ข้ามไปเนื้อหา

บ็อบบี ร็อบสัน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก บ็อบบี้ ร็อบสัน)
เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน
CBE
ร็อบสันหลังการแข่งขันระหว่างเนเธอร์แลนด์กับอังกฤษ
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1988 ที่เมืองดึสเซิลดอร์ฟ
ประเทศเยอรมนีตะวันตก
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม โรเบิร์ต วิลเลียม ร็อบสัน
วันเกิด 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1933(1933-02-18)
สถานที่เกิด ซาคริสตัน มณฑลเดอแรม ประเทศอังกฤษ
วันเสียชีวิต 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2009(2009-07-31) (76 ปี)
สถานที่เสียชีวิต เดอรัม ประเทศอังกฤษ
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1950–1956 ฟูลัม 152 (68)
1956–1962 เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 239 (56)
1962–1967 ฟูลัม 192 (9)
1967–1968 แวนคูเวอร์รอยัลส์ 0 (0)
รวม 583 (133)
ทีมชาติ
1957–1962 อังกฤษ 20 (4)
จัดการทีม
1968 ฟูลัม
1969–1982 อิปสวิชทาวน์
1982–1990 อังกฤษ
1990–1992 เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน
1992–1994 สปอร์ติกกลูบีดีปูร์ตูกาล
1994–1996 โปร์ตู
1996–1997 บาร์เซโลนา
1998–1999 เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน
1999–2004 นิวคาสเซิลยูไนเต็ด
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

เซอร์ โรเบิร์ต วิลเลียม ร็อบสัน (อังกฤษ: Sir Robert William Robson) (18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 193331 กรกฎาคม ค.ศ. 2009) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน เป็นอดีตนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวอังกฤษ

เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหน้า ในเวลาเกือบ 20 ปี เขาลงเล่นให้กับ 3 ทีม ได้แก่ ฟูลัม, เวสต์บรอมวิชอัลเบียน และแวนคูเวอร์รอยัลส์ เขาลงเล่นในนามทีมชาติอังกฤษ 20 นัด และยิงได้ 4 ประตู

เขาเป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จทั้งกับทีมชาติและสโมสร เขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้ใน 2 ประเทศ คือเนเธอร์แลนด์ และโปรตุเกส และคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยในอังกฤษและสเปน รวมทั้งยังสามารถนำทีมชาติอังกฤษเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลก 1990 และประสบความสำเร็จในการคุมทีมชาติไอร์แลนด์

เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน เสียชีวิตลงอย่างสงบในขณะที่มีอายุ 76 ปี ด้วยโรคมะเร็งที่บ้านของเขา เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 หลังจากที่ป่วยมานานถึง 15 ปี

ประวัติ

[แก้]

ร็อบสันเกิดที่มณฑลเดอแรม เขาเป็นลูกชายคนที่ 4 จาก 5 คน ของฟิลิปป์ และลิเลียน ร็อบสัน ในวัยเด็กพ่อของเขามักจะพาเขาไปชมเกมการแข่งขันของนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์คอยู่เสมอ[1][2][3] ร็อบสันชื่นชอบ แจ็คกี มิลเบิร์น และเลน แช็คเลย์ตันมาก และยกย่องว่าเป็นฮีโร่ในวัยเด็กของเขา โดยทั้งสองเป็นนักฟุตบอลที่เล่นในตำแหน่งกองหน้า ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เขาเล่นเมื่อตอนค้าแข้ง

สมัยเป็นนักเตะ

[แก้]

ระดับสโมสร

[แก้]

