พระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร)
บทความนี้อาศัยการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิมากเกินไป |
พระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร) | |
---|---|
เกิด | 13 ตุลาคม พ.ศ. 2415 บ้านปลายสะพานขาว วัดบพิตรพิมุข (วัดเชิงเลน) |
เสียชีวิต | 23 มีนาคม พ.ศ. 2493 (77 ปี) |
สัญชาติ | ไทย |
คู่สมรส | คุณหญิงละม้าย นางกิม นางจิ้มลิ้ม |
บิดามารดา |
|
พระยาภิรมย์ภักดี นามเดิม บุญรอด เศรษฐบุตร เป็นบุตรของพระภิรมย์ภักดี (ชม เศรษฐบุตร) กับนางมา เศรษฐบุตร เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2415 ที่ย่านจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เป็นผู้ให้กำเนิดเบียร์สิงห์และบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด
ประวัติ
[แก้]พระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร) เกิดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2415 ณ บ้านปลายสะพานยาว วัดบพิตรพิมุข (เชิงเลน) ปากคลองโอ่งอ่าง ตำบลจักรวรรดิ อำเภอสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เรียนหนังสือกับบิดาตอนยังเด็ก พออายุ 11 ปี เรียนกับพระอาจารย์เนียม วัดเชิงเลนได้ 1 ปีเศษก็เรียนฝึกหัดวาดเขียนที่บ้านหลวงฤทธิ์ฯ และเรียนหนังสืออังกฤษกับท่านอาจารย์หมอ เอ.ยี.แมคฟาแลนด์ ที่โรงเรียนหลวงสวนอนันต์ ได้ประมาณ 2 ปี โรงเรียนก็ย้ายมาสอนที่สุนันทาลัย สามารถสอบไล่ได้ที่ 1 ในทุกวิชาของโรงเรียน และในปี พ.ศ. 2433 ได้เป็นครูสอนนักเรียนในโรงเรียนสุนันทาลัย ต่อมาก็ได้ไปเป็นครูสอนเด็กที่โรงเลี้ยงเด็กอนาถา
ในปี พ.ศ. 2435 เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ได้ทดลองให้ทำหน้าที่ตำแหน่งเลขานุการกระทรวงธรรมการ เมื่อจะลาออกแต่ครูใหญ่ไม่ให้ออก จึงตัดสินใจไม่เอาทั้ง 2 อย่าง จากนั้นทำงานเป็นเสมียนโต้ตอบจดหมายภาษาอังกฤษที่โรงเลื่อยของห้างกิมเซ่ง หลี และห้างเด็นนิมอตแอนด์ดิกซัน จนเห็นลู่ทางธุรกิจจึงมาเริ่มมาเป็นเจ้าของกิจการค้าไม้ เดินเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกว่า เรือเมล์ขาว โดยตั้งเป็น บริษัทบางหลวง จำกัด แต่เนื่องจากเริ่มมีคู่แข่งมากขึ้นจากเบนเข็มทำธุรกิจอื่น พระยาภิรมย์ภักดีได้พบเอมิล ไอเซินโอเฟอร์ ผู้จัดการห้างเพาส์ปิกเคนปัก และได้ลิ้มรสเบียร์เยอรมันจนถูกใจ จึงคิดว่าน่าจะทำขายในเมืองไทยได้ ได้ยื่นหนังสือขออนุญาตตั้งโรงต้มกลั่นเบียร์แห่งแรกของประเทศไทยในปี 2473[1] และก่อตั้งโรงงานผลิตเบียร์แห่งแรกขึ้นในประเทศไทยในปี 2476[2]
เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีนโยบายเรื่องการจัดตั้งโรงงานผลิตเบียร์มาก่อน จึงยุติลงที่การอนุมัติโรงเบียร์แห่งแรกรัฐบาลไทยอนุมัติให้พระยาภิรมย์ภักดีผลิตเบียร์ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2476 โดยมีโรงงานตั้งอยู่บนเนื้อที่ 9 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่านบางกระบือ ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 6 แสนบาท ในปี พ.ศ. 2477 พระยาภิรมย์ภักดีก็ได้นำเอาเบียร์สดใส่ถังไปเปิดให้ผู้คนดื่มฟรีในงานสโมสรคณะราษฎร ปรากฏว่าเป็นที่พอใจกันยิ่งนัก ข่าวได้แพร่สะพัดออกไป มีลูกค้าจับจองสินค้าออกสู่ตลาด จนได้จำหน่ายเบียร์รุ่นแรกเมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 มีตรายี่ห้อต่าง ๆ กัน ทั้งตราว่าว ตราพระปรางค์ ตรากุญแจ ตรารถไฟ ตราหมี ปรากฏว่าเบียร์ตราสิงห์ได้รับความนิยมมากที่สุด ต่อมาจึงค่อยๆ หยุดผลิตยี่ห้ออื่นไป จนเหลือเพียงเบียร์สิงห์
