ผู้ใช้:HirokiSpace/แบบจำลองนิรนัยและสมมติฐาน
แบบจำลองนิรนัยและสมมติฐาน (hypothetico-deductive model) หรือ วิธีการ คือรูปแบบการพรรณาของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ตามแบบจำลองนี้การสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์เริ่มต้นจากการสร้างสมมติฐานที่สามารถสามารถพิสูจน์ว่าเป็นเท็จได้ จากนั้นเริ่มการทดสอบกับข้อมูลที่สังเกตได้ โดยที่ไม่ทราบผลการทดสอบ สำหรับผลการทดสอบที่ให้ผลตรงข้ามกับการคาดการณ์ของสมมติฐานจะถือเป็นการทำให้สมมติฐานเป็นเท็จ ผลการทดสอบที่ไม่ขัดแย้งกับสมมติฐาน ถือว่าช่วยยืนยันทฤษฎี จากนั้นจึงนำสมมติฐานเหล่านั้นมาพิจารณาดูว่ามีลักษณะการอธิบายแบบใด คุณค่าการอธิบายทฤษฎีเป็นอย่างไร แล้วสมมติฐานนั้นมีน้ำหนักมากขนาดไหน โดยใช้ความสามารถในการทำนายผลการทดลองเป็นเกณฑ์
ตัวอย่าง[แก้]
หนึ่งในตัวอย่างวิธีคิดแบบวิธีการนิรนัยและสมมติฐานเป็นดังนี้
- 1. ใช้ประสบการณ์ของตัวเอง : พิจารณาปัญหาและพยายามทำให้ปัญหามีความเป็นเหตุผลเป็นผล รวบรวมข้อมูลและค้นหาสิ่งที่ผู้อื่นอธิบายไว้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่ถ้าเป็นปัญหาประเด็นใหม่ ให้ดูข้อ 2
- 2. สร้างการคาดการณ์ (สมมติฐาน) : หากยังไม่มีที่รู้เกี่ยวกับประเด็น ให้ลองหาวิธีการอธิบายเพื่อให้คนอื่นรับรู้ หรือเขียนหนังสือ
- 3. นิรนัยหาผลลัพธ์จากสมมติฐานที่สร้างขึ้น: ถ้าคุณรับไว้ก่อนว่าข้อ 2 จริง จะต้องมีสิ่งใดเกิดตามมาบ้าง
- 4. ทดสอบ(หรือ ทดลอง) : โดยดูจากหลักฐาน (ผ่านการสังเกต) ว่ามีหลักฐานใดข้ดแย้งกับสมมติฐานหรือไม่ เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าข้อ 2 เป็นเท็จ ต้องย้ำว่าเราไม่สามารถให้ผลลัพธ์แบบข้อ 3 เป็นข้อพิสูจนของสมมติฐานข้อ 2 ได้ เพราะจะเป็น เหตุผลวิบัติรูปนัย บางครั้งเรียกว่าตรรกะวิบัติของการยืนยันผล[1]
วิธีการที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งก็สามารถเริ่มต้นจาก 1, 2, 3, 4 หากผลการทดสอบของ 4 ยังไม่สามารถหาอะไรมาแย้งได้และ 3 ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ คุณสามารถดำเนินการต่อด้วย 3, 4, 1 และอื่น ๆ แต่ถ้าผลลัพธ์ของ 4 แสดงออกมาว่า 3 เป็นเท็จ คุณจะต้องกลับไปที่ 2 และพยายามสร้างสมมติฐาน 2 ใหม่ หาข้อสรุป 3 ใหม่ ทดสอบ 4 อีกครั้งไปเรื่อย ๆ
แต่ต้องจำไว้ว่าวิธีนี้ไม่สามารถตรวจสอบหรือพิสูจน์ความจริงสมมติฐาน 2 ได้อย่างแท้จริง [2] (นี่คือความหมายที่ไอน์สไตน์ต้องการสื่อ ตอนเขากล่าวว่า "ไม่มีการทดลองใดพิสูจน์ได้ว่าผมถูกต้อง แต่การทดลองเพียงครั้งเดียวกลับสามารถพิสูจน์ว่าผมผิดได้" [3] )
ข้อถกเถียง[แก้]