สถิติในฐานะผู้เล่น

[แก้]
ระดับสโมสร เกมลีก ฟุตบอลถ้วย ลีกคัพ รวม
ฤดูกาลสโมสรลีก ลงเล่นประตูลงเล่นประตู ลงเล่นประตู ลงเล่นประตู
อังกฤษ ลีกเอฟเอคัพ ลีกคัพ รวม
1950–51 ฟูลัม ดิวิชันหนึ่ง 1 0 - - 1 0
1951–52 16 3 - - 16 3
1952–53 ดิวิชันสอง 35 19 1 0 - 36 19
1953–54 33 13 1 1 - 34 14
1954–55 42 23 1 0 - 43 23
1955–56 25 10 2 0 - 27 10
1955–56 เวสต์บรอมวิชอัลเบียน ดิวิชันหนึ่ง 10 1 - - 10 1
1956–57 39 12 2 1 - 41 13
1957–58 41 24 7 3 - 48 27
1958–59 29 4 1 1 - 30 5
1959–60 41 6 3 0 - 44 6
1960–61 40 5 1 0 - 41 5
1961–62 39 4 4 0 - 43 4
1962–63 ฟูลัม 34 1 2 1 2 0 38 2
1963–64 39 1 2 0 1 0 42 1
1964–65 42 1 2 0 3 1 47 2
1965–66 36 6 - 3 0 39 6
1966–67 41 0 3 0 3 0 47 0
รวม อังกฤษ 583 133 32 7 12 1 627 141
สรุปรวม 583 133 32 7 12 1 627 141

ระดับทีมชาติ

[แก้]

บทบาทในฐานะผู้จัดการทีม

[แก้]

การคุมทีมในช่วงแรก

[แก้]
รูปปั้นของร็อบสันที่พอร์ตแมนโรด

ใน ค.ศ. 1959 ร็อบสันได้เข้าดำรงตำแหน่งเป็นโค้ชให้กับทีมชาติอังกฤษ ร็อบสันดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมเป็นครั้งแรกในเดือนมกราคม ค.ศ. 1968 โดยเป็นผู้จัดการทีมของฟูลัม อดีตต้นสังกัดของเขาในสมัยค้าแข้ง ภายใต้การคุมทีมของเขาจาก 24 นัด ฟูลัมมีคะแนนเพียงแค่ 16 คะแนนเท่านั้น[4][5] ทำให้เขาไม่สามารถช่วยทีมให้รอดพ้นจากการตกชั้นสู่ดิวิชันสองได้[6] ซึ่งการตกชั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน[7]

หลังจากนั้นเขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมของอิปสวิชทาวน์ ใน ค.ศ. 1969 และประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยในฤดูกาล 1972-73 เขาพาทีมคว้าอันดับที่ 4 ในลีกได้สำเร็จ และยังพาทีมคว้าแชมป์ Texaco Cup อีกด้วย[8] ในฤดูกาล 1977-78 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ 9 ของเขากับทีม อิปสวิชจบฤดูกาลได้ต่ำกว่าอันดับที่ 6 ของตาราง แต่อย่างไรก็ตามเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ โดยในนัดชิงชนะเลิศอิปสวิชสามารถเอาชนะอาร์เซนอลไปได้ 1-0[9] ในอีก 3 ปีถัดมา เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพได้สำเร็จ โดยการเอาชนะอาแซดอัลค์มาร์ด้วยสกอร์รวม 5-4[10]

ใน ค.ศ. 2002 การสร้างรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของเขาเสร็จสิ้น โดยตั้งอยู่ที่พอร์ตแมนโรด สนามเหย้าของอิปสวิช

ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ

[แก้]

การคุมทีมอื่นๆในทวีปยุโรป

[แก้]
กราฟแสดงอันดับในลีกเมื่อจบฤดูกาลของร็อบสัน

ก่อนที่ฟุตบอลโลก 1990 จะเริ่มขึ้น สมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือเอฟเอได้บอกกับร็อบสันว่าจะไม่ต่อสัญญาของเขาต่อไป หลังจากที่เขาพ้นจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมพีเอสวีไอน์โฮเฟน และคว้าแชมป์พรีเมียร์ดัตต์ได้ทั้ง 2 ฤดูกาลที่คุมทีม คือ ฤดูกาล 1990-91 และ 1991-92 แต่ไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วยยุโรป ทำให้เขาต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อจบฤดูกาล[11]

เขาเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมสปอร์ติงลิสบอนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1992 ซึ่งในขณะนั้น โชเซ มูริญโญ เป็นล่ามในภาษาโปรตุเกสให้กับเขา ร็อบสันพาทีมจบอันดับที่ 3 ในฤดูกาลแรก แต่ก็ถูกปลดในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1993

หลังจากที่ลิสบอนปลดร็อบสันออกจากตำแหน่งไม่นานนัก สโมสรฟุตบอลโปร์ตูก็ได้ประกาศแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้จัดการทีมทันที โดยมีมูริญโญเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม ภายใต้การคุมทีมของเขา ปอร์โตสามารถเอาชนะลิสบอนได้ในนัดชิงชนะเลิศโปรตุกีสคัพ ต่อมาปอร์โตก็สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ 2 สมัยติดต่อกัน คือ ฤดูกาล 1994-95 และ 1995-96[12]

เขาได้รับต่อสัญญากับทีมใน ค.ศ. 1995 และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการคุมปอร์โต[13]

ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1996 เขาได้รับโทรศัพท์จาก จวน กัลพาร์ท รองประธานสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา โดยได้สนทนากับลูอิช ฟีกู เพื่อที่จะเชื้อเชิญให้เขาเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีม[14] จนในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1996 ร็อบสันได้รับการแต่งตั้งในคุมทีมบาร์เซโลนา โดยเขาได้ให้มูริญโญเป็นผู้ช่วยของเขาด้วย[15] ในการคุมทีมเขาได้เซ็นสัญญากับโรนัลโดด้วยค่าตัว 19.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[16] และในฤดูกาลเดียวร็อบสันสามารถพาทีมคว้าแชมป์สเปนิชคัพ, สเปนิชซูเปอร์คัพ และยูโรเปียนส์วินเนอร์คัพได้[17] โดยในฤดูกาลนี้เขาได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปด้วย

ในฤดูกาล 1997-98 ร็อบสันเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมทั่วไปของสโมสร และลูวี ฟัน คาล เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีม แต่ร็อบสันอยู่ในตำแหน่งเพียงแค่ฤดูกาลเดียวเขาก็กลับไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมของเปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟินอีกครั้ง ด้วยสัญญาระยะสั้นเพียง 1 ฤดูกาล คือ ฤดูกาล 1998-99[18] โดยจบฤดูกาลในอันดับที่ 3 ของตารางตามหลังเฟเยนูร์ด และวิลเลม II[19]

กลับคืนสู่เกาะอังกฤษ

[แก้]

ภายหลังสัญญาระหว่างร็อบสันกับพีเอสวีหมดลง เขาได้กลับสู่อังกฤษอีกครั้ง และมีตำแหน่งในทีมชาติอังกฤษด้วย[20] แต่หลังจากนั้น รืด คึลลิต ผู้จัดการทีมนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง บอร์ดบริหารจึงตัดสินใจแต่งตั้งให้ร็อบสันดำรงตำแหน่งแทนในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1999[21] และสโมสรก็ได้ทำให้ร็อบสันเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมากเนื่องจากให้เงินค่าซื้อขายเพียง 1 ล้านปอนด์เท่านั้น[22]

ในนัดแรกที่ร็อบสันคุมทีม เขาสามารถพาทีมถล่มเชฟฟิลด์เวนส์เดย์ไปได้อย่างขาดลอยถึง 8-0 และพาทีมจบในอันดับที่ 11 ในฤดูกาลแรก โดยจากการแข่ง 32 นัด นิวคาสเซิลสามารถเก็บชัยชนะได้ถึง 14 นัด ภายใต้การคุมทีมของเขา[22][23] หลังปี ค.ศ. 2000 เควิน คีแกน ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ทำให้มีการเจรจาให้ร็อบสันเข้ารับตำแหน่งแทนเป็นการชั่วคราว แต่ร็อบสันก็ได้ปฏิเสธที่จะเข้ารับตำแหน่ง[24] ในฤดูกาล 2001-02 นิวคาสเซิลภายใต้การคุมทีมของร็อบสันสามารถจบฤดูกาลได้ในอันดับที่ 4 ของตาราง[25] ในฤดูกาลถัดมานิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 3 ของตาราง พร้อมทั้งได้สิทธิ์ลงแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน[26] อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพาทีมให้เขารอบต่อไปได้ ทำให้ต้องแข่งขันยูฟ่าคัพแทนในฤดูกาล 2003-04[27] โดยในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 ของตาราง ห่างจากทีมอันดับที่ 4 เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ทำให้ในฤดูกาล 2004-05 นิวคาสเซิลไม่สามารถแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ แต่ต้องไปแข่งขันยูฟ่าคัพแทน[28]

