คอสเพลย์
คอสเพลย์ (อังกฤษ: cosplay) เป็นคำที่เกิดจากหน่วยคำควบของคำว่า "costume play" คือกิจกรรมและศิลปะการแสดงสดอย่างหนึ่งโดยที่ผู้เข้าร่วมจะถูกเรียกว่าคอสเพลเยอร์ ซึ่งจะสวมใส่เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับเพื่อแสดงเป็นตัวละครที่เฉพาะเจาะจง[1] คอสเพลเยอร์มักจะมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยครั้งเพื่อสร้างวัฒนธรรมย่อยของตนเองขึ้นมา และการใช้คำว่า "คอสเพลย์" ในวงกว้างนั้นรวมไปถึงการสวมบทบาทพร้อมเครื่องแต่งกายใด ๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นในการชุมนุมใด ๆ โดยไม่นับรวมการแสดงบนเวทีอีกด้วย สิ่งใดก็ตามที่สามารถนำมาตีความเช่นนี้ได้อย่างชัดเจนก็สามารถถูกนับว่าเป็นคอสเพลย์ได้เช่นกัน แหล่งที่มาของคอสเพลย์ที่เป็นที่นิยมได้แก่อนิเมะ, การ์ตูน, หนังสือการ์ตูน, มังงะ, ซีรีส์โทรทัศน์, การแสดงดนตรีร็อก, วิดีโอเกม และในบางกรณีก็อาจจะเป็นตัวละครต้นแบบด้วยเช่นกัน
จุดเริ่มต้นของคอสเพลย์ในยุคใหม่นั้นมาจากการแต่งกายของแฟนนิยายวิทยาศาสตร์ในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์ที่เริ่มจัดขึ้นโดยโมโจโรภายใต้ชื่อ "futuristicostumes" ซึ่งจัดขึ้นในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์โลกครั้งที่ 1 ในนครนิวยอร์กเมื่อปี 1939[2] คำว่าคอสเพลย์ในภาษาญี่ปุ่น (コスプレ, โคสุปุเระ, kosupure) เกิดขึ้นเมื่อปี 1984 การเติบโตของจำนวนประชากรคอสเพลเยอร์ที่ทำเป็นงานอดิเรกนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา ซึ่งทำให้ปรากฏการณ์นี้ได้กลายเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมประชานิยมของญี่ปุ่น รวมถึงส่วนอื่น ๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและโลกตะวันตกด้วยเช่นกัน งานคอสเพลย์ถือเป็นกิจกรรมที่พบเห็นได้โดยทั่วไปในฐานะของงานประชุมแฟนคลับ และในปัจจุบันนี้ได้มีงานชุมนุมหรือการประกวดและแข่งขัน, รวมถึงเครือข่ายสังคม, เว็บไซต์ และสื่อรูปแบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอสเพลย์อีกมากมาย คอสเพลย์เป็นที่นิยมในคนทุกเพศทุกวัยและไม่แปลกเลยที่จะได้เห็นการแต่งกายข้ามเพศหรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเจนเดอร์-เบนดิง (gender-bending)
ศัพท์มูลวิทยา
[แก้]คำว่า "cosplay" นั้นเป็นหน่วยคำควบในภาษาญี่ปุ่นซึ่งมาจากการคำในภาษาอังกฤษสองคำคือ costume และ play[1] คำว่าคอสเพลย์ถูกคิดค้นขึ้นโดยโนบุยูกิ ทาคาฮาชิจาก Studio Hard[3] หลังจากที่เขาได้เข้าร่วมงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์โลกในปี 1984 (เวิลด์คอน) ที่ลอสแองเจลิส[4]และได้เห็นการแต่งกายของแฟนนิยายวิทยาศาสตร์ที่นั่น ซึ่งในเวลาต่อมาเขาได้เขียนบทความให้กับนิตยสารมายอะนิเมะของญี่ปุ่น[3] ทาคาฮาชิได้ตัดสินใจคิดค้นคำใหม่ชึ้นมาแทนที่การใช้คำแปลจากภาษาอังกฤษคำว่า "masquerade" เนื่องจากคำแปลในภาษาญี่ปุ่นนั้นจะได้ความหมายว่า "เครื่องแต่งกายของชนชั้นสูง" ซึ่งไม่เหมาะสมกับประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอมาที่เวิลด์คอน[5][6] การคิดค้นคำใหม่เช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการย่อคำในภาษาญี่ปุ่นที่จะใช้มอราแรกของคู่คำนั้น ๆ มาสร้างเป็นคำใหม่ ซึ่งในที่นี้คือคำว่า 'costume' ที่ได้กลายเป็นโคสุ (コス) และคำว่า 'play' ที่ได้กลายเป็นปุเระ (プレ)
ประวัติศาสตร์
[แก้]ก่อนศตวรรษที่ 20
[แก้]บทความหลัก: งานเต้นรำหน้ากาก, ฮาโลวีน, ปาร์ตี้คอสตูม
งานเต้นรำหน้ากากถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในงานคาร์นิวัลในศตวรรษที่ 15 พร้อมทั้งเป็นส่วนสำคัญในงานพระราชพิธี, งานประกวด, และงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ของราชวงศ์ในช่วงปลายยุคกลางอย่างเช่นงานฉลองชัยชนะหรืองานอภิเษกสมรสเป็นต้น นอกจากนี้ยังขยายออกไปยังเทศกาลการแต่งกายสาธารณะในอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 16 ของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาอีกด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานเต้นรำของชนชั้นสูงโดยเฉพาะในแถบเวนิส
ในเดือนเมษายนปี 1877 ฌูล แวร์นได้ส่งบัตรเชิญเกือบ 700 ใบสำหรับงานเต้นรำในเครื่องแต่งกายที่หรูหรา ซึ่งแขกหลายคนแต่งตัวเป็นตัวละครจากนิยายของแวร์น[7]
งานปาร์ตี้เครื่องแต่งกาย (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน) หรืองานปาร์ตี้แต่งกายแฟนซี (ภาษาอังกฤษแบบบริติช) เป็นงานที่ได้รับความนิยมตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา นอกจากนี้หนังสือแนะนำการแต่งกายในยุคนั้นเช่น เครื่องแต่งกายของตัวละครเพศชาย (Male Character Costumes) ของซามูเอล มิลเลอร์ (1884)[8] หรือ หนังสืออธิบายการแต่งกายแฟนซี (Fancy Dresses Described) ของอาร์เดิร์น โฮลต์ (1887)[9] มักเน้นไปที่การแต่งกายแบบทั่วไปโดยส่วนใหญ่ เช่นการแต่งกายในยุคต่าง ๆ , การแต่งกายประจำชาติ, วัตถุสิ่งของหรือแนวคิดทางนามธรรมเช่น "ฤดูใบไม้ร่วง" หรือ "กลางคืน" ซึ่งบางส่วนของการแต่งกายที่ระบุไว้ในนั้นเป็นของบุคคลในประวัติศาสตร์ แม้ว่าบางส่วนจะมาจากนวนิยาย เช่นตัวละครจาก สามทหารเสือ หรือตัวละครอื่น ๆ จากผลงานของเชกสเปียร์
ในเดือนมีนาคมปี 1891 เฮอร์เบิร์ต ทิบบิตส์ได้มีการเชิญชวนคนกลุ่มหนึ่งที่ในปัจจุบันอาจถูกเรียกได้ว่าเป็น "คอสเพลเยอร์" ซึ่งการเชิญชวนนี้ยังได้รับการโฆษณาอีกด้วย เพื่อให้มาเข้าร่วมงานที่จัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 5–10 มีนาคมในปีเดียวกันที่อาคารรอยัลอัลเบิร์ตฮอลล์ในกรุงลอนดอน งานนี้มีชื่อว่า Vril-Ya Bazaar and Fete ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นจากนวนิยายวิทยาศาสตร์และตัวละครในเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ออกมาก่อนหน้านั้นยี่สิบปี[10]
การแต่งกายของแฟนคลับ
[แก้]ตัวละครจากการ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ของ เอ.ดี. คอนโดที่มีชื่อว่ามิสเตอร์สกายแก็คจากดาวอังคาร (นักชาติพันธุ์วิทยาจากดาวอังคารที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องราวบนโลกอย่างน่าตลกขบขัน) อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวละครสมมุติตัวแรกที่ผู้คนได้ทำการเลียนแบบโดยสวมใส่เครื่องแต่งกาย ซึ่งในปี 1908 คู่สามีภรรยาวิลเลียมเฟลล์ (William Fell) จากเมืองซินซินแนติในรัฐโอไฮโอถูกรายงานว่ามีการเข้าร่วมงานหน้ากากที่ลานสเก็ตโดยสวมเครื่องแต่งกายเป็นมิสเตอร์สกายแก็คและมิสดิลล์พิกเกิลส์ ต่อมาในปี 1910 ผู้หญิงที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในงานหน้ากากที่เทศมณฑลทาโคมาในรัฐวอชิงตัน โดยสวมเครื่องแต่งกายเป็นมิสเตอร์สกายแก็คด้วยเช่นกัน[14][15]
บุคคลกลุ่มแรกที่สวมเครื่องแต่งกายเข้าร่วมงานประชุมหรืองานชุมนุมจริงคือแฟนนิยายวิทยาศาสตร์นามว่าฟอร์เรสต์ เจ. อัคเคอร์แมนและเมอร์เทิล อาร์. ดักลาส ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการว่าโมโรโจ พวกเขาเข้าร่วมงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์โลกครั้งแรกในปี 1939 (Nycon หรือ 1st Worldcon) ที่อาคารคาราวานฮอลล์ในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสวมใส่ในกิจกรรม "futuristicostumes" ซึ่งประกอบด้วยเสื้อคลุมสีเขียวและกางเกงขาสั้นที่ได้รับการออกแบบโดยอ้างอิงจากภาพวาดในนิตยสารเยื่อกระดาษของแฟรงค์ อาร์. พอลและจากภาพยนตร์ปี 1936 เรื่องธิงส์ทูคัม โดยทั้งสองชุดนั้นออกแบบและตัดเย็บขึ้นมาโดยดักลาส[15][16][17]
หลังจากนั้นอัคเคอร์แมนได้ให้สัมภาษณ์ว่าตัวเขาคิดว่าทุกคนคงจะสวมชุดแนวเดียวกันกับเขาในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์ ทว่ากลับมีเพียงแค่เขาและดักลาสเท่านั้น[18]
