พระองค์เจ้าศรีสังข์
พระองค์เจ้าศรีสังข์ | |
---|---|
พระองค์เจ้า | |
ประสูติ | ราว พ.ศ. 2288[1] กรุงศรีอยุธยา อาณาจักรอยุธยา |
สิ้นพระชนม์ | พ.ศ. 2314[2] (ราว 26 ปี) อาณาจักรกัมพูชาธิบดี |
ราชวงศ์ | บ้านพลูหลวง |
พระบิดา | เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ |
พระมารดา | หม่อมจัน |
พระองค์เจ้าศรีสังข์ (เวียดนาม: Chiêu Xỉ Xoang)[3] หรือ เสสัง (ราว พ.ศ. 2288[1]–2314)[2] เป็นพระโอรสของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ กับหม่อมจัน และเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระองค์เจ้าศรีสังข์ทรงหนีรอดจากการล้อมกรุงของพม่าได้ แต่ระยะต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระราชประสงค์ที่จะกำจัดพระองค์เจ้าศรีสังข์เพื่อความชอบธรรมต่อการตั้งตนเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่[4][5] สุดท้ายพระองค์เจ้าศรีสังข์สิ้นพระชนม์ลงในดินแดนกัมพูชาขณะยังลี้ราชภัย[2]
ประวัติ
[แก้]พระชนม์ชีพช่วงต้น
[แก้]พระองค์เจ้าศรีสังข์ เป็นพระโอรสเพียงพระองค์เดียวในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ ที่ประสูติแต่หม่อมจัน[6] ซึ่งประสูติก่อนที่พระชนกจะดำรงพระอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช[7] ทั้งนี้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ทรงมีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มคนเข้ารีตและชาวยุโรปมาก จนบาทหลวงในยุคนั้นวาดฝันไว้ว่าหากพระมหาอุปราชพระองค์นี้ขึ้นเสวยราชสมบัติ คงจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ และจะทรงชักนำให้คนไทยเข้ารีตตามพระองค์เป็นแน่ แต่ความหวังของบาทหลวงกลับไม่เกิดขึ้นจริง เพราะเจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ทิวงคตไปเสียก่อน[1] หลังการทิวงคตของพระชนก พระมหากษัตริย์อยุธยาที่มีศักดิ์พระเจ้าอา (อาจเป็นสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร หรือสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์) ทรงรับพระองค์เจ้าศรีสังข์ไปชุบเลี้ยงภายในพระบรมมหาราชวัง[1]
พระองค์เจ้าศรีสังข์เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่คนเข้ารีต ดังปรากฏความใน จดหมายมองซิเออร์เคอร์ ถึงมองซิเออร์ดารากอง ระบุว่า "...เจ้าองค์นี้มีอัธยาศัยอันดี คือพระทัยกว้างขวาง ทรงพระปรีชาสามารถเฉียบแหลมเกินกว่าอายุและยิ่งกว่าคนไทยทั้งปวง ทั้งโปรดปรานพวกเข้ารีตและนับถือพวกฝรั่งเศส จึงมีพระประสงค์นักที่จะได้ไปเห็นของอันน่าพิศวง..."[1] พระองค์เจ้าศรีสังข์มีพระเชษฐภคินีต่างพระชนนีพระองค์หนึ่ง คือ พระองค์เจ้ามิตร (ต่อมาได้พระนามใหม่ว่า ประทุม) เข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง[8]