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2004 เฟรดดี เชพเพิร์ด ประธานสโมสร ประกาศปลดร็อบสันออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเริ่มฤดูกาลใหม่อย่างย่ำแย่ และขัดแย้งกับนักเตะ[29] โดยสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง แกรม ซูเนสส์ เข้าดำรงตำแหน่งแทนร็อบสัน

ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์

[แก้]

ในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2005 เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอของฮาร์ทส์ที่ต้องการให้เขาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีม เนื่องจากเขาต้องการอาศัยอยู่ที่นิวคาสเซิล[30] ต่อมาในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2006 สตีฟ สตอนตัน เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติไอร์แลนด์ โดยพร้อมกันนี้ได้แต่งตั้งให้ร็อบสันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้วย[31] และเขาก็ได้ประกาศรีไทร์จากวงการฟุตบอลด้วยเหตุผลด้านสุขภาพใน ค.ศ. 2007

ชีวิตนอกสนามฟุตบอล

[แก้]

ชีวิตส่วนตัว

[แก้]

ร็อบสันสมรสกับเอลซีตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1995[32] มีลูกชาย 3 คน คือ แอนดรูว์, พอล และมาร์ค[1][33]

ตั้งแต่ ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา ร็อบสันจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในบางครั้งนั้นต้องมีการผ่าตัดด้วย ทำให้ส่งผลต่อด้านการงานของเขาเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างสมัยที่เขาเป็นผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอลโปร์ตู เขาต้องพลาดการคุมทีมหลายเดือนในฤดูกาล 1995-96 เนื่องจากตรวจพบว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง และเนื้องอกในปอดข้างขวา[34][35]

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 ร็อบสันเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งอีกเป็นครั้งที่ 5 ต่อมาวันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งปอร์ทสมัธเอาชนะคาร์ดิฟฟ์ซิตีไปได้ 1-0 โดยเขาเป็นผู้มอบถ้วยแชมป์ให้กับ โซล แคมป์เบลล์ กัปตันทีมปอร์ทสมัธ

การเสียชีวิต

[แก้]

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ร็อบสันเสียชีวิตลงอย่างสงบในขณะที่มีอายุ 76 ปี ด้วยโรคมะเร็ง[36]ที่บ้านของเขา หลังจากที่ป่วยมานานถึง 15 ปี หลังจากมีการเผยแพร่ข่าวการเสียชีวิตของเขาไปทั่วโลก ทำให้คนในแวดวงต่างๆเกิดความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ออกมาสดุดีร็อบสันว่าเป็นยอดคนของวงการลูกหนัง โดยเฟอร์กูสันกล่าวว่า "ผมเสียใจมากต่อการจากไปของเพื่อนผู้ยิ่งใหญ่ ของบุคคลที่มหัศจรรย์ และเป็นคนที่มีความรู้ในเกมอย่างสูง" ส่วน กอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็ร่วมกล่าวไว้อาลัยร็อบสันเช่นกัน โดยบราวน์กล่าวว่า "ผมรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ผมเคยได้พบกับบ็อบบี้ในหลายๆโอกาส เขาคือภาพรวมที่ชัดเจนสำหรับทุกๆเรื่องราวอันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับฟุตบอลในประเทศนี้"[37]