แนวคิดการแต่งกายของแฟนคลับได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างไรก็ตามในงานงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์โลกครั้งที่ 2 ในปี 1940 นั้นมีทั้งการจัดงานแฟนซีแบบไม่เป็นทางการในห้องของดักลาสและการจัดงานแฟนซีอย่างเป็นทางการที่เป็นส่วนหนึ่งของรายการอยู่แล้วด้วยเช่นกัน[4][19][20] เดวิด ไคล์ชนะการประกวดแฟนซีโดยสวมชุดมิง เดอะ เมอร์ซิเลสที่จัดทำขึ้นมาโดยเลสลี่ เพอร์รี ในขณะที่โรเบิร์ต เอ. ดับเบิลยู. โลว์นเดสได้รับรางวัลตำแหน่งที่สองจากการสวมชุดบาร์ เซเนสโตร (จากนวนิยายเดอะไบลนด์สปอตโดยออสติน ฮอลล์และโฮเมอร์ เอียน ฟลินท์)[19] ผู้เข้าร่วมงานคนอื่น ๆ ที่แต่งกายเข้าร่วมงานนั้นซึ่งรวมถึงแขกรับเชิญพิเศษนามว่าอี. อี. สมิธที่แต่งกายเป็นนอร์ธเวสต์ สมิธ (จากชุดเรื่องสั้นของซี. แอล. มัวร์) และทั้งอัคเคอร์แมนและดักลาสก็ได้สวมชุดในแนวคิด futuristicostumes ของพวกเขาอีกครั้งในงานประชุมครั้งนี้[18][19][21] การประกวดการแต่งกายแฟนซีและงานเต้นรำชุดแฟนซีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์โลกนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[20] งานเต้นรำแฟนซีในช่วงแรกเริ่มของเวิลด์คอนนั้นประกอบด้วยวงดนตรี, การเต้นรำ, อาหารและเครื่องดื่ม ผู้เข้าแข่งขันจะทำการเดินผ่านบนเวทีหรือแม้กระทั่งจัดแจงพื้นที่สำหรับการใช้เป็นพื้นที่เต้นรำ[20]
อัคเคอร์แมนสวมชุด "คนค่อมแห่งนอเทรอดาม" ไปที่งานเวิลด์คอนครั้งที่ 3 ในปี 1941 ซึ่งรวมถึงหน้ากากที่ออกแบบและสร้างโดยเรย์ แฮร์รี่เฮาเซน แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หยุดสวมชุดแฟนซีไปเข้าร่วมงานประชุม[18] ส่วนดักลาสนั้นได้สวมชุดของตัวละครอัคคา (จากนวนิยายเรื่องเดอะมูนพูลของเอ. เมอร์ริตต์) โดยรวมถึงหน้ากากที่ทำขึ้นโดยแฮร์รี่เฮาเซนอีกเช่นกัน ซึ่งเธอได้สวมชุดนี้เข้าร่วมงานเวิลด์คอนครั้งที่ 3 และชุดสเน็คมาเธอร์ (ซึ่งอ้างอิงจากนวนิยายของเมอร์ริตต์อีกเรื่องที่มีชื่อว่าเดอะสเน็คมาเธอร์) เพื่อเข้าร่วมงานเวิลด์คอนครั้งที่ 4 ในปี 1946[22] ในขณะนั้นคำศัพท์ที่ใช้เรียกงานชุมนุมเช่นนี้ยังไม่มีการกำหนดขึ้นมา ในสารานุกรมแฟนซี (Fancyclopedia) ของแจ็ค สเปียร์ฉบับปี 1944 ใช้คำว่า costume party[23]
กฎข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายได้เริ่มมีการกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดแนวทางการแต่งกายและตอบสนองกับความนิยมในการแต่งกายบางรูปแบบ ผู้เข้าแข่งขันที่ทำการเปลือยกายคนแรกได้ปรากฏขึ้นในงานแต่งกายแฟนซีของเวิลด์คอนในปี 1952 ทว่าจุดสูงสุดของความนิยมนี้อยู่ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และต้นทศวรรษที่ 1980 โดยในแต่ละปีนั้นมีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้น[20] ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่กฎที่ว่า "ไม่มีเครื่องแต่งกายก็คือไม่มีเครื่องแต่งกาย" โดยเป็นการห้ามการเปลือยกายเต็มตัว แม้ว่าจะอนุญาตให้มีการเปลือยกายบางส่วนได้ตราบใดที่เป็นการนำเสนอตัวละครนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้อง[15] ไมค์ เรสนิกอธิบายว่าชุดเปลือยที่ดีที่สุดคือชุดของคริส ลุนดี (Kris Lundi) ที่สวมชุดฮาร์พีในงานเวิลด์คอนครั้งที่ 32 ในปี 1974 (เธอได้รับรางวัลชมเชยในการแข่งขัน)[20][24][25] เครื่องแต่งกายอีกชุดหนึ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎนั้นมาจากผู้เข้าร่วมงานที่งานเวิลด์คอนครั้งที่ 20 ในปี 1962 ซึ่งมีการพกพาอาวุธเลียนแบบที่สามารถปล่อยเปลวไฟได้จริง อันนำไปสู่กฎการห้ามใช้ไฟจริง[20] ต่อมาในงานครั้งที่ 30 ในปี 1972 ศิลปินนามว่าสก็อต ชอว์ได้ทำการสวมชุดที่ประกอบด้วยเนยถั่วเป็นจำนวนมากเพื่อนำเสนอตัวละครจากคอมิกซ์ใต้ดินของเขาเองที่มีชื่อเรียกว่า "เดอะเทิร์ด" (The Turd) ทว่าเนยถั่วเหล่านั้นได้หลุดออกมาและก่อให้เกิดความเสียหายกับเฟอร์นิเจอร์ผิวนุ่มและเครื่องแต่งกายของคนอื่น ๆ และเริ่มส่งกลิ่นเหม็นภายใต้ความร้อนของแสงไฟ หลังจากนั้นอาหาร, วัตถุที่มีกลิ่น และสิ่งที่อาจทำให้เลอะเทอะจึงถูกห้ามใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งกายหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น[20][26][27][28]
การแต่งกายในลักษณะนี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้นพร้อมกับความนิยมในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์และการมีปฏิสัมพันธ์ของแฟน ๆ เหตุการณ์แรกเริ่มที่มีการแต่งกายในงานประชุมที่สหราชอาณาจักรนั้นเกิดขึ้นในงานประชุมนิยายวิทยาศาสตร์ลอนดอนในปี 1953 แต่ยังคงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแสดงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สมาชิกของสมาคมวิทยาศาสตร์แฟนตาซีลิเวอร์พูลที่เข้าร่วมงานไซตริคอน (Cytricon) ครั้งที่ 1 ในปี 1955 ในเมืองเคทเทอริงนั้นได้สวมเครื่องแต่งกายเข้าร่วมงานและทำเช่นนั้นต่อมาในปีต่อ ๆ ไป[29] ต่อมาในงานเวิลด์คอนครั้งที่ 15 ในปี 1957 ได้กำหนดให้มีการประกวดชุดแฟนซีอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสหราชอาณาจักร[29] ต่อมาในงานอีสเตอร์คอนในปี 1960 ที่จัดขึ้นในลอนดอนนั้นอาจนับได้ว่าเป็นงานประชุมในสหราชอาณาจักรครั้งแรกที่มีการจัดงานเลี้ยงชุดแฟนซีอย่างเป็นทางการที่เป็นส่วนหนึ่งของรายการ[30] โดยมีผู้ชนะร่วมกันคือเอเธล ลินด์เซย์ (Ethel Lindsay) และไอนา ชอร์ร็อค (Ina Shorrock) ในฐานะแม่มดสองคนจากนวนิยายเดอะวิทเชสออฟคาร์เรส ซึ่งเขียนขึ้นโดยเจมส์ เอช. ชมิทซ์[31]
ในปี 1969 ได้มีการจัดงานประชุมสตาร์ เทรคขึ้นมา และต่อมาในปี 1972 จึงได้เริ่มการจัดงานประชุมใหญ่ขึ้นมา ซึ่งได้มีการจัดประกวดเครื่องแต่งกายมาโดยตลอด[32]
ในประเทศญี่ปุ่น การแต่งกายในงานประชุมนั้นเป็นกิจกรรมของแฟนคลับที่สามารถสืบย้อนกลับไปได้ในช่วงปี 1970 โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัวงานคอมิเก็ตในเดือนธันวาคมปี 1975[15] ซึ่งการแต่งกายในช่วงเวลานั้นถูกเรียกว่าคะโซ (仮装)[15] บันทึกครั้งแรกที่เกี่ยวกับการแต่งกายในงานประชุมโดยแฟนคลับในญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นที่งานอาชิโนคอนในปี 1978 ณ เมืองฮาโกเนะ ซึ่งในงานนี้นักวิจารณ์นิยายวิทยาศาสตร์แนวอนาคตนามว่ามะริ โคะทะนิก็ได้สวมชุดที่อ้างอิงมาจากภาพปกของนวนิยายเรื่องอะไฟติงแมนออฟมาร์ส โดยเอ็ดการ์ ไรซ์ เบอร์โรห์ส[33][34] โคะทะนิได้ให้สัมภาษณ์ว่ามีผู้เข้าร่วมงานปาร์ตี้ชุดแฟนซีประมาณยี่สิบคน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกของชมรมแฟนคลับไทรทันออฟเดอะซีของเธอและกลุ่มคันไซเอนเตอร์เทนเนอร์ส (関西芸人, คันไซเกนิน) ที่เป็นต้นกำเนิดของสตูดิโออนิเมะไกแน็กซ์ ทว่าโดยส่วนใหญ่ผู้เข้าร่วมงานนั้นแต่งตัวตามปกติ[33] หนึ่งในสมาชิกกลุ่มคันไซซึ่งเป็นเพื่อนที่ไม่เปิดเผยชื่อของยะสุฮิโระ ทะเคะดะได้สวมชุดทัสเคนเรดเดอร์ (จากภาพยนตร์สตาร์ วอร์ส) ที่ทำขึ้นอย่างเร่งด่วนจากม้วนกระดาษชำระของโรงแรมที่เป็นเจ้าภาพ[35] การประกวดชุดแฟนซีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งอย่างถาวรของงานประชุมนิฮงเอสเอฟไทไคนับตั้งแต่งานโทคอนครั้งที่ 7 ในปี 1980 เป็นต้นมา
การแข่งขันแต่งกายชุดแฟนซีครั้งแรกที่จัดขึ้นในงานประชุมหนังสือคอมมิคนั้นเป็นไปได้ว่าอาจจะจัดขึ้นในงานอะคาเดมีคอนครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นที่โรงแรมบรอดเวย์เซ็นทรัลในนครนิวยอร์กในเดือนสิงหาคม ปี 1965[36] รอย ทอมัส ผู้ที่ต่อมาได้เป็นบรรณาธิการบริหารของมาร์เวลคอมิกส์ แต่ในขณะนั้นเขาเพิ่งเปลี่ยนจากบรรณาธิการแฟนซีนมาเป็นนักเขียนการ์ตูนมืออาชีพก็ได้เข้าร่วมงานโดยแต่งกายในชุดพลาสติกแมน[36]