ในช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระองค์เจ้าศรีสังข์เสด็จออกนอกกรุงได้ โดยใน จดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี ระบุว่า พระองค์เจ้าศรีสังข์ทรงหลบหนีไปเมืองพิมายกับพวกกรมหมื่นเทพพิพิธ ครั้นภายหลังสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกทัพไปตีเมืองพิมาย ทรงสำเร็จโทษกรมหมื่นเทพพิพิธ แต่พระองค์เจ้าศรีสังข์ทรงหนีรอดออกไปเมืองเขมร ความว่า "...กรมหมื่นเทพพิพิธ เจ้าสีสังข์ไปอยู่พิมาย ต่อสู้รบประจันกัน จับได้กรมหมื่นเทพพิพิธ บุตรชาย ๒ บุตรหญิง ๑ กับเจ้าสีสังข์ กรมหมื่นเทพพิพิธท่านให้สำเร็จโทษเสีย เจ้าสีสังข์หนีไปเมืองขอม..."[8] ขณะที่ จดหมายมองซิเออร์เคอร์ ถึงมองซิเออร์ดารากอง อันเป็นเอกสารของบาทหลวงฝรั่งเศส ได้บันทึกเรื่องราวที่ต่างออกไปว่า พระองค์เจ้าศรีสังข์และพระอนุชาพระองค์หนึ่ง สามารถหนีลอดเล็ดออกนอกกรุงได้ โดยอาศัยรอนแรมอยู่ตามป่าถึงสามเดือน เมื่อทราบข่าวว่าพม่าเลิกทัพแล้ว พระองค์เจ้าศรีสังข์จึงเสด็จเข้าไปในเมืองบางกอก (ปัจจุบันคือกรุงเทพมหานคร) แล้วเสด็จออกไปถึงเมืองบางปลาสร้อย (ปัจจุบันคือจังหวัดชลบุรี) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2310 มีพระชันษา 22 ปี[1]
ลี้ราชภัย
[แก้]ในกาลต่อมาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบว่ามีเชื้อพระวงศ์กรุงเก่าอยู่ที่เมืองบางปลาสร้อย ก็ทรงหาวิธีการกำจัดผู้มีสิทธิในการสืบราชบัลลังก์กรุงสยาม โดยได้จัดเรือให้ออกไปจับพระองค์เจ้าศรีสังข์มาไว้ที่เมืองจันทบุรีที่พระองค์ประทับอยู่ คนเข้ารีตที่ทราบเรื่องดังกล่าวจึงหาทางช่วยเหลือพระองค์เจ้าศรีสังข์ ซึ่งส่วนพระองค์นั้นมีพระประสงค์ที่จะเสด็จไปประทับยังทวีปยุโรป คนเข้ารีตผู้นั้นได้จัดหาเรือลำเล็กล่องจากเมืองบางปลาสร้อยฝ่าภยันตรายจากเหล่าโจรสลัดญวนและมลายูที่ชุกชุมแถบชายฝั่งอ่าวไทยไปจนถึงเมืองฮอนดัต หวังใจจะเข้าไปลี้ภัยในเมืองพุทไธมาศ (คือราชรัฐห่าเตียน คนละเมืองกับเมืองบันทายมาศ) แต่เมื่อไปถึงแล้ว มองซิเออร์อาโตด์กลับแนะให้คนเข้ารีตผู้นั้นพาพระองค์เจ้าศรีสังข์ไปไว้ที่เมืองเขมรแทน เพราะท่านไม่ไว้ใจม่อ ซื่อหลิน ผู้เป็นเจ้าเมืองพุทไธมาศนัก[1] ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ความว่า "๏ ในปีกุญ 1129 แลจุลศักราช 1129 พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุทธยา ๆ แตกเสียกรุงแก่พม่า ๆ จับได้พระราชวงษานุวงษ์กระษัตริย์ไทยแลกวาดต้อนครอบครัวนำจากเมืองไทยไปเมืองพม่าเปนอันมาก เจ้าเสสังออกรบแพ้พม่า หนีจากกรุงศรีอยุทธยามาพึ่งพระบารมี พระบรมบพิตรณกรุงกัมพูชาธิบดี ๚"[9] ขณะที่ บันทึกตระกูลหมัก ระบุว่าพระองค์เจ้าศรีสังข์เคยเสด็จลี้ภัยในเมืองพุทไธมาศมาก่อน[3]
ในเอกสารของบาทหลวงฝรั่งเศสระบุว่า พระองค์เจ้าศรีสังข์ประทับที่เมือง "พราหมณ์ไบลชม" (Prambleichom) โดยได้รับการต้อนรับจากบาทหลวงเป็นอย่างดี และเมื่อพระนารายน์ราชารามาธิบดี กษัตริย์เขมร ทรงทราบเรื่องที่มีเจ้าไทยลี้ภัยในดินแดนของตน ก็ได้รับสั่งสอบถามข้อมูลกับพระองค์เจ้าศรีสังข์อยู่หลายเที่ยว กระทั่งกษัตริย์เขมรเสด็จออกรับพระองค์เจ้าศรีสังข์และถวายพระเกียรติยศให้เต็มที่[1] มีการรับรองพระองค์เจ้าศรีสังข์อย่างเอิกเกริก[10] ทั้งยังสร้างวังซึ่งทำจากไม้ไผ่ขึ้นถวาย