คาร์ล เฮมเพล (1905–1997) ได้ชี้ให้เห็นว่ามุมมองวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เรียบง่ายแบบนี้ถือว่ายังไม่สมบูรณ์ การคาดการ์ณสามารถใช้หลักการความน่าจะเป็นได้ ตัวอย่างเช่น ยามีประสิทธิภาพประมาณ 70% ณ เวลานั้น [4] ในกรณีนี้ต้องทำการทดสอบซ้ำเพื่อยืนยันการคาดการณ์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเกี่ยวกับความน่าจะเป็น) ในกรณีนี้และในกรณีอื่น ๆ เราสามารถหาค่าความน่าจะเป็นเพื่อความมั่นใจในการคาดเดานั้นเองจากนั้นจึงใช้การวิเคราะห์แบบเบย์ โดยผลการทดลองแต่ละครั้งจะเปลี่ยนความน่าจะเป็นขึ้นหรือลง ทฤษฎีบทของเบย์แสดงให้เห็นว่าความน่าจะเป็นจะไม่มีทางเป็น 0 หรือ 100% อย่างแน่นอน (ไม่มีความแน่นอนสัมบูรณ์ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง) แต่ก็ยังสามารถเข้าใกล้ระดับสุดขั้วได้ ดูเพิ่มเติมเรื่องการยืนยันองค์รวม
คุณสมบัติของหลักฐานที่ใช้ยืนยันบางครั้งกลายเป็นเป็นปัญหาทางปรัชญา ซึ่งปฏิทรรศน์อีกาเป็นตัวอย่างที่มีชื่อเสียง สมมติฐานที่ว่า 'กาทั้งหมดเป็นสีดำ' ดูเหมือนจะยืนยันได้จากการสังเกตของกาดำเท่านั้น อย่างไรก็ตาม 'กาทั้งหมดเป็นสีดำ' มีความสมมูลกันเชิงตรรกศาสตร์เท่ากับประโยคที่ว่า 'สิ่งที่ไม่ใช่สีดำทั้งหมดไม่ใช่กา' (นี่คือรูปแบบที่ขัดแย้งกันของนัยดั้งเดิม) ประโยค 'นี่คือต้นไม้สีเขียว' สามารถเกิดจากการสังเกตสิ่งที่ไม่ใช่สีดำซึ่งไม่ใช่กาได้ และยืนยันประโยคที่ว่า 'สิ่งที่ไม่ใช่สีดำทั้งหมดไม่ใช่กา' ปัญหาคือการสังเกตว่า 'นี่คือต้นไม้สีเขียว' กลับกลายเป็นหลักฐานยืนยันสำหรับสมมติฐาน 'กาทั้งหมดเป็นสีดำ' ซึ่งแปลกประหลาด ผู้ที่พยายามแก้ปัญหานี้อาจพยายามแยกความต่างระหว่าง:
- ข้อสังเกตที่ไม่เป็นเท็จเกี่ยวกับการยืนยันว่ามีความหนักแน่นมาก ปานกลางหรือน้อย
- การตรวจสอบที่ทำหรือไม่ได้ทำให้การทดสอบสมมติฐานที่อาจเป็นเท็จ [5]
หลักฐานที่ตรงกันข้ามกับสมมติฐานทำให้ตัวมันเองเป็นปัญหาทางปรัชญา หลักฐานดังกล่าวเรียกว่าการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จต่อสมมติฐาน อย่างไรก็ตามภายใต้ทฤษฎีการ ยืนยันองค์รวม เรายังสามารถรักษาสมมติฐานที่กำหนดไว้จากการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จได้ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากการสังเกตที่เป็นเท็จถูกฝังอยู่ในพื้นหลังทางทฤษฎีซึ่งสามารถแก้ไขได้เพื่อรักษาสมมติฐาน คาร์ล ป๊อปเปอร์ยอมรับเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่าแนวทางที่สำคัญที่ทำตามระเบียบวิธีการที่หลีกเลี่ยงการเสริมเกราะป้องกันให้ทฤษฎี (immunizing stratagems) ดังกล่าวนั้นเอื้อต่อความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ [6]
นักฟิสิกส์ฌอน แครอล อ้างว่าวิธีการนิรนัยและสมมติฐานละเลยประเด็นเรื่อง หลักฐานไม่เพียงพอ [7]
แบบจำลองสมมุติฐานและนิรนัย (หรือแนวทาง) เปรียบเทียบกับแบบจำลองการวิจัยอื่น ๆ
วิธีการเชิงนิรนัยและสมมติฐานแตกต่างกับแบบจำลองการวิจัยอื่น ๆ เช่น แนวทางอุปนัย ในวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลวิธีการเชิงนิรนัยและสมมติฐานอยู่ในกระบวนทัศน์ของแนวคิดปฏิบัตินิยมซึ่งความสัมพันธ์สี่ประเภทระหว่างตัวแปรสามารถมีอยู่: เชิงพรรณนา เชิงอิทธิพล ตามยาวหรือเชิงสาเหตุ ตัวแปรแบ่งออกเป็นสองกลุ่มโครงสร้างและฟังก์ชันการจำแนกประเภทที่ขับเคลื่อนการกำหนดสมมติฐานและการทดสอบทางสถิติที่จะดำเนินการกับข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการวิจัย [8]