งานเต้นรำหน้ากากครั้งแรกที่จัดขึ้นที่งานแซนดีเอโกคอมิกคอนนั้นจัดขึ้นในปี 1974 ซึ่งเป็นการจัดงานครั้งที่ 6 โดยมีจูน โฟเรย์ที่ในขณะนั้นเป็นนักพากย์เสียงมาเป็นผู้ดำเนินรายการ[37] บริงเก้ สตีเวนส์ ผู้ที่ต่อมาจะได้กลายเป็นดาราภาพยนตร์สยองขวัญนั้นสามารถคว้ารางวัลที่หนึ่งด้วยการสวมชุดของตัวละครแวมไพเรลลาในงานครั้งนี้[38][39] แอกเคอร์แมน (ผู้สร้างแวมไพเรลลา) ได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้และถ่ายภาพร่วมกับสตีเวนส์ และต่อมาพวกเขาจึงได้กลายเป็นเพื่อนกัน สตีเวนส์ยังได้กล่าวว่า "ฟอร์รีและภรรยาของเขาเวนเดย์นได้กลายเป็นเสมือนพ่อแม่ทูนหัวของฉันในไม่ช้า"[40] ต่อมาช่างภาพนามว่าแดน โกลเด้นได้เห็นภาพถ่ายของสตีเวนส์ในชุดคอสตูมแวมไพเรลลาในขณะเยี่ยมบ้านของแอกเคอร์แมน ทำให้ต่อมาเขาได้จ้างเธอให้เข้าแสดงในบทที่ไม่มีบทพูดในภาพยนตร์ของนักศึกษาครั้งแรกของเธอ ที่มีชื่อเรื่องว่าไซแซ็คอิสคิง (1980) และต่อมาได้ถ่ายภาพเธอขึ้นปกนิตยสารเฟมม์แฟเทลส์ฉบับแรกในปี 1992[40] ซึ่งสตีเวนส์ได้ยกให้เหตุการณ์เหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพนักแสดงของเธอ[40]
ประมาณหนึ่งปีหลังจากการออกฉายภาพยนตร์เดอะร็อกกี้เฮอร์เรอร์พิกเจอร์โชว์ในปี 1975 ผู้ชมก็เริ่มแต่งกายเป็นตัวละครจากภาพยนตร์และเล่นบทบาทสมมติด้วยกัน (แม้ว่าสาเหตุแรกเริ่มของการแต่งกายจะเป็นการเข้าชมฟรี) โดยสวมใส่เครื่องแต่งกายที่มีความใกล้เคียงกับต้นฉบับสูง[41][42]
งานคอสตูมคอน (Costume-Con) ซึ่งเป็นงานประชุมที่อุทิศให้กับการออกแบบเครื่องแต่งกายได้ถูกจัดขึ้นครั้งแรกในเดือนมกราคมปี 1983[43][44] หลังจากนั้นต่อมาได้มีการจัดตั้งสมาคมนักออกแบบเครื่องแต่งกายนานาชาติ (International Costumers Guild, Inc.) ขึ้นมาหลังจากงานคอสตูมคอนครั้งที่ 3 ซึ่งแต่เดิมนั้นใช้ชื่อว่าสมาคมแห่งนักออกแบบเครื่องแต่งกายแฟนตาซีโคลัมเบียใหญ่ (Greater Columbia Fantasy Costumer's Guild) เพื่อเป็นองค์กรหลักและสนับสนุนการออกแบบเครื่องแต่งกาย[43]
คอสเพลย์
[แก้]การออกแบบเครื่องแต่งกายเป็นกิจกรรมของบรรดาแฟนคลับในญี่ปุ่นนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา และกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นหลังจากรายงานของทาคาฮาชิ อย่างไรก็ตาม คำศัพท์ใหม่นี้ยังไม่ได้รับความนิยมขึ้นมาโดยทันที เป็นเวลาหนึ่งถึงสองปีหลังจากบทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ก่อนที่คำศัพท์นี้จะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่แฟนคลับที่เข้าร่วมงานประชุมหลังจากนั้นเป็นเวลาต่อมา[15] และในช่วงทศวรรษ 1990 หลังจากที่ได้รับการเผยแพร่ทางโทรทัศน์และนิตยสาร คอสเพลย์ในด้านคำศัพท์และการปฏิบัติจริงก็ได้กลายเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น[15]
คาเฟ่คอสเพลย์แห่งแรกได้ถูกจัดตั้งขึ้นในย่านอากิฮาบาระ ในกรุงโตเกียวในช่วงปลายทศวรรษ 1990[4][45] เมดคาเฟ่ชั่วคราวได้ถูกจัดตั้งขึ้นในงานโตเกียวคาแร็กเตอร์คอลเล็กชัน (Tokyo Character Collection) ในเดือนสิงหาคมปี 1998 เพื่อโปรโมตวิดีโอเกม Welcome to Pia Carrot 2 (1997)[45] หลังจากนั้นต่อมาร้านเปียแคร์รอตเรสโตรองต์ (Pia Carrot Restaurant) ก็ได้จัดตั้งขึ้นเป็นครั้งคราวที่ร้านเกเมอร์ส (Gamers) ในย่านอากิฮาบาระจนถึงปี 2000[45] เนื่องด้วยการเชื่อมโยงกับทรัพย์สินทางปัญญาที่เฉพาะเจาะจงจึงทำให้อายุการเปิดทำการของคาเฟ่เหล่านี้มีจำกัด ซึ่งต่อมาปัญหานี้ได้ถูกแก้ไขโดยการใช้เมดทั่วไป ส่งผลให้เกิดร้านคาเฟ่ถาวรแห่งแรกคือ Cure Maid Café ซึ่งเปิดในเดือนมีนาคมปี 2001[45]
งานประชุมคอสเพลย์โลก (World Cosplay Summit) ครั้งแรกนั้นจัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคมปี 2003 ณ โรงแรมโรสคอร์ท (Rose Court) ในนครนาโงยะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเชิญคอสเพลเยอร์จำนวนห้าคนจากประเทศเยอรมนี, ฝรั่งเศส และอิตาลีเข้าร่วม ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการประกวดหรือแข่งขันจนกระทั่งปี 2005 ในการแข่งขันชิงแชมป์คอสเพลย์ระดับโลก (World Cosplay Championship) โดยผู้ชนะกลุ่มแรกนั้นเป็นทีมจากประเทศอิตาลี ได้แก่ จอร์เจีย เว็คคินี, ฟรานเชสก้า ดานี และเอมิเลีย ฟาตา ลิเวีย
การเข้าร่วมงานประกวดเครื่องแต่งกายในงานเวิลด์คอนนั้นเข้าสู่จุดสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1980 และเริ่มเสื่อมความนิยมลงหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม ความนิยมเช่นนี้ได้กลับคืนมาอีกครั้งเมื่อแนวคิดเรื่องการคอสเพลย์ได้รับการนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น
คอสเพลย์ในทางปฏิบัติ
[แก้]เครื่องแต่งกายสำหรับการคอสเพลย์นั้นมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่เสื้อผ้าที่มีความเรียบง่ายไปจนถึงเครื่องแต่งกายที่มีรายละเอียดซับซ้อน โดยทั่วไปแล้วคอสเพลย์นั้นถือว่าแตกต่างจากการแต่งกายในวันฮาโลวีนหรือมาร์ดิกรา เนื่องจากจุดประสงค์ของการคอสเพลย์คือการเลียนแบบตัวละครแบบเฉพาะเจาะจงมากกว่าการสะท้อนวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ของงานเทศกาล ดังนั้นแล้วในขณะที่ยังอยู่ในเครื่องแต่งกายนั้นคอสเพลเยอร์บางคนจึงมักพยายามเลียนแบบท่าทาง อากัปกิริยา และภาษากายของตัวละครที่พวกเขาสวมบทบาทอยู่ (โดยมีช่วงพักจากการแสดงบทบาท) ตัวละครที่ได้รับเลือกสำหรับการคอสเพลย์นั้นอาจมาจากภาพยนตร์ ซีรีส์โทรทัศน์ หนังสือ การ์ตูน วิดีโอเกม วงดนตรี อนิเมะ หรือมังงะก็ย่อมได้ คอสเพลเยอร์บางคนอาจเลือกแต่งคอสเพลย์เป็นตัวละครที่พวกเขาสร้างขึ้นเองหรือเป็นการผสมผสานของแนวคิดต่าง ๆ (เช่น ตัวละครในรูปแบบสตีมพังก์) และเป็นที่ยอมรับในหมู่คอสเพลเยอร์ว่าผู้ใดก็ตามสามารถแต่งกายเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการแปลงเพศ (genderbending) การคอสเพลย์ข้ามเพศ (crossplay) หรือการแสดงในลักษณะของการแต่งกายข้ามเพศ (drag) การสวมบทบาทเป็นตัวละครที่มีเชื้อชาติแตกต่างกัน หรือแม้กระทั่งการแต่งกายในแบบฮิญาบเพื่อเป็นกัปตันอเมริกา[46][47]
เครื่องแต่งกาย
[แก้]คอสเพลเยอร์จัดหาหรือได้รับเครื่องแต่งกายมาจากหลากหลายแหล่ง มีผู้ผลิตสินค้าได้ผลิตและจำหน่ายเครื่องแต่งกายสำเร็จรูปสำหรับการคอสเพลย์ ซึ่งแต่ละแหล่งย่อมมีคุณภาพที่แตกต่างกัน ชุดเหล่านี้มักวางจำหน่ายทางออนไลน์ แต่ยังสามารถซื้อได้จากผู้จำหน่ายตามงานประชุมต่าง ๆ เช่นกัน ในปี 2008 นั้นเหล่าผู้ผลิตชุดคอสเพลย์ในญี่ปุ่นได้รายงานผลกำไรที่สูงถึง 35,000 ล้านเยน[48] นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่รับทำงานตามคำสั่งเพื่อการจัดทำเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ประกอบฉาก หรือวิกที่ออกแบบและปรับให้เหมาะสมโดยเฉพาะกับผู้จ้างวานแต่ละคน นอกจากนี้ คอสเพลเยอร์บางคนที่นิยมสร้างชุดด้วยตนเองยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตให้แก่ประกอบแต่ละชิ้นและวัตถุดิบต่าง ๆ เช่น วิกที่ยังไม่ได้จัดทรง สีย้อมผม ผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บ ยางลาเท็กซ์ชนิดเหลว สีทาตัว เครื่องประดับแต่งกาย และอาวุธจำลอง