พระองค์เจ้าศรีสังข์ประทับในวังนี้โดยไม่สู้จะเต็มพระทัยนัก และทรงปริวิตกว่าอาจออกจากเมืองเขมรไม่ได้เป็นแน่[1] พระนารายน์ราชารามาธิบดีเองก็แสวงหาประโยชน์จากพระองค์เจ้าศรีสังข์ที่เป็น "เจ้าจากกรุงเก่า" เพราะหากพระองค์เจ้าศรีสังข์สามารถกลับมาเสวยราชย์กรุงศรีอยุธยาได้อย่างที่รัฐบาลจีนต้องการ ทางกัมพูชาเองก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย[5] ฝ่ายเมืองพุทไธมาศที่ได้รับพระราชทานปืนใหญ่หล่ออย่างยุโรปสองกระบอกจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี[10] ก็คิดหาทางบีบให้ฝ่ายบาทหลวงและทางกัมพูชาส่งตัวพระองค์เจ้าศรีสังข์ไปยังเมืองพุทไธมาศแลกกับการปล่อยตัวบาทหลวงที่ถูกทางการของพุทไธมาศกุมขังอยู่[1] มองซิเออร์อาโตด์ผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับพระองค์เจ้าศรีสังข์ แต่ใจก็อยากช่วยบาทหลวงให้พ้นจากการถูกจองจำด้วย จึงเสนอสัญญาสี่ข้อกับพุทไธมาศ คือ ก่อนที่จะไปยังเมืองเขมรต้องปล่อยตัวบาทหลวงที่ถูกคุมขังเสียก่อน, หากพระองค์เจ้าศรีสังข์เสด็จไปพุทไธมาศแล้วจะต้องไม่ควบคุมกักขังพระองค์, ในการที่จะไปเมืองเขมรนี้มิใช่ไปในฐานะราชทูต เพียงแต่จะไปกราบทูลกับเจ้าศรีสังข์อย่างเดียวเท่านั้น และพระองค์เจ้าศรีสังข์จะเสด็จมาหรือไม่ขึ้นอยู่กับพระองค์เอง[11] อย่างไรก็ตามพระองค์เจ้าศรีสังข์ทรงทราบเจตนาของม่อ ซื่อหลิน เป็นอย่างดี จึงรับสั่งว่า "การที่พระยาตากได้ส่งของดี ๆ มาให้เจ้าเมืองคันเคานั้นก็เท่ากับจะซื้อศีรษะของข้าพเจ้าเท่านั้น" พระองค์เจ้าศรีสังข์ไม่ยอมเสด็จไปเมืองพุทไธมาศอย่างที่ม่อ ซื่อหลินปรารถนา[11] ซึ่งเอกสารบางแห่งระบุว่า ม่อ ซื่อหลิน วางแผนที่จะจับกุมสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี แล้วตั้งเจ้าจากราชวงศ์บ้านพลูหลวงขึ้นครองราชสมบัติแทน[12]
ถึงกระนั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ยังมีพระราชประสงค์ที่จะกำจัดพระองค์เจ้าศรีสังข์ดังเดิม ปรากฏใน จดหมายรายวันทัพสมัยธนบุรี คราวปราบเมืองพุทไธมาศและเขมร พ.ศ. 2314 เนื้อหาระบุว่า "...มาบัดนี้จะส่งเจ้าองค์รามขึ้นไปราชาภิเษก ณ กรุงกัมพูชาธิบดี…ตัวเจ้าเสสังข์ เจ้าจุ้ย แลข้าหลวงชาวกรุงฯ ซึ่งไปอยู่เมืองใดจะเอาให้สิ้น..."[4][5] จากนั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพไปตีเมืองพุทไธมาศแตกพ่าย และยกทัพขึ้นไปตีเมืองเขมรต่อ พระองค์เจ้าศรีสังข์จึงเสด็จลี้ภัยออกจากเมืองเขมร ปรากฏใน จดหมายรายวันทัพสมัยธนบุรี ระบุว่า "…พระองค์รามราชาบอกหนังสือมาถึง ฯลฯ ณ ศาลา ๆ เอาหนังสือบอกกราบทูลพระฯ ใจความว่า พระองค์อุทัย, เจ้าเสสัง, หนีไปแคว้นเมืองญวน ๆ ไม่ให้เข้าไปจึงยกทัพกลับมา พระองค์รามราชาให้ทหารไปเกลี้ยกล่อม พบกองทัพพระองค์อุทัย ได้รบกัน กองทัพพระองค์อุทัยแตก…"[4][5]
สิ้นพระชนม์
[แก้]สองเดือนต่อมาหลังสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพกลับกรุงธนบุรี พระองค์เจ้าศรีสังข์สิ้นพระชนม์ลงใน พ.ศ. 2314 ในแดนของกัมพูชา ดังปรากฏใน ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ความว่า "๏ ลุถึงเดือน 3 ในปีเถาะ 1133 นี้ เจ้าเสสังซึ่งเปนเจ้าไทยที่หนีจากกรุงศรีอยุทธยาครั้งเมื่อพม่ามาตีเมือง มาอยู่เมืองเขมรนั้นได้สิ้นพระชนม์ลง ๚"[2]