ดูสิ่งนี้ด้วย[แก้]
- ความเอนเอียงในการยืนยัน
- แบบจำลองตามกฎและนิรนัย
- คำอธิบายและคำอธิบาย
- การสืบเสาะ
- แบบจำลองของการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์
- ปรัชญาวิทยาศาสตร์
- ปฏิบัตินิยม
- วิธีการทางวิทยาศาสตร์
- ทฤษฎีความหมายที่ตรวจสอบได้
- จะเชื่อหลักคำสอน
ประเภทของการอนุมาณ[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- Brody, Thomas A. (1993), The Philosophy Behind Physics, Springer Verlag, ISBN 0-387-55914-0. (Luis de la Peña and Peter E. Hodgson, eds.)
- Bynum, W.F.; Porter, Roy (2005), Oxford Dictionary of Scientific Quotations, Oxford, ISBN 0-19-858409-1.
- Godfrey-Smith, Peter (2003), Theory and Reality: An introduction to the philosophy of science, University of Chicago Press, ISBN 0-226-30063-3
- Taleb, Nassim Nicholas (2007), The Black Swan, Random House, ISBN 978-1-4000-6351-2
[[หมวดหมู่:ปรัชญาวิทยาศาสตร์]] [[หมวดหมู่:ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์]]
- ↑ Taleb 2007 e.g., p. 58, devotes his chapter 5 to the error of confirmation.
- ↑ "I believe that we do not know anything for certain, but everything probably." —Christiaan Huygens, Letter to Pierre Perrault, 'Sur la préface de M. Perrault de son traité del'Origine des fontaines' [1763], Oeuvres Complétes de Christiaan Huygens (1897), Vol. 7, 298. Quoted in Jacques Roger, The Life Sciences in Eighteenth-Century French Thought, ed. Keith R. Benson and trans. Robert Ellrich (1997), 163. Quotation selected by Bynum & Porter 2005 Huygens 317#4.
- ↑ As noted by Alice Calaprice (ed. 2005) The New Quotable Einstein Princeton University Press and Hebrew University of Jerusalem, ISBN 0-691-12074-9 p. 291. Calaprice denotes this not as an exact quotation, but as a paraphrase of a translation of A. Einstein's "Induction and Deduction". Collected Papers of Albert Einstein 7 Document 28. Volume 7 is The Berlin Years: Writings, 1918-1921. A. Einstein; M. Janssen, R. Schulmann, et al., eds.
- ↑ Murzi, Mauro (2001, 2008), "Carl Gustav Hempel (1905—1997)", Internet Encyclopedia of Philosophy. Murzi used the term relative frequency rather than probability.
- ↑ John W. N. Watkins (1984), Science and Skepticism, p. 319.
- ↑ Karl R. Popper (1979, Rev. ed.), Objective Knowledge, pp. 30, 360.
- ↑ Sean Carroll. "What is Science?".
- ↑ Mesly, Olivier (2015), Creating Models in Psychological Research, United States: Springer Psychology, p. 126, ISBN 978-3-319-15752-8