คอสเพลย์ถือเป็นการแสดงออกถึงการสวมบทบาท คอสเพลย์มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการนำเสนออัตลักษณ์ของตนเอง[49] แต่ความสามารถของคอสเพลเยอร์ในการแสดงบทบาทนั้นมักถูกจำกัดด้วยลักษณะทางกายภาพของแต่ละคน ความเที่ยงตรงของการคอสเพลย์มักจะถูกประเมินจากความสามารถในการนำเสนอภาพลักษณ์ของตัวละครผ่านร่างกายได้อย่างถูกต้อง และคอสเพลเยอร์มักจะได้เผชิญกับ 'ข้อจำกัดทางกายภาพ' ของตนเอง[50] เช่น ความน่าดึงดูด, ขนาดรูปร่าง และความพิการ[51] ซึ่งกลายมาเป็นข้อจำกัดและส่งผลต่อการรับรู้ถึงความเที่ยงตรงของการคอสเพลย์ ความเที่ยงตรงดังกล่าวนี้ยังถูกตัดสินจากความสามารถของคอสเพลเยอร์ในการแปลงตัวละครที่ปรากฏบนหน้าจอไปสู่การคอสเพลย์ได้อย่างลงตัวหรือไม่อีกด้วย ผู้คนบางกลุ่มได้แย้งว่าการคอสเพลย์ไม่สามารถถูกเรียกว่าเป็นการนำเสนอตัวละครได้อย่างแท้จริง แต่เป็นเพียงการอ่านภาพผ่านร่างกายแทน และการสวมบทบาทตัวละครนั้นจะถูกประเมินจากความใกล้เคียงกับรูปแบบดั้งเดิมของตัวละคร[52] นอกจากนี้ การคอสเพลย์ยังสามารถช่วยผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นใจในตนเองได้อีกด้วย[53][54]
คอสเพลเยอร์หลายคนได้สร้างเครื่องแต่งกายของตนเองโดยอ้างอิงจากภาพของตัวละครในกระบวนการสร้าง ในการสร้างเครื่องแต่งกายนั้นมักจะใช้เวลามากในการใส่ใจรายละเอียดและคุณภาพ ดังนั้นทักษะของคอสเพลเยอร์อาจสามารถวัดได้จากรายละเอียดในชุดแต่งกายของตัวละครต้นแบบและความแม่นยำในการเลียนแบบรายละเอียดเหล่านั้น เนื่องจากความยากในการเลียนแบบรายละเอียดและวัสดุบางอย่าง คอสเพลเยอร์จึงมักเรียนรู้ทักษะเฉพาะทางด้านงานฝีมือ เช่น สิ่งทอ ประติมากรรม การเพนต์หน้า ไฟเบอร์กลาส การออกแบบแฟชั่น งานไม้ และการใช้วัสดุต่าง ๆ เพื่อสร้างรูปลักษณ์และพื้นผิวของเครื่องแต่งกายให้ใกล้เคียงกับตัวละครได้อย่างแม่นยำ[55] คอสเพลเยอร์มักสวมวิกร่วมกับเครื่องแต่งกายของพวกเขาเพื่อเพิ่มความคล้ายคลึงกันกับตัวละครต้นแบบ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับตัวละครในอนิเมะ มังงะ หรือวิดีโอเกมที่มักมีสีผมที่ไม่เป็นธรรมชาติและรูปแบบทรงผมที่มีลักษณะเฉพาะ เครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายกว่านั้นจะไร้ซึ่งความซับซ้อน ซึ่งในจุดนี้ก็อาจได้รับการชดเชยด้วยการเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมและการรักษาคุณภาพโดยรวมให้อยู่ในระดับที่ดี
เพื่อให้มีลักษณะเหมือนตัวละครที่พวกเขากำลังสวมบทบาทมากขึ้น คอสเพลเยอร์บางคนอาจมีการปรับเปลี่ยนร่างกายในรูปแบบต่าง ๆ โดยที่คอสเพลเยอร์บางคนอาจเลือกเปลี่ยนสีผิวของตนเองด้วยการใช้เครื่องสำอางเพื่อเลียนแบบเชื้อชาติของตัวละครที่พวกเขากำลังสวมบทบาท[56] การใช้คอนแทคเลนส์ที่มีสีเหมือนกับดวงตาของตัวละครเป็นวิธีที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกรณีของตัวละครที่มีดวงตาเป็นเอกลักษณ์ซึ่งถือเป็นจุดเด่น คอนแทคเลนส์ที่ทำให้รูม่านตาดูขยายใหญ่ขึ้นเพื่อเลียนแบบดวงตาขนาดใหญ่ของตัวละครในอนิเมะและมังงะนั้นได้ถูกนำมาใช้เช่นกัน[57] อีกหนึ่งรูปแบบของการปรับเปลี่ยนร่างกายคือการเลียนแบบรอยสักหรือเครื่องหมายพิเศษที่ตัวละครอาจมี โดยวิธีที่คอสเพลเยอร์ใช้นั้นมีตั้งแต่การใช้รอยสักชั่วคราว, ปากกามาร์คเกอร์ถาวร, สีทาตัว และในบางกรณีอาจเป็นรอยสักถาวร รวมถึงการย้อมสีผมถาวรหรือชั่วคราว, การใช้สเปรย์เปลี่ยนสีผม และผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีลักษณะเฉพาะล้วนเป็นวิธีที่คอสเพลเยอร์บางคนใช้หากทรงผมตามธรรมชาติของพวกเขาสามารถทำให้เหมือนตัวละครได้ นอกจากนี้ การโกนคิ้วเพื่อให้ได้ลักษณะที่ใกล้เคียงกับตัวละครก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อย
ตัวละครในอนิเมะและวิดีโอเกมบางตัวมีอาวุธหรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่ยากต่อการเลียนแบบ และงานประชุมมักมีกฎที่เข้มงวดเกี่ยวกับอาวุธเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม คอสเพลเยอร์ส่วนใหญ่มักใช้วิธีการผสมผสานเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของที่จำเป็นสำหรับเครื่องแต่งกายของพวกเขา ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจ้างให้มีการสร้างอาวุธจำลองขึ้นมาเอง เย็บเสื้อผ้าด้วยตัวเอง ซื้อเครื่องประดับตัวละครจากผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมคอสเพลย์ หรือซื้อรองเท้าสำเร็จรูปและปรับแต่งให้เหมาะสมกับรูปลักษณ์ที่ต้องการ
การนำเสนอ
[แก้]คอสเพลย์สามารถถูกนำเสนอได้ในหลากหลายวิธีและหลายสถานที่ วัฒนธรรมคอสเพลย์บางส่วนมุ่งเน้นไปที่ความดึงดูดทางเพศ โดยที่คอสเพลเยอร์เลือกตัวละครที่เป็นที่รู้จักในเรื่องความมีเสน่ห์หรือมีการแต่งกายที่เปิดเผยเรือนร่าง อย่างไรก็ตาม การสวมใส่เครื่องแต่งกายที่เปิดเผยเรือนร่างอาจเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนเมื่อปรากฏตัวในที่สาธารณะ[58][59][60] ในงานประชุมแฟนไซไฟของอเมริกาในช่วงทศวรรษ 1970 มีการปรากฏตัวแบบเปลือยกายที่พบเห็นได้บ่อยจนมีการกำหนดกฎขึ้นมาว่า "ไม่มีชุดก็ถือว่าไม่มีชุด"[61] นอกจากนี้ งานประชุมในสหรัฐอเมริกาบางแห่ง เช่น Phoenix Comicon[62] (ปัจจุบันรู้จักในชื่อ Phoenix Fan Fusion) และ Penny Arcade Expo[63] ได้ออกกฎที่ระบุสิทธิ์ในการขอให้ผู้เข้าร่วมออกจากงานหรือเปลี่ยนชุดหากถูกพิจารณาว่าไม่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อครอบครัวหรือในลักษณะคล้ายคลึงกัน
งานประชุม
[แก้]รูปแบบการนำเสนอที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการนำเสนอคอสเพลย์ต่อสาธารณะคือการสวมใส่ชุดคอสเพลย์ไปยังงานประชุมแฟนคลับ ซึ่งงานประชุมที่อุทิศให้กับอนิเมะและมังงะ, การ์ตูน, รายการโทรทัศน์, วิดีโอเกม, นิยายวิทยาศาสตร์และแฟนตาซีนั้นสามารถพบได้ทั่วโลก งานประชุมที่มุ่งเน้นคอสเพลย์โดยเฉพาะ ได้แก่ Cosplay Mania ในประเทศฟิลิปปินส์ และ EOY Cosplay Festival ในประเทศสิงคโปร์
งานอีเวนต์ที่มีคอสเพลย์เป็นส่วนหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดคืองานตลาดโดจินชิที่จัดขึ้นปีละสองครั้งที่มีชื่อว่าคอมิกมาร์เก็ต (Comic Market) หรือคอมิเก็ต (Comiket) ซึ่งจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว งานคอมิเก็ตได้ดึงดูดแฟนคลับอนิเมะและมังงะหลายแสนคน โดยที่มีคอสเพลเยอร์หลายพันคนมารวมตัวกันบนดาดฟ้าของศูนย์แสดงสินค้า ในอเมริกาเหนือ งานประชุมแฟนคลับที่มีผู้เข้าร่วมสูงสุดซึ่งมีคอสเพลเยอร์เข้าร่วมด้วยนั้นได้แก่งานแซนดิเอโกคอมิกคอน (San Diego Comic-Con) และงานนิวยอร์กคอมิกคอน (New York Comic Con) ซึ่งจัดขึ้นในสหรัฐอเมริกา รวมถึงงานอนิเมะนอร์ธ (Anime North) ที่มุ่งเน้นอนิเมะที่จัดชึ้นในโตรอนโต, งานโอตาคอน (Otakon) ที่จัดขึ้นในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และงานอนิเมะเอ็กซ์โป (Anime Expo) ที่จัดขึ้นในลอสแอนเจลิส ส่วนงานอีเวนต์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปคืองานเจแปนเอ็กซ์โป (Japan Expo) ที่จัดขึ้นในกรุงปารีส ในขณะที่งานลอนดอนเอ็มซีเอ็มเอ็กซ์โป (London MCM Expo) และงานประชุมลอนดอนซูเปอร์คอมิก (London Super Comic Convention) เป็นงานอีเวนต์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหราชอาณาจักร สำหรับออสเตรเลียนั้นงานซูปาโนวาป็อปคัลเจอร์เอ็กซ์โป (Supanova Pop Culture Expo) เป็นงานอีเวนต์ที่ใหญ่ที่สุด
งานประชุมของสตาร์ เทรคนั้นมีการนำคอสเพลย์มาเป็นส่วนหนึ่งเป็นระยะเวลานานหลายทศวรรษ ตัวอย่างงานประชุมเหล่านี้ได้แก่ งานเดสติเนชั่น สตาร์ เทร็ค (Destination Star Trek) ซึ่งเป็นงานประชุมที่จัดขึ้นในสหราชอาณาจักร และงานสตาร์ เทร็ค ลาสเวกัส (Star Trek Las Vegas) ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
ในงานมหกรรมการ์ตูนต่าง ๆ จะมีการจัด "พื้นที่ธีม" ขึ้นมาเพื่อให้คอสเพลเยอร์สามารถถ่ายภาพในสภาพแวดล้อมที่สอดคล้องกับเกมหรือผลงานแอนิเมชันที่พวกเขาคอสเพลย์มา บางครั้งคอสเพลเยอร์จะเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ดังกล่าว โดยรับบทเป็นพนักงานหรือสตาฟที่มีหน้าที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้เข้าชม ตัวอย่างเช่นพื้นที่ธีมที่อุทิศให้กับสตาร์ วอร์ส (Star Wars) หรือฟอลล์เอาท์ (Fallout) พื้นที่เหล่านี้ถูกจัดขึ้นโดยเหล่าแฟนคลับที่ไม่แสวงหาผลกำไร แต่ในงานมหกรรมขนาดใหญ่บางแห่งอาจมีพื้นที่ธีมที่ถูกจัดขึ้นโดยตรงจากผู้พัฒนาเกมหรือผู้ผลิตแอนิเมชัน
