คะนัง กิราตกะ
พลเสือป่า คะนัง กิราตกะ | |
---|---|
รูปภาพของคะนังในวัยเด็ก | |
เกิด | คะนัง ไม่ทราบ ป่าในจังหวัดพัทลุง มณฑลนครศรีธรรมราช ประเทศสยาม |
เสียชีวิต | ไม่ทราบ ประเทศสยาม |
อาชีพ | มหาดเล็ก |
มีชื่อเสียงจาก | แรงบันดาลใจในเรื่อง เงาะป่า |
บิดามารดา |
|
พลเสือป่า คะนัง กิราตกะ[1] (หรือสะกดว่า คนัง[2]) เป็นเงาะป่าที่มีชื่อเสียงด้วยได้รับการชุบเลี้ยงจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์สยาม ให้อยู่ในพระบรมมหาราชวังเพื่อถวายตัวเป็นมหาดเล็ก
จากการที่คนังเล่าเรื่องราวของวิถีชีวิตของชาวซาไกถวายพระพุทธเจ้าหลวง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง เงาะป่า[2] โดยให้ "คนัง" เป็นตัวเอกของเรื่อง[3]
ประวัติ
[แก้]พื้นเพเดิม
[แก้]คะนัง หรือ คนัง เกิดปีใดไม่ปรากฏชัด ในงานเขียนของหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ว่าน่าจะเกิดในปีระกา พ.ศ. 2440[4] บางแห่งก็ว่าเกิดในปี พ.ศ. 2442 เกิดในครอบครัวเงาะป่าในจังหวัดพัทลุง บิดาชื่อดำขาว ส่วนมารดาชื่อนางควาก มีพี่น้องคือ งอด, แค, ดิน และคะนังเป็นคนสุดท้อง ต่อมาบิดาและมารดาได้ถึงแก่กรรม บุตรทั้งหมดรวมทั้งคะนังจึงกำพร้า และอยู่กันตามยถากรรม[5]
ถูกคัดเลือก
[แก้]เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ เมืองนครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 3 ถึง 8 กรกฎาคม ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) ทางเมืองได้นำเงาะป่าจากพัทลุงมาถวายให้ทอดพระเนตรได้ทรงถ่ายภาพเงาะทั้งเด็กและผู้ใหญ่ชายหญิงไว้หลายรูป หลังจากทอดพระเนตรภาพดังกล่าวพระองค์ก็มีความสนพระทัยในเงาะป่า ทรงพระราชดำริที่จะลองเลี้ยงเงาะดูบ้าง จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต สมุหเทศภิบาลสำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช ให้หาลูกเงาะป่าสักคนหนึ่งไม่จำกัดว่าชายหรือหญิง มีพระราชประสงค์เพียงแค่ให้เด็กมีขนาดพอเลี้ยงไม่ถึงขั้นเด็กอ่อน และทรงกำชับว่าให้เกลี้ยกล่อมอย่างละมุนละม่อมต่อบิดามารดา มิใช่การบังคับ[2] ต่อมาจึงมีการคัดเลือกเงาะจากจังหวัดพัทลุงซึ่งมีผู้นำคือ เงาะยัง โดยเงาะยังได้ให้ข้อมูลว่าในกลุ่มมีเงาะกำพร้าสี่คนซึ่งเป็นบุตรของดำขาวกับนางควาก แต่สองคนแรกคือ งอดและแค เป็นหนุ่มและออกไปที่อื่นแล้ว เหลือเพียง ดินกับคะนัง และเสนออุบายให้จัดมโนราห์ให้เงาะชมจนหลับและค่อยอุ้มเด็กเงาะคนใดคนหนึ่งออกมาขณะหลับ แต่เมื่อทำตามแผนดังกล่าวคะนังก็รู้สึกตัวไม่ยอมและร้องไห้งอแง จนต้องให้คนที่พูดภาษาซาไกได้ไปปลอบและเอาดอกไม้แดงให้จึงสงบลง[5]