กิจกรรมอื่นๆ

[แก้]

มูลนิธิ เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน

[แก้]

เกียรติยศ

[แก้]

นักเตะ

[แก้]

ทีมขาติอังกฤษ

ผู้จัดการทีม

[แก้]

อิปสวิชทาวน์

เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน

โปร์ตู

บาร์เซโลนา

นิวคาสเซิลยูไนเต็ด

ทีมชาติอังกฤษ

Individual

สถิติในฐานะผู้จัดการทีม

[แก้]

สถิติการคุมทีม

[แก้]
ทีม ประเทศ ตั้งแต่ ถึง บันทึก
แข่ง ชนะ แพ้ เสมอ ชนะ %
ฟูลัม ประเทศอังกฤษ มกราคม 1968 พฤศจิกายน 1968 36 6 21 9 16.67
อิปสวิชทาวน์[50] ประเทศอังกฤษ มกราคม 1969 สิงหาคม 1982 709 316 220 173 44.57
ทีมชาติอังกฤษ[51] ประเทศอังกฤษ 1982 1990 95 47 18 30 49.47
เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ 1990 1992 76 52 7 17 68.42
สปอร์ติงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส 1992 1994 59 34 12 13 57.63
สโมสรฟุตบอลโปร์ตู ประเทศโปรตุเกส 1994 1996 120 86 11 23 71.67
บาร์เซโลนา ประเทศสเปน 1996 1997 58 38 8 12 65.52
เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ 1998 1999 38 20 8 10 52.63
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ประเทศอังกฤษ กันยายน 1999 สิงหาคม 2004 255 119 72 64 46.67
ทั้งหมด 1446 718 377 351 49.65