การถ่ายภาพ
[แก้]การปรากฏตัวของคอสเพลเยอร์ในงานอีเวนต์สาธารณะทำให้พวกเขาเป็นที่ดึงดูดความสนใจของช่างภาพ[64] เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เริ่มปรากฏให้เห็นชัดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 จึงได้เกิดการคอสเพลย์รูปแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งก็คือการที่คอสเพลเยอร์เข้าร่วมงานโดยมุ่งเน้นไปที่การเป็นแบบถ่ายภาพนิ่งของตัวละครที่พวกเขาคอสเพลย์ มากกว่าการที่จะมีส่วนร่วมในการสวมบทบาทสมมติอย่างต่อเนื่อง ต่อมาจึงได้มีการพัฒนากฎมารยาทขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดความไม่สบายใจเกี่ยวกับพื้นที่ส่วนตัว คอสเพลเยอร์จะโพสท่าถ่ายรูปให้กับช่างภาพ และช่างภาพห้ามกดดันพวกเขาเพื่อขอข้อมูลติดต่อส่วนตัวหรือขอนัดถ่ายภาพส่วนตัว, ไม่ติดตามคอสเพลเยอร์ออกนอกพื้นที่, หรือถ่ายภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต กฎเหล่านี้ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างช่างภาพและคอสเพลเยอร์ดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุดโดยไม่สร้างความบาดหมางต่อกัน[34]
คอสเพลเยอร์บางคนเลือกที่จะให้ช่างภาพมืออาชีพถ่ายภาพที่มีคุณภาพสูงในชุดคอสเพลย์ของพวกเขาโดยโพสท่าตามตัวละครที่ตนเองคอสเพลย์ คอสเพลเยอร์และช่างภาพมักจะนำผลงานของพวกเขาไปจัดแสดงทางออนไลน์ และบางครั้งก็จำหน่ายภาพถ่ายเหล่านั้นด้วย[64]
การแข่งขัน
[แก้]ด้วยความนิยมของคอสเพลย์ที่เพิ่มขึ้น งานมหกรรมหลายแห่งจึงมีการจัดการแข่งขันคอสเพลย์ ซึ่งมักเป็นกิจกรรมหลักของงาน ซึ่งทางผู้เข้าประกวดจะนำเสนองานคอสเพลย์ของตน และในหลายกรณีนั้นทางผู้จัดการประกวดจะกำหนดให้ชุดคอสเพลย์ต้องเป็นผลงานที่ทำขึ้นเอง ผู้เข้าประกวดอาจเลือกแสดงการแสดงอย่างสั้น เช่น การแสดงบทพูดหรือการเต้นรำ ซึ่งอาจมีเสียงประกอบ, วิดีโอ, หรือภาพฉายบนจอ หรือบางคนอาจเลือกโพสท่าตามตัวละครของพวกเขา ผู้เข้าประกวดมักจะได้รับการสัมภาษณ์อย่างสั้นบนเวทีโดยพิธีกร ผู้ชมจะได้รับโอกาสในการถ่ายภาพกับคอสเพลเยอร์ ผู้เข้าประกวดสามารถแข่งขันได้ทั้งแบบเดี่ยวหรือแบบกลุ่มและมักจะมีการให้รางวัล ซึ่งรางวัลเหล่านี้อาจมีความหลากหลาย โดยทั่วไปจะมีรางวัลสำหรับคอสเพลเยอร์ปนะเภทเดี่ยวยอดเยี่ยม, รางวัลประเภทกลุ่มยอดเยี่ยม และรางวัลรองชนะเลิศ นอกจากนี้ยังอาจมีรางวัลสำหรับการแสดงยอดเยี่ยมและรางวัลในหมวดทักษะคอสเพลย์ต่าง ๆ เช่น ช่างตัดเย็บมืออาชีพ, ผู้สร้างอาวุธยอดเยี่ยม, ผู้สร้างชุดเกราะยอดเยี่ยม และอื่น ๆ
การแข่งขันคอสเพลย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือการประชุมสุดยอดคอสเพลย์โลก (World Cosplay Summit) ซึ่งคัดเลือกคอสเพลเยอร์จาก 40 ประเทศมาชิงชัยในรอบสุดท้ายที่เมืองนาโงยะ ประเทศญี่ปุ่น งานสำคัญระดับนานาชาติอื่น ๆ ได้แก่งานรวมตัวคอสเพลย์ยุโรป (European Cosplay Gathering) (ซึ่งรอบสุดท้ายจัดขึ้นที่งานเจแปนเอ็กซ์โปในกรุงปารีส)[65] งานยูโรคอสเพลย์ (EuroCosplay) (ซึ่งรอบสุดท้ายจัดขึ้นที่งานลอนดอนเอ็มซีเอ็มคอมิกคอน)[66] และงานชิงแชมป์คอสเพลย์นอร์ดิก (Nordic Cosplay Championship) (ซึ่งรอบสุดท้ายจัดขึ้นที่งานนาร์คอน (NärCon) ในเมืองลินเชอปิง ประเทศสวีเดน)[67]
เกณฑ์การตัดสินทั่วไปของการแข่งขันคอสเพลย์
[แก้]ตารางนี้แสดงรายการเกณฑ์การตัดสินในการแข่งขันคอสเพลย์ที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งอ้างอิงจากการประชุมสุดยอดคอสเพลย์[68], งานไซปรัสคอมิกคอน (Cyprus Comic Con)[69] และงานรีเพลย์เอฟเอ็กซ์ (ReplayFX)[70]
เกณฑ์ | คำอธิบาย | ตัวอย่าง |
---|---|---|
ความแม่นยำ | ความคล้ายคลึงกับตัวละครต้นแบบในแง่ของรูปลักษณ์ |
|
งานฝีมือ | คุณภาพและรายละเอียดของเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ |
|
การนำเสนอ | ความคล้ายคลึงในแง่ของการสวมบทบาทและการแสดงลง |
|
ผลกระทบต่อผู้ชม | การปรากฏตัวบนเวทีและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม |
|
ประเด็นทางเพศสภาพ
[แก้]การนำเสนอตัวละครที่มีเพศตรงข้ามกับตนเองนั้นเรียกว่าครอสเพลย์ ความนิยมในการแต่งกายแบบครอสเพลย์และการแต่งตัวข้ามเพศมีส่วนเกี่ยวข้องกับความแพร่หลายในมังงะของตัวละครชายที่มีลักษณะอ่อนโยนและคล้ายกับลักษณะกึ่งกะเทย (androgynous) ซึ่งตัวละครเหล่านี้จะถูกเรียกว่าบิโชเน็น (แปลตรงตัวว่า "เด็กหนุ่มรูปงาม")[71] ซึ่งเป็นตัวแทนของลักษณะตัวละครเด็กชายที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับตัวละครในประเพณีตะวันตก เช่น ปีเตอร์ แพน และแอเรียล[72]
คอสเพลเยอร์ชายที่แต่งกายเป็นตัวละครหญิงอาจต้องเผชิญกับปัญหาในการพยายามแสดงความเป็นหญิงแบบตัวละครต้นแบบ เนื่องจากเป็นเรื่องยากในการรักษาความสมจริงของลักษณะทางเพศหญิงดังกล่าว นอกจากนี้ คอสเพลเยอร์ชายยังอาจเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ[73] เช่นการพบเจอกับความคิดเห็นที่มีลักษณะเกลียดชังเพศทางเลือก รวมถึงการถูกเนื้อต้องตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจเกิดขึ้นกับผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิง แม้ว่าการถูกเนื้อต้องตัวที่ไม่เหมาะสมจะเป็นปัญหาที่คอสเพลย์หญิงได้เผชิญอยู่แล้ว[74] เช่นเดียวกับปัญหา "การดูถูกว่าไม่เหมาะสมทางเพศ" (slut-shaming)[75]
ผู้เล่นอนิเมะกาโอะ คิกุรุมิ (Animegao Kigurumi) ซึ่งเป็นกลุ่มเฉพาะในวงการคอสเพลย์ มักเป็นคอสเพลเยอร์ชายที่ใช้ชุดเซนไท (zentai) และหน้ากากที่มีการออกแบบเฉพาะตัวเพื่อสวมบทบาทเป็นตัวละครหญิงจากอนิเมะ กลุ่มคอสเพลเยอร์เหล่านี้จะปกปิดลักษณะจริงของตนเองทั้งหมด เพื่อให้สามารถถ่ายทอดรูปลักษณ์ดั้งเดิมของตัวละครได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด รวมถึงการแสดงออกถึงรูปลักษณ์ทางนามธรรมและลักษณะเฉพาะ เช่น ดวงตาที่มีขนาดใหญ่เกินจริงและปากที่เล็กมาก ซึ่งพบได้บ่อยในศิลปะแบบการ์ตูนญี่ปุ่น[76] อย่างไรก็ตาม การแสดงอนิเมะกาโอะไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ชายเท่านั้น และหน้ากากก็ไม่ได้ใช้เพียงเพื่อแสดงเป็นตัวละครหญิงเท่านั้น
ประเด็นทางการคุกคาม
[แก้]"Cosplay Is Not Consent" (คอสเพลย์ไม่ใช่การสมยอม) เป็นการเคลื่อนไหวที่เริ่มต้นในปี 2013 โดยโรเชลล์ เคย์ฮาน (Rochelle Keyhan), เอริน ฟิลสัน (Erin Filson) และแอนนา เคกลอร์ (Anna Kegler) ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้ได้สร้างความตระหนักถึงปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในกลุ่มคอสเพลเยอร์ที่เข้าร่วมงานประชุมแฟนคลับ[77][78] การล่วงละเมิดที่เกิดขึ้นกับคอสเพลเยอร์นั้นรวมถึงการถ่ายภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต, การใช้วาจาดูหมิ่น, การสัมผัส และการลวนลาม การล่วงละเมิดไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้หญิงที่แต่งกายด้วยชุดที่ยั่วยวนเท่านั้น เนื่องจากคอสเพลเยอร์ชายเองก็ได้รายงานว่าถูกกลั่นแกล้งจากความไม่เข้ากันกับเครื่องแต่งกายหรือตัวละครที่พวกเขาเลือกด้วยเช่นกัน
ในปี 2014 ทางผู้จัดงานนิวยอร์กคอมิกคอนได้ติดป้ายขนาดใหญ่ที่บริเวณทางเข้าของงานโดยมีข้อความว่า "Cosplay is Not Consent" (คอสเพลย์ไม่ใช่การสมยอม) ผู้เข้าร่วมงานได้รับการเตือนให้ขออนุญาตก่อนถ่ายภาพและเคารพสิทธิ์ของบุคคลที่จะปฏิเสธ[79] การเคลื่อนไหวต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อคอสเพลเยอร์ได้รับแรงสนับสนุนและได้รับการตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เริ่มมีการเผยแพร่สู่สาธารณะ สื่อข่าวกระแสหลัก เช่น เดอะเมอร์คิวรีนิวส์ (The Mercury News) และลอสแอนเจลิสไทมส์ (Los Angeles Times) ได้รายงานข่าวในประเด็นนี้ ซึ่งช่วยสร้างความตระหนักรู้เรื่องการล่วงละเมิดทางเพศให้กับผู้ที่อยู่นอกชุมชนคอสเพลย์[80][81]