เมื่อพาคะนังออกจากพัทลุงมายังเมืองสงขลา ก็ให้ท่านผู้หญิงยมราช (ตลับ) ทำการดูแล ทำการอบรมสั่งสอน คนังเองก็สามารถปรับตัวได้รวดเร็วและเรียกเจ้าพระยาและท่านผู้หญิงยมราชว่า "คุณพ่อ-คุณแม่ที่บ้าน"[5] เมื่อนำตัวไปยังเมืองหลวงก็ใช้เวลาแรมเดือนระหว่างนั้นก็ทำการปลอบโยนไปด้วยจนกระทั่ง "เมื่อราบกว่าแต่ก่อนหย่อนตื่นเต้น" ก็พาเข้ากรุงเตรียมถวายตัว[2]
เข้าวังหลวง
[แก้]เมื่อเข้าสู่วังหลวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏทรงรับเลี้ยง เมื่อคะนังถึงห้องรับแขกที่พระตำหนักพระวิมาดาเธอฯ คะนังก็นอนหงายลงกับพื้น และทำตีนงุ้มกำมือแน่น จนทุกคนที่เข้ามาชมนั้นต่างตกใจ ฝ่ายกรมขุนสุทธาสินีนาฏทรงรู้ทัน รับสั่งให้เอาของกินคือที่กล้วยที่เตรียมไว้มาตั้งให้ เมื่อคะนังเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นมากินทันที[2] แรกเริ่มคนังก็ดูหงอยแต่เมื่อเริ่มคุ้นชินมากขึ้นก็เริ่มประจบเอาใจจึงเป็นที่โปรดปรานมาก[2] พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าพระยายมราชว่า "...อ้ายคนังตั้งแต่มายังไม่เจ็บเลย เจ้าสาย (พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏ) นั้นหลงรักเหลือเกินทีเดียว เพราะมันไม่ได้ไปเที่ยวข้างไหนเลย อยู่แต่บนเรือน ช่างประจบด้วยความรู้ความประมาณตัวเองในสันดาน ทั้งถือตัวว่าเป็นลูก ก็พูดอยู่เสมอว่าลูกข้า ไม่ได้ไว้ตัวเทียบเจ้านายลูกเธอ รักแลนับถือไม่เลือกว่าใคร ไว้ตัวเองเสมอหม่อมเจ้า ไม่มีใครสั่งสอนเลย" ด้วยความสนิทสนมกับเจ้านาย คะนังจึงเรียกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าว่า "คุณพ่อหลวง" เรียกพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมขุนสุทธาสินีนาฏว่า "คุณแม่" และเรียกสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดีว่า "คุณพี่"[6]
คะนังในวังหลวงเองก็มีชีวิตที่สุขสบาย มีพี่เลี้ยงคอยดูแลรักษาความสะอาดให้ แต่คะนังเองกลับไม่คุ้นชินกับชีวิตในวังมากนัก ในเรื่องการขับถ่าย ก็นั่งขับถ่ายในหม้อ พอเมื่อถ่ายเสร็จจะให้ล้างน้ำหรือกระดาษเช็ดก็ไม่ยอมต้องใช้ไม้เช็ดเท่านั้น[2]
เมื่อเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กคะนังก็ทำงานสนองพระเดชพระคุณ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตื่นจากบรรทม คะนังก็รีบแต่งตัวสวย ๆ เพื่อมาเข้าเฝ้า และเมื่อถึงเวลาเสวยพระกระยาหารร่วมกับเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ คะนังก็ได้นั่งใกล้ชิดพระยี่ภู่ที่ประทับ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงซักถามเรื่องต่าง ๆ เช่น ความเป็นอยู่ของพวกเงาะป่าในพัทลุง และพระราชดำรัสถามประจำก็คือ "เมื่อเช้านี้กินข้าวกับอะไรบ้าง"[2] และทรงซักถามคำศัพท์ของเงาะสำหรับพระราชนิพนธ์ เงาะป่า ด้วย[6]
จุดจบของคะนัง