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 "Sir Bobby: My fight against cancer". Daily Mail. 2007-05-05. สืบค้นเมื่อ 2007-05-15.
  2. "Robson: Dream to manage Newcastle". BBC Sport. 1999-09-30. สืบค้นเมื่อ 2007-06-13.
  3. Robson. Farewell but Not Goodbye. p. 15.
  4. Robson. Farewell but Not Goodbye. p. 299.
  5. "Final 1967/1968 English Division 1 (old) Table". Soccerbase. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-08. สืบค้นเมื่อ 2007-08-27.
  6. Robson. Farewell but Not Goodbye. p. 66.
  7. "Bobby Robson". Fulham F.C. สืบค้นเมื่อ 2007-05-16.
  8. "Bobby Robson". Pride of Anglia.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-16. สืบค้นเมื่อ 2007-05-16.
  9. "1978 - Osbourne's year". BBC Sport. 2001-05-10. สืบค้นเมื่อ 2007-05-16.
  10. "Ipswich thankful for Thijssen". UEFA. 2006-01-02. สืบค้นเมื่อ 2007-08-17.
  11. Robson. Farewell but Not Goodbye. pp. 150–53.
  12. "SPORTING LISBON — PORTO". footballderbies.com. สืบค้นเมื่อ 2007-06-19.
  13. Robson. Farewell but Not Goodbye. pp. 160–61.
  14. Robson. Farewell but Not Goodbye. p. 168.
  15. "Tactical masters fight for glory". BBC Sport. 2005-04-26. สืบค้นเมื่อ 2007-06-15.
  16. "Fast facts on Ronaldo". Sports Illustrated. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-25. สืบค้นเมื่อ 2007-08-31.
  17. "Managers — Bobby Robson (1996-97)". FC Barcelona. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-08-21. สืบค้นเมื่อ 2007-08-16.
  18. "Bobby Robson returns to PSV". BBC Sport. 1998-04-06. สืบค้นเมื่อ 2007-08-16.
  19. "Historie eredivisie competitie 1998-1999" (ภาษาดัตช์). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-05-07. สืบค้นเมื่อ 2007-08-17.
  20. "Robson: Dream to manage Newcastle". BBC Sport. 1999-08-30. สืบค้นเมื่อ 2007-08-17.
  21. "Robson takes Newcastle hotseat". BBC Sport. 1999-09-03. สืบค้นเมื่อ 2007-05-15.
  22. 22.0 22.1 Robson. "Going home". Farewell but Not Goodbye. p. 190.
  23. "England 1999/2000". rsssf.com. สืบค้นเมื่อ 2007-08-26.
  24. Brian McNally (2000-10-15). "Football: FA Warned: Hands off our Bobby". findarticles.com, originally Sunday Mirror. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-23. สืบค้นเมื่อ 2007-05-15.
  25. "FA Premier League 2001-2002". fchd.btinternet.co.uk. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-08-04. สืบค้นเมื่อ 2007-08-26.
  26. "FA Premier League - 2002-03". fchd.btinternet.co.uk. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-08-02. สืบค้นเมื่อ 2007-08-26.
  27. Michael Walker. "Newcastle pay price of failure | Football | The Guardian". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2008-09-13.
  28. "2003/2004 | Newcastle United | nufc.co.uk | Matches | Tables". Nufc.premiumtv.co.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-12-03. สืบค้นเมื่อ 2008-09-13.
  29. "Newcastle force Robson out". BBC Sport. 2004-08-30. สืบค้นเมื่อ 2007-05-14.
  30. "Robson rejects approach by Hearts". BBC Sport. 2005-06-07. สืบค้นเมื่อ 2007-05-15.
  31. "Republic appoint Staunton as boss". BBC Sport. 2006-01-13. สืบค้นเมื่อ 2007-05-14.
  32. "Bobby Robson diagnosed With Cancer for Fifth time". Medindia.net. 2007-05-07. สืบค้นเมื่อ 2009-07-31.
  33. "Sir Bobby Robson receives knighthood". BBC News. 2002-11-21. สืบค้นเมื่อ 2007-05-15.
  34. Robson. Farewell but Not Goodbye. pp. 162–68.
  35. "Robson discharged from hospital". BBC. 2006-08-07. สืบค้นเมื่อ 2007-05-13.
  36. Jonathan Stewart. "Football legend Sir Bobby Robson dies". 4ni.co.uk. สืบค้นเมื่อ 2009-07-31.
  37. Football honours Sir Bobby Robson BBC News 2009-08-01
  38. 38.0 38.1 38.2 "Player, Manager, Sir Bobby Robson". ENGLAND FOOTBALL ONLINE. สืบค้นเมื่อ 22 April 2022.
  39. "English Angle: Goal.com Remembers The Legendary Sir Bobby Robson (1933-2009)". Goal.com. สืบค้นเมื่อ 9 December 2018.
  40. "Pep Guardiola wanted to join Newcastle under Bobby Robson". Sky Sports. 4 May 2018. สืบค้นเมื่อ 8 December 2018.
  41. "Manager profile: Bobby Robson". Premier League. สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.
  42. 42.0 42.1 "Manager, Sir Bobby Robson". ENGLAND FOOTBALL ONLINE. สืบค้นเมื่อ 22 April 2022.
  43. "David Beckham: Uefa to honour former England captain with President's Award". UEFA.com. สืบค้นเมื่อ 6 December 2018.
  44. "Preston's Alexander gets PFA award". The PFA. สืบค้นเมื่อ 8 December 2018.
  45. "17th eircom/FAI International Award winners announced". FAI. 4 February 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 February 2012. สืบค้นเมื่อ 8 December 2018.
  46. "Robson humbled by lifetime award". BBC. 9 December 2007. สืบค้นเมื่อ 8 December 2018.
  47. "Fair Play Award honours Robson". FIFA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 December 2018. สืบค้นเมื่อ 8 December 2018.
  48. "FIFA Order of Merit Holders" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2 October 2013. สืบค้นเมื่อ 9 December 2018.
  49. Hall of Fame inductees TWTD
  50. "Bobby Robson". Pride of Anglia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-16. สืบค้นเมื่อ 2008-02-14.
  51. "England Hall of Fame". FA.com. สืบค้นเมื่อ 2007-05-14.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]