ประเด็นทางชาติพันธุ์
[แก้]เมื่อการคอสเพลย์เข้าสู่สื่อกระแสหลักมากขึ้น ประเด็นเรื่องเชื้อชาติก็ได้กลายเป็นประเด็นให้ผู้คนได้ถกเถียงกัน คอสเพลเยอร์ที่มีสีผิวแตกต่างจากตัวละครมักถูกเยาะเย้ยว่า "ไม่เหมือนจริง" หรือ "ไม่เข้ากัน" กับตัวละคร[82] คอสเพลเยอร์หลายคนมองว่าผู้ใดก็ตามย่อมสามารถคอสเพลย์เป็นตัวละครตัวใดก็ได้ แต่ประเด็นนี้ได้เกิดความซับซ้อนเพิ่มขึ้นเมื่อคอสเพลเยอร์ไม่ให้ความเคารพต่อเชื้อชาติของตัวละคร[83] ความคิดเห็นที่ต่อต้านคอสเพลเยอร์ที่ไม่ใช่คนผิวขาวในชุมชนคอสเพลย์นั้นมักถูกเชื่อมโยงกับการขาดการนำเสนอในอุตสาหกรรมและสื่อ[84] นอกจากนี้ ปัญหาอย่างการแต่งหน้าเลียนแบบคนผิวดำ (blackface) คนผิวน้ำตาล (brownface) และคนเอเชีย (yellowface) ยังคงเป็นประเด็นถกเถียง เนื่องจากคนในชุมชนคอสเพลย์จำนวนมากมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นปัญหาที่ต่างกัน หรือมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของคอสเพลย์ที่สามารถยอมรับได้
นักเดินแบบคอสเพลย์
[แก้]อ่านเพิ่มเติม: นักเดินแบบส่งเสริมการขาย
คอสเพลย์นั้นมีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมโฆษณา โดยที่คอสเพลเยอร์มักถูกจ้างให้ทำงานในงานอีเวนต์ที่ก่อนหน้านี้พวกเขามักมอบหมายให้กับนักเดินแบบจากเอเจนซี่[64] ด้วยเหตุนี้ คอสเพลเยอร์บางคนจึงเปลี่ยนงานอดิเรกให้กลายเป็นอาชีพที่ทำกำไรได้[85][86][87] ในอุตสาหกรรมบันเทิงของญี่ปุ่นนั้นคอสเพลเยอร์มืออาชีพมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่ยุคที่งานคอมิเก็ตและงานโตเกียวเกมโชว์ (Tokyo Game Show)[64] เริ่มเฟื่องฟู ปรากฏการณ์นี้พบเห็นได้ชัดที่สุดในปนะเทศญี่ปุ่น แต่ยังคงมีอยู่ในประเทศอื่น ๆ ด้วยในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม คอสเพลเยอร์มืออาชีพที่ทำกำไรจากงานศิลปะของตนเองอาจประสบปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์[88]
นักเดินแบบคอสเพลย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ คอสเพลย์ไอดอล เป็นผู้ที่สวมเครื่องแต่งกายคอสเพลย์สำหรับบริษัทอนิเมะและมังงะหรือวิดีโอเกม คอสเพลเยอร์ที่มีฝีมือดีมักจะถูกมองว่าเป็นตัวละครสมมติในชีวิตจริง ในทำนองเดียวกันกับที่นักแสดงภาพยนตร์มักจะถูกจดจำในบทบาทเฉพาะของพวกเขา คอสเพลเยอร์จำนวนหนึ่งได้เคยเป็นนักเดินแบบให้กับนิตยสาร เช่น นิตยสารคอสโหมด (Cosmode) และคอสเพลเยอร์ที่ประสบความสำเร็จอาจได้กลายเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับบริษัท เช่นบริษัทคอสปา (Cospa) คอสเพลเยอร์บางคนได้รับการยอมรับในวงกว้าง เช่น ยายา ฮาน (Yaya Han) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งในและนอกวงการคอสเพลย์[86] เจสสิกา นิกริ (Jessica Nigri) ใช้ชื่อเสียงในการคอสเพลย์ของเธอเพื่อโอกาสอื่น ๆ เช่น การพากย์เสียงและมีสารคดีเป็นของเธอเองในรูสเตอร์ทีธ (Rooster Teeth) ส่วนลิซ แคทซ์ (Liz Katz) ใช้ฐานแฟนคลับของเธอเพื่อเปลี่ยนคอสเพลย์จากงานอดิเรกให้กลายเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งจุดประกายการถกเถียงในชุมชนคอสเพลย์ว่า คอสเพลเยอร์ควรได้รับอนุญาตให้หาเงินและทำกำไรจากผลงานของตนหรือไม่[89][90]
ในช่วงทศวรรษ 2000 บรรดาคอสเพลเยอร์บางส่วยได้เริ่มผลักดันขอบเขตของการคอสเพลย์ไปสู่ความเย้ายวนใจทางเพศ ซึ่งนำไปสู่การกำเนิดขึ้นมาของกระแส "อีโรคอสเพลย์" (erocosplay)[91][92] การมาถึงของสื่อสังคมออนไลน์ที่ประกอบกับแพลตฟอร์มระดมทุนอย่างเพทรีออน (Patreon) และโอนลีแฟนส์ (OnlyFans) ได้เปิดโอกาสให้เหล่านักเดินแบบคอสเพลย์สามารถเปลี่ยนคอสเพลย์ให้กลายเป็นอาชีพประจำที่สามารถทำกำไรได้[93]
คอสเพลย์ในประเทศหรือภูมิภาคต่าง ๆ
[แก้]คอสเพลย์ในญี่ปุ่น
[แก้]ในประเทศญี่ปุ่นนั้นคอสเพลเยอร์เคยเรียกตัวเองว่า "เรย์ยะ" (レイヤー) ซึ่งออกเสียงตามคำว่า "เลเยอร์" (layer) ทว่าในปัจจุบันนี้ในประเทศญี่ปุ่นนั้นคอสเพลเยอร์จะถูกเรียกว่าคอสเพลย์ (コスプレ) ซึ่งออกเสียงว่า โค-สุ-ปุ-เระ อันเป็นคำที่นิยมใช้มากกว่า เนื่องจากคำว่าเรย์ยะมักถูกใช้เพื่ออธิบายชั้นหรือเลเยอร์ เช่น เลเยอร์ของผม, เสื้อผ้า ฯลฯ[94] นอกจากนี้คำว่าคาวาอี้ (可愛い) ที่แปลว่าน่ารัก และคักโคอี้ (かっこいい) ที่แปลว่าเท่มักถูกใช้เพื่อบรรยายถึงคอสเพลย์ในมุมมองที่เกี่ยวกับความเป็นผู้หญิงและผู้ชาย[95] ผู้ที่ถ่ายภาพคอสเพลเยอร์จะถูกเรียกว่า คาเมโกะ ซึ่งย่อมาจาก คาเมระ โคโซ (camera kozō) ซึ่งแปลว่า "เด็กกล้อง" โดยเดิมทีนั้นคาเมโกะจะมอบภาพถ่ายให้คอสเพลเยอร์เป็นของขวัญ ความสนใจที่เพิ่มขึ้นในงานคอสเพลย์จากทั้งทางช่างภาพและคอสเพลเยอร์ที่ยินดีเป็นแบบถ่ายภาพนั้นได้นำไปสู่การจัดระเบียบขั้นตอนในงานต่าง ๆ เช่นงานโคมิเก็ต การถ่ายภาพมักจะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่กำหนดซึ่งแยกออกจากพื้นที่จัดแสดงงาน นอกจากนี้ ในญี่ปุ่นนั้นการแต่งคอสเพลย์นอกงานหรือพื้นที่ที่กำหนดมักไม่เป็นที่ยอมรับ[5][6]
นับตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา ย่านอากิฮาบาระในโตเกียวได้มีร้านอาหารคอสเพลย์หลายแห่งที่รองรับแฟนอนิเมะและคอสเพลย์ตัวยง พนักงานเสิร์ฟในร้านเหล่านี้มักแต่งกายเป็นตัวละครจากวิดีโอเกมหรืออนิเมะ โดยเฉพาะเมดคาเฟ่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ย่านฮาราจูกุในโตเกียวถือเป็นสถานที่รวมตัวแบบไม่เป็นทางการยอดนิยมสำหรับการแต่งคอสเพลย์ในที่สาธารณะ นอกจากนี้ กิจกรรมในอากิฮาบาระยังสามารถดึงดูดคอสเพลเยอร์จำนวนมากให้เข้าร่วมได้อีกด้วย
อิโชคุฮาดะ (Ishoku-hada, 異色肌) เป็นรูปแบบหนึ่งของการแต่งคอสเพลย์แบบญี่ปุ่นที่ผู้แต่งกายจะใช้สีทาตัวเพื่อเปลี่ยนสีผิวให้ตรงกับตัวละครที่พวกเขาสวมบทบาท สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถสวมบทบาทเป็นตัวละครจากอนิเมะหรือวิดีโอเกมที่มีสีผิวต่างจากมนุษย์ได้[96]
จากผลสำรวจในปี 2014 เกี่ยวกับงานประชุมคอมิกมาร์เก็ตในญี่ปุ่น พบว่าประมาณ 75% ของคอสเพลเยอร์ที่เข้าร่วมงานเป็นผู้หญิง[97]
คอสเพลย์ในประเทศเอเชียอื่น ๆ
[แก้]คอสเพลย์เป็นที่นิยมในหลายประเทศในเอเชียตะวันออก ตัวอย่างเช่น คอสเพลย์เป็นส่วนสำคัญของงานประชุมคอมิกเวิลด์ (Comic World) ที่จัดขึ้นเป็นประจำในเกาหลีใต้, ฮ่องกง และไต้หวัน[98] ทว่าในเชิงประวัติศาสตร์แล้วนั้นการแต่งตัวเลียนแบบตัวละครจากผลงานนิยายสามารถย้อนรอยกลับไปได้ไกลถึงศตวรรษที่ 17 ในช่วงปลายราชวงศ์หมิงของจีน[99]
คอสเพลย์ในประเทศตะวันตก
[แก้]ต้นกำเนิดของคอสเพลย์ในฝั่งตะวันตกนั้นมีรากฐานมาจากแฟนด้อมของนิยายวิทยาศาสตร์และแฟนตาซีเป็นหลัก นอกจากนี้ยังพบว่าคอสเพลย์ในตะวันตกมักเลียนแบบตัวละครจากซีรีส์คนแสดงมากกว่าการคอสเพลย์แบบที่ญี่ปุ่นนิยม นักแต่งกายในตะวันตกนั้นรวมถึงกลุ่มย่อยของผู้ที่มีงานอดิเรก เช่น การเข้าร่วมงานเทศกาลยุคเรอเนซองส์ (Renaissance faires), เกมสวมบทบาทแบบแสดงสด (live action role-playing games) และการจำลองเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ (historical reenactments) การแข่งขันในงานนิยายวิทยาศาสตร์มักประกอบด้วยการแสดงชุด (masquerade) ซึ่งมีการนำเครื่องแต่งกายมานำเสนอและตัดสินบนเวทีอย่างเป็นทางการ รวมถึงการประกวดชุดในพื้นที่ทั่วไป (hall costumes)[100]
ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของแอนิเมชันญี่ปุ่นนอกทวีปเอเชียในช่วงปลายทศวรรษ 2000 นั้นได้ส่งผลให้มีนักคอสเพลย์ชาวอเมริกันและชาวตะวันตกคนอื่น ๆ ที่แต่งตัวเป็นตัวละครจากมังงะและอนิเมะมากขึ้น งานประชุมอนิเมะในโลกตะวันตกได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และในปัจจุบันมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานประชุมมังงะและอนิเมะที่เริ่มเทียบเท่างานนิยายวิทยาศาสตร์, การ์ตูน และงานประชุมทางประวัติศาสตร์ ซึ่งในงานเหล่านี้นั้นเหล่าคอสเพลเยอร์ เช่นเดียวกับคอสเพลเยอร์ในญี่ปุ่น จะมาพบปะเพื่อแสดงผลงานของตน, ถ่ายภาพ และแข่งขันการแต่งกาย[101] นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังนิยมแต่งตัวเป็นตัวละครจากการ์ตูนตะวันตก, ตัวละครในภาพยนตร์ และวิดีโอเกมอีกด้วย
ความแตกต่างทางรสนิยมยังคงมีอยู่ในวัฒนธรรมคอสเพลย์: เครื่องแต่งกายบางชุดที่คอสเพลเยอร์ชาวญี่ปุ่นสวมใส่โดยไม่ลังเลอาจถูกหลีกเลี่ยงโดยคอสเพลเยอร์ชาวตะวันตก เช่นชุดที่ชวนให้นึกถึงเครื่องแบบนาซี คอสเพลเยอร์ชาวตะวันตกบางคนยังต้องเผชิญกับคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมเมื่อแต่งตัวเป็นตัวละครที่มีภูมิหลังทางเชื้อชาติที่แตกต่างไปจากตนเอง[102][103] อีกทั้งยังมีกรณีที่ผู้คนแสดงความเฉยเมยต่อความรู้สึกของคอสเพลเยอร์ที่แต่งตัวเป็นตัวละครที่มีสีผิวแตกต่างจากพวกเขา[104][105] นอกจากนี้ คอสเพลเยอร์ชาวตะวันตกที่แต่งตัวเป็นตัวละครจากอนิเมะ อาจต้องเผชิญกับการล้อเลียนเป็นพิเศษอีกด้วย[106]
ตรงกันข้ามกับประเทศญี่ปุ่น การสวมเครื่องแต่งกายเช่นนี้ในที่สาธารณะเป็นที่ยอมรับมากกว่าในสหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และประเทศตะวันตกอื่น ๆ เนื่องด้วยประเทศเหล่านี้มีประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับการแต่งกายวันฮาโลวีน, การแต่งกายแฟนคลับ และกิจกรรมอื่นในลักษณะเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้เข้าร่วมงานในเครื่องแต่งกายแฟนซีหรือคอสเพลย์จึงมักจะถูกพบเห็นตามร้านอาหารและสถานที่รับประทานอาหารในท้องถิ่นที่นอกเหนือจากขอบเขตของงานหรือกิจกรรมที่จัดขึ้น[5][6]
สื่อ
[แก้]นิตยสารและหนังสือ
[แก้]สารคดีและรายการเรียลลิตีโชว์
[แก้]สื่ออื่น
[แก้]กลุ่มและองค์กรที่เกี่ยวกับคอสเพลย์
[แก้]ไทย
[แก้]- Khon Kaen Cosplay : Alliances
- Esan-Henshin
- Maruya
ต่างประเทศ
[แก้]นานาชาติ
[แก้]ระเบียงภาพ
[แก้]-
ตลับแปลงร่างบนชุดของเซเลอร์มูนจัดเป็นอุปกรณ์ในการคอสเพลย์ชนิดหนึ่ง
-
คามาโดะ ทันจิโร่ และ คามาโดะ เนซึโกะในงานคอสเพลย์เมื่อปี พ.ศ.2564
-
ภาพถ่ายคอสเพลย์จากด้านหลัง คามาโดะ เนซึโกะ บริเวณป้ายรถประจำทางในปี พ.ศ.2565
-
โทโมเอะ โฮตารุ หรือ เซเลอร์แซทเทิร์น ในงานคอสเพลย์
ดูเพิ่มเติม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "Washingtonpost.com: What Would Godzilla Say?". www.washingtonpost.com.
- ↑ Culp, Jennifer (2016-05-09). "Meet the Woman Who Invented Cosplay". Racked (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ 3.0 3.1 "Nobuyuki (Nov) Takahashi". web.archive.org. 2012-07-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-05. สืบค้นเมื่อ 2024-04-26.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 "75 Years Of Capes and Face Paint: A History of Cosplay". Yahoo Entertainment (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2014-07-24.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 "The History of Cosplay". Japan Powered (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2016-10-16.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Mechademia. 1, Emerging worlds of anime and manga. Internet Archive. Minneapolis, Minn. : University of Minnesota Press ; Bristol : University Presses Marketing [distributor]. 2006. ISBN 978-0-8166-4945-7.
{{cite book}}
: CS1 maint: others (ลิงก์) - ↑ Liptak, Andrew (2022-06-28). Cosplay: A History: The Builders, Fans, and Makers Who Bring Your Favorite Stories to Life (ภาษาอังกฤษ). Simon and Schuster. ISBN 978-1-5344-5582-5.
- ↑ Samuel Miller. male character costumes.
- ↑ Holt, Ardern (1887). Fancy dresses described : or, What to wear at fancy balls. University of California Libraries. London : Debenham & Freebody : Wyman & Sons.
- ↑ "'The Coming Race' and 'Vril-Ya' Bazaar and Fete, in joint aid of The West End Hospital, and the School of Massage and Electricity | Royal Albert Hall Memories". web.archive.org. 2021-04-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-04-12. สืบค้นเมื่อ 2024-11-24.
- ↑ "Cosplay Is Over 100 Years Old". Kotaku (ภาษาอังกฤษ). 2016-05-17.
- ↑ Jamieson, Gavin (2014-04-08). "6 Nerd Culture Stereotypes That Are Way Older Than You Think". Cracked.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "UNDERCOVER CHARACTER | Diving deep into the world of cosplay | Myrtle Beach Sun News". web.archive.org. 2017-09-21.
- ↑ Miller, Ron (2013-09-19). "Was Mr. Skygack the First Alien Character in Comics?". Gizmodo (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 15.4 15.5 15.6 Ashcraft Brian; Plunkett, Luke (2014). Cosplay World. Prestel Publishing. pp. 6–11. ISBN 9783791349251.
- ↑ "Mimosa 29, pages 55-59. "Caravan to the Stars" by Dave Kyle". www.jophan.org.
- ↑ Culp, Jennifer (2016-05-09). "Meet the Woman Who Invented Cosplay". Racked (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ 18.0 18.1 18.2 Painter, Deborah (2010). Forry: The Life of Forrest J Ackerman. McFarland. pp. 37–39. ISBN 9780786448845.
- ↑ 19.0 19.1 19.2 Rich, Mark (2009). C.M. Kornbluth: The Life and Works of a Science Fiction Visionary. McFarland. p. 69. ISBN 9780786457113.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 20.5 20.6 Resnick, Mike (2015). "Worldcon Masquerades". Always a Fan. Wildside Press. pp. 106–110. ISBN 9781434448149.
- ↑ "Textile Technoculture Creations and the Early Days of Women's Cosplay — Lady Science". web.archive.org. 2023-08-25. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-08-25. สืบค้นเมื่อ 2024-11-24.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "eFanzines.com - Robert Lichtman - Trap Door". web.archive.org. 2017-02-08. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-02-08. สืบค้นเมื่อ 2024-11-24.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Speer, John Bristol (1944). Fancyclopedia (1st ed.). Los Angeles: Forrest J Ackerman. p. 21.
- ↑ "Kris Lundi aka Animal X as a Harpy, Discon II, 1974". web.archive.org. 2017-02-08. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-02-08. สืบค้นเมื่อ 2024-11-24.
- ↑ "Discon II - 1974 WorldCon - W74M024". fanac.org.
- ↑ "Mimosa 25, pages 13-20. "Worldcon Memories (Part 4)" by Mike Resnick". www.jophan.org.
- ↑ Glyer, Mike (2013-02-26). "Scott Shaw! Deuce of Deuces". File 770 (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "The Turd". web.archive.org. 2015-10-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-13. สืบค้นเมื่อ 2024-11-24.
- ↑ 29.0 29.1 "COSPLAY: 1930s TO 1950s". www.fiawol.org.uk.
- ↑ "COSPLAY: 1960s and 1970s". www.fiawol.org.uk.
- ↑ "LONCON (1960)". www.fiawol.org.uk.
- ↑ "Star Trek Conventions - Fanlore". fanlore.org.