ลำดับสาแหรก
[แก้]ลำดับสาแหรกของพระองค์เจ้าศรีสังข์[13] | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
เชิงอรรถ
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 "เจ้าไทย พระดำริของเจ้าไทย จะร้องไปยังประเทศฝรั่งเศส จดหมายมองซิเออร์เคอร์ ถึงมองซิเออร์ดารากอง". ประชุมพงศาวดาร เล่ม 23, หน้า 67–71
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 139
- ↑ 3.0 3.1 2310 กรุงธนบุรีผงาด, หน้า 159
- ↑ 4.0 4.1 4.2 ปรามินทร์ เครือทอง (15 เมษายน 2566). "ตามติดปฏิบัติการ พระเจ้าตาก "ตามล่า" รัชทายาทกรุงศรีอยุธยา". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2566.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 "ชะตากรรม "เจ้าศรีสังข์" พระราชนัดดา "พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ" ลี้ภัยการเมืองสู่เขมร". ศิลปวัฒนธรรม. 4 พฤศจิกายน 2566. สืบค้นเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2566.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "คำให้การชาวกรุงเก่า". พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น, หน้า 627
- ↑ "คำให้การชาวกรุงเก่า". พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น, หน้า 551
- ↑ 8.0 8.1 พระราชวิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์) ตั้งแต่ จ.ศ. 1129 ถึง 1182 เป็นเวลา 53 ปี, หน้า 59–60
- ↑ ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา, หน้า 134
- ↑ 10.0 10.1 "จดหมายมองซิเออร์อาโตด์ ถึงผู้อำนวยการคณะการต่างประเทศ". ประชุมพงศาวดาร เล่ม 23, หน้า 71–76
- ↑ 11.0 11.1 "ข้อสัญญาของมองซิเออร์อาโตด์". ประชุมพงศาวดาร เล่ม 23, หน้า 76–80
- ↑ 2310 กรุงธนบุรีผงาด, หน้า 161
- ↑ "คำให้การชาวกรุงเก่า". พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น, หน้า 623, 627
บรรณานุกรม
[แก้]- จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชวิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพธิ์) ตั้งแต่ จ.ศ. 1129 ถึง 1182 เป็นเวลา 53 ปี. กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา, 2552. 576 หน้า. ISBN 978-611-7146-02-2
- เรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนรัชต์), พันตรี หลวง. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006), 2563. 336 หน้า. ISBN 978-616-514-668-5
- สุเจน กรรพฤทธิ์. 2310 กรุงธนบุรีผงาด. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2561. 296 หน้า. ISBN 978-616-465-002-2
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2559. 800 หน้า. ISBN 978-616-7146-08-9
- ประชุมพงศาวดาร เล่ม 23. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว, 2511. 348 หน้า.