ท่านมีความรู้ความสามารถ แต่งตำราการคิดคำนวณ หน้าไม้สำเร็จรูป แต่งตำราว่าวพนัน ได้โปรดเกล้าเป็นนายเรือตรีราชนาวีเสือป่าและกัปตันเรือเดินทะเล ได้เป็นกรรมการสโมสร และสนาม และยังบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมอย่างเช่น ได้ถวายตัวเป็นสมาชิกเสือป่า สร้างศาลาท่าน้ำ สร้างกระโจมแตรในสวนลุมพินี สร้างโรงเรียนอนาถา เป็นต้น ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นหลวงภิรมย์ภักดี มีตำแหน่งราชการในกรมท่าซ้าย ถือศักดินา 400 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 [3] ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทยชั้นที่ 5 เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2456 และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น พระยาภิรมย์ภักดี ถือศักดินา ๑๐๐๐ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2467[4]จนถึงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 จึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้ลาออกจากบรรดาศักดิ์[5]
พระยาภิรมย์ภักดี ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2493 สิริอายุรวม 77 ปี[6]
ชีวิตส่วนตัว
[แก้]ท่านแต่งงานกับ คุณหญิงละม้าย เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2441 ต่อมาภรรยาคลอดบุตรฝาแฝด ในปี พ.ศ. 2443 แต่บุตรฝาแฝดตาย ในปีต่อมาคลอดลูกอีกคนอยู่ได้ราว 2 เดือนก็ตาย ต่อมารับบุตรของน้องชาย พระประเวศวนขันธ์ (ปลื้ม เศรษฐบุตร) มาเป็นบุตรบุญธรรม ให้ชื่อว่า วิทย์ เศรษฐบุตร (วิทย์ ภิรมย์ภักดี)
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2455 ได้มีบุตรกับนางกิม ชื่อ ประจวบ เศรษฐบุตร (ประจวบ ภิรมย์ภักดี)
และเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471 ได้มีบุตรอีกคนกับนางจิ้มลิ้มชื่อ ประจง เศรษฐบุตร (จำนงค์ ภิรมย์ภักดี)
ยศ
[แก้]- 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2455 รองอำมาตย์เอก[7]
- – อำมาตย์ตรี
- 8 กุมภาพันธ์ 2467 – นายหมวดตรี[8]
- 22 สิงหาคม พ.ศ. 2468 จ่า[9]
- 11 พฤศจิกายน 2469 - อำมาตย์โท[10]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้]- พ.ศ. 2471 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 3 ตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)[11]
- พ.ศ. 2468 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 4 จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก (จ.ช.)[12]
- พ.ศ. 2468 – เหรียญศารทูลมาลา (ร.ศ.ท.)[13]
- พ.ศ. 2454 – เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 6 (ร.ร.ศ.6)
- พ.ศ. 2468 – เหรียญบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 7 (ร.ร.ศ.7)
- พ.ศ. 2475 – เหรียญเฉลิมพระนคร 150 ปี (ร.ฉ.พ.)
อ้างอิง
[แก้]- ↑ กฤษณะ โสภี (6 มิถุนายน 2562). "เมื่อเจ้านายไทย "ทำธุรกิจ" ประเมินผลการลงทุนพระยาภิรมย์ภักดี ถึงเจ้าพระยายมราช". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ก่อตั้งโรงงานผลิตเบียร์แห่งแรกขึ้นในประเทศไทย[ลิงก์เสีย]
- ↑ พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์
- ↑ พระราชทานบรรดาศักดิ์ (หน้า ๓๓๗๑)
- ↑ "ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชการกราบถวายบังคับลาออกจากบรรดาศักดิ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 59 (11 ง): 295–6. 17 กุมภาพันธ์ 2485. สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2560.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ข่าวตาย[ลิงก์เสีย]
- ↑ พระราชทานยศ
- ↑ พระราชทานยศเสือป่า
- ↑ พระราชทานยศ
- ↑ พระราชทานยศ (หน้า 3084)
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๔๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๗๑๘, ๒ ธันวาคม ๒๔๗๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปพระราชทาน, เล่ม ๔๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๒๐๐, ๑๑ ตุลาคม ๒๔๖๘
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปพระราชทาน, เล่ม ๔๓ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๕๘, ๒ พฤษภาคม ๒๔๖๙