- ↑ 33.0 33.1 "Interview: Mari Kotani, Pioneer of Japanese Cosplay - Origins - An Introduction to Japanese Subcultures - Keio University". web.archive.org. 2017-05-02. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-02. สืบค้นเมื่อ 2024-11-24.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ 34.0 34.1 Thorn, Rachel (2004). "Girls And Women Getting Out Of Hand: The Pleasure And Politics Of Japan's Amateur Comics Community". In Kelly, William W. (ed.). Fanning the Flames: Fans and Consumer Culture in Contemporary Japan. SUNY Press. p. 175. ISBN 9780791460320.
- ↑ Takeda, Yasuhiro (2005). The Notenki Memoirs. ADV Manga. ISBN 9781413902341.
- ↑ 36.0 36.1 Schelly, Bill (7 November 2012). "Found! 'New' Photos from the 1965 New York Comicon! (part 2)". Alter Ego. 3 (83). TwoMorrows Publishing: 69–70.
- ↑ "Downey Jr. dances, Arnold surprises, Spider-Man rushes the stage: Every year of Comic-Con in one giant timeline". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2015-07-08.
- ↑ "Jazma Online Forum". web.archive.org. 2017-04-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-04-07. สืบค้นเมื่อ 2024-11-24.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Bozung, Justin (2012-04-28). "The Brinke Stevens Interview". The Gentlemen's Blog to Midnite Cinema.
- ↑ 40.0 40.1 40.2 Collum, Jason Paul (2004). Assault of the Killer B's. McFarland. p. 24. ISBN 9780786480418.
- ↑ Samuels, Stuart (1983). Midnight Movies. Collier Books. p. 11. ISBN 002081450X.
- ↑ Making The Rocky Horror Picture Show, สืบค้นเมื่อ 2024-11-24
- ↑ 43.0 43.1 "The Genesis and Evolution of Costume-Con – Costume-ConNections" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ Bacon-Smith, Camille (2000). Science Fiction Culture. University of Pennsylvania Press. p. 56. ISBN 9780812215304.
- ↑ 45.0 45.1 45.2 45.3 "Intersections: Maid in Japan: An Ethnographic Account of Alternative Intimacy". intersections.anu.edu.au.
- ↑ "Cosplayer Spotlight on Hijabi Hooligan Cosplay - The Marvel Report". web.archive.org. 2020-10-30. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-30. สืบค้นเมื่อ 2024-11-24.
- ↑ "The Muslim cosplayer who uses the hijab in her outfits" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2024-11-24.
- ↑ Hayden, Craig (2012). The Rhetoric of Soft Power: Public Diplomacy in Global Contexts (ภาษาอังกฤษ). Lexington Books. ISBN 978-0-7391-4258-5.
- ↑ Lamerichs, Nicolle (2011-09-15). "Stranger than fiction: Fan identity in cosplay". Transformative Works and Cultures (ภาษาอังกฤษ). 7. doi:10.3983/twc.2011.0246. ISSN 1941-2258.
- ↑ "Intersections: Cosplay, Lolita and Gender in Japan and Australia: An Introduction". intersections.anu.edu.au.
- ↑ "Cosplaying With A Disability Is Awesome | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2015-09-30. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-30. สืบค้นเมื่อ 2024-12-07.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Kirkpatrick, Ellen (2015-03-15). "Toward new horizons: Cosplay (re)imagined through the superhero genre, authenticity, and transformation". Transformative Works and Cultures (ภาษาอังกฤษ). 18. doi:10.3983/twc.2015.0613. ISSN 1941-2258.
- ↑ "Power Girl and Ivy Cosplay Boost Self Esteem | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2015-10-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-07. สืบค้นเมื่อ 2024-12-07.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Cosplay and The Benefits of Bravery | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2015-11-18. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-11-18. สืบค้นเมื่อ 2024-12-07.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Costumes & Makeup". LoveToKnow (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Blacked Out: Discussing cosplay and 'blackface' - Nerd Reactor". web.archive.org. 2017-12-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-12-06. สืบค้นเมื่อ 2024-12-23.
- ↑ "Japanese circle lens - A visual trick for anime cosplayers". Mookychick (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2014-09-10.
- ↑ "Skimpy Outfit Gets Lollipop Chainsaw Cosplayer Asked to Change Or Leave PAX Show Floor". Kotaku (ภาษาอังกฤษ). 2012-04-08.
- ↑ "Woman calls police over cosplayer's 'underboob' at anime festival". Yahoo News (ภาษาอังกฤษ). 2013-11-15.
- ↑ Guerrero, John Velociraptor (2016-06-25). "Cammy cosplayer forced to cover up at CEO, but not by tournament staff". EventHubs (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "A Treasure Trove of Cosplay from the Swinging 1970s [NSFW]". web.archive.org. 2015-10-08. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-08. สืบค้นเมื่อ 2024-12-24.
- ↑ "Under Construction". web.archive.org. 2023-04-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-23. สืบค้นเมื่อ 2024-12-24.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "PAX Prime - Seattle, WA Aug 28-31, 2015". web.archive.org. 2015-06-18. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-18. สืบค้นเมื่อ 2024-12-24.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ 64.0 64.1 64.2 64.3 "Cosplay Models Real Life Japanime Characters by Cynthia Leigh | Entertainment Scene 360". web.archive.org. 2014-05-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-05-17. สืบค้นเมื่อ 2024-12-27.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Welcome - ECG, Extreme Cosplay Gathering". www.ecg-cosplay.com.
- ↑ "International Cosplay | London Comic Con". web.archive.org. 2018-01-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-01-01. สืบค้นเมื่อ 2024-12-27.
- ↑ "Nordic Cosplay Championship". Nordic Cosplay Championship (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Craftsmanship judging regulations | WORLD COSPLAY SUMMIT OFFICIAL SITE". web.archive.org. 2016-10-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-12. สืบค้นเมื่อ 2024-12-27.
- ↑ "Cosplay Contest Judging Criteria". Cyprus Comic Con (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2015-08-28.
- ↑ "Cosplay Contest Rules – ReplayFX". web.archive.org. 2016-10-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-12. สืบค้นเมื่อ 2024-12-27.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "What Is Crossplay And What Does It Say About Gender | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2016-02-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-06. สืบค้นเมื่อ 2024-12-28.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Benesh-Liu, P. (October 2007). ANIME COSPLAY IN AMERICA. Ornament, 31(1), 44–49. Retrieved 12 October 2008, from Academic Search Complete database.
- ↑ "Gender Discrimination Against Male Cosplayers | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2016-02-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-07. สืบค้นเมื่อ 2024-12-28.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Metal Gear's Quiet and Cosplay's Free Speech | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2016-02-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-07. สืบค้นเมื่อ 2024-12-28.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Cosplay and the Normie Stare | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2016-01-13. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-01-13. สืบค้นเมื่อ 2024-12-28.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Florian Jomain. "Surrender : Image Contamination of Networked Bodies" (PDF). Rietveldacademie.nl. Archived from the original (PDF) on 23 December 2015. Retrieved 6 February 2016.
- ↑ Fiorillo, Victor (2014-07-28). "Philly Women Battle Sexual Harassment at Comic-Con". Philadelphia Magazine (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ News, Claire Trageser published in (2015-07-06). "Women Are Being Sexually Harassed at Comic-Con—but One of Them Is Making It Stop". Marie Claire Magazine (ภาษาอังกฤษ).
{{cite web}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ Romano, Andrea (2014-10-15). "Cosplay Is Not Consent: The People Fighting Sexual Harassment at Comic Con". Mashable (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Comic-Con 2018: The movement to protect cosplayers from harassment in a #MeToo world". The Mercury News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2018-07-16.
- ↑ "At comic cons, some jokers get away with harassment - Los Angeles Times". web.archive.org. 2023-04-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-28. สืบค้นเมื่อ 2024-12-28.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "'Cosplay is for everyone': How these cosplayers are combating online hate with reimagined looks | CBC Radio". web.archive.org. 2023-04-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-27. สืบค้นเมื่อ 2024-12-29.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Strapagiel, Lauren (2019-04-17). "This Twitch Streamer Was Suspended For A Blackface Cosplay". BuzzFeed News (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Medium, Seattle (2022-11-21). "Discrimination In Cosplay Is Influenced By The Lack Of Representation In Media". The Seattle Medium (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Fox News Report: Sexy Cosplayers Can Make $200,000 A Year". Cosplay News Network (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2017-08-01.
- ↑ 86.0 86.1 Bolling, Ben; Smith, Matthew J. (2014-02-26). It Happens at Comic-Con: Ethnographic Essays on a Pop Culture Phenomenon (ภาษาอังกฤษ). McFarland. ISBN 978-0-7864-7694-7.
- ↑ Orsini, Lauren Rae (2012-02-01). "Costume designer turns play into work with cosplay". The Daily Dot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "What Does A Professional Cosplayer Do | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2016-02-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-06. สืบค้นเมื่อ 2024-12-29.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Is fundraising a cosplay outfit wrong? - Nerd Reactor". web.archive.org. 2022-12-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-12-05. สืบค้นเมื่อ 2024-12-29.
- ↑ "Cosplayer Ani-Mia sheds light on the dark side of cosplay crowdfunding - Nerd Reactor". web.archive.org. 2022-12-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-12-05. สืบค้นเมื่อ 2024-12-29.
- ↑ "How Japanese Cosplay Is Moving Closer to Porn". Kotaku (ภาษาอังกฤษ). 2011-09-29.
- ↑ LaFave, Daniela (2024-12-27). "The 10 Best Cosplay Onlyfans Creators of 2024". The Village Voice (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ Teh, Cheryl. "Cosplayers — once relegated to the niche world of comic conventions — have transformed themselves into brand influencers, and are raking in thousands, and sometimes millions, in the process". Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "WWWJDIC: Word Search". web.archive.org. 2015-01-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-03. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ Skov, Lisa; Moeran, Brian (1995). Women, Media and Consumption in Japan. Honolulu: University of Hawai'i Press. pp. 220–54.
- ↑ "Body Paint Makes For Colorful Japanese Fashion". Kotaku (ภาษาอังกฤษ). 2017-06-29.
- ↑ "Wayback Machine" (PDF). web.archive.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-28. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Art & Deal Magazine » Photo Essay". web.archive.org. 2015-07-21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-07-21. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ gordsellar (2015-05-20). "The Cosplayers of the Late Ming Dynasty". gordsellar.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "ConAdian Masquerade". web.archive.org. 2013-09-21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-21. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
- ↑ "Comic Con Cosplay | Why We Go To NYCC". Cosplay News Network (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2018-09-26.
- ↑ "Questions of Race and Cosplay". web.archive.org. 2015-12-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-12-22. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "The Controversy of Skin Color in Cosplay: Racism or Not?". Uloop.
- ↑ "Ghostbusters Cosplay is Great Because its Normal | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2016-02-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-07. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Five Ways of Taking The Hurt Out of Online Cosplay Haters | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2016-02-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-07. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - ↑ "Understanding Anime Cosplay | Cosplay Dossier | The Escapist". web.archive.org. 2016-02-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-07. สืบค้นเมื่อ 2024-12-30.
{{cite web}}
: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)