Medieval History: Vol. III, c.900 – c.1024. III (first ed.). Cambridge: Cambridge University Press. pp. 328–345, page 336.
- ↑ George Holmes, The Oxford Illustrated History of Medieval Europe (Oxford; New York: Oxford University Press, 1988), p. 163
- ↑ George Holmes, The Oxford Illustrated History of Medieval Europe (Oxford; New York: Oxford University Press, 1988), p. 163
- ↑ Jim Bradbury, The Capetians: Kings of France, 987–1328, (London: Hambledon Continuum, 2007), p. 42
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 Jim Bradbury, The Capetians: Kings of France, 987–1328 (London: Hambledon Continuum, 2007), p. 43
- ↑ Lecouteux 2004, p. 11.
- ↑ Lecouteux 2004, p. 11.
- ↑ Sassier 1995, p. 161.
- ↑ Sassier 1995, p. 162.
- ↑ Sassier 1995, p. 163.
- ↑ Pierre Riché, The Carolingians; A Family Who Forged Europe, trans. Michael Idomir Allen (Philadelphia: University of Pennsylvania Press, 1993), pp. 276–77
- ↑ Thérèse Charmasson, Anne-Marie Lelorrain, Martine Sonnet: Chronologie de l'histoire de France, 1994, p. 90 online.
- ↑ Sassier 1995, pp. 164–165.
- ↑ Carlrichard Brülh: Naissance de deux peuples, Français et Allemands (10th‑11th siècle), Fayard, August 1996, p. 247.
- ↑ Bradbury, Jim (2007). "Chapter 3: The new principalities, 800–1000". The Capetians: Kings of France, 987–1328. London: Hambledon Continuum. p. 45.
- ↑ Sullivan, Richard E. (1989). "The Carolingian Age: Reflections on Its Place in the History of the Middle Ages". Speculum. 64: 267–306