[แก้]หลังสิ้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์องค์ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงรับคะนังไว้ในราชการเป็นพลเสือป่า กรมเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์ และประจำกรมพิณพาทย์หลวง และพระราชทานนามสกุลให้ด้วยว่า กิราตกะ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2457[1]
แต่เรื่องราวชีวิตหลังจากนี้ไม่ใคร่มีข้อมูลนัก แต่จากข้อเขียนของหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ในอนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2505 ได้ความเพียงว่า "...ก่อนสวรรคตราว 1 ปี คนังก็ออกไปอยู่กับพวกมหาดเล็กทางฝ่ายหน้า ถึงรัชกาลที่ 6 ก็เลยหายสาบสูญไป ได้ยินแต่ว่าเพื่อนชวนเที่ยวจนเป็นโรคตาย... หมอไรท์เตอร์อธิบายว่า คนพวกนี้มักจะฉลาดเมื่อเล็ก ๆ แต่ปัญญาทึบเมื่อโตขึ้น"[4]
อุปนิสัย
[แก้]แม้คะนังจะมีชาติกำเนิดมาจากคนป่าที่ถูกดูแคลนว่าไร้ความเจริญ แต่คะนังก็ทำให้ทราบเป็นที่ประจักษ์ว่าคะนังก็เป็นเด็กที่มีความฉลาดหลักแหลม มีไหวพริบ รู้จักประจบประแจงมากเป็นที่สุด มีโวหารดีและมีความจำแม่นยำ แต่เดิมเมื่อแรกเข้าวังคะนังจะกินเพียงข้าวสุกกับกล้วยน้ำว้า ต่อมาพระวิมาดาเธอฯ ก็ให้ลองทานอาหารอื่นบ้าง เมื่อมีอาหารแปลก ๆ ก็จะถามชื่อไว้ เพื่อที่คราวหลังจะได้กราบบังคมทูลถูกว่าอาหารนั้นชื่ออะไร[2] และแต่เดิมคะนังไม่ชอบสวมเสื้อผ้า ไม่ว่าจะหนาวหรือร้อน ภายหลังจึงให้หัดสวม และเมื่อสวมใส่เป็นแล้วก็มีเครื่องแต่งกายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งชุดลำลอง, ชุดตามเสด็จ หรือชุดเต็มยศ โดยมีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริออกแบบพระราชทานทั้งสิ้น[2]
ทั้งนี้คะนังมีความสามารถด้านละครไทย แม้แต่ท่ายากก็สามารถทำได้ดี เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง "เงาะป่า" โดยมีคนังเป็นตัวเอก จึงให้หม่อมเพื่อน บุนนาค เป็นผู้ฝึกสอน แต่คะนังเองก็สามารถทำการแสดงได้ดีถูกจังหวะจะโคนแม่นยำทั้ง ๆ ที่มีเวลาฝึกน้อยก่อนออกแสดง[2]
แม้ว่าตัวจะอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์สยามแล้ว แต่คะนังก็ยังไม่เคยลืมพี่น้องหรือพวกพ้อง จึงกราบบังคมทูลขอให้ส่งรูปเขาไปให้พี่น้องบ้าง[2][6]
ความนิยม
[แก้]เดือนธันวาคม ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ถ่ายรูปคะนังพิมพ์ขายที่ร้านถ่ายรูปหลวงในงานวัดเบญจมบพิตร ราคาขายแผ่น 3 บาท ซึ่งขณะนั้นถือว่าสูงมาก แต่ปรากฏว่าขายดีจนไม่พอขาย แต่เดิมพิมพ์รูปไว้เพียง 230 รูป ต้องพิมพ์เพิ่มอีก ได้เงินจากรูปเกือบ 1,200 บาท รายได้แบ่งออกเป็นสามส่วนคือ ถวายวัดส่วนหนึ่ง, ค่ากระดาษน้ำยาพิมพ์รูปส่วนหนึ่ง และพระราชทานแก่คะนังส่วนหนึ่ง[2]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "นามสกุลพระราชทาน". พระราชวังพญาไท. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-07-12. สืบค้นเมื่อ 6 มีนาคม 2557.
๒๑๐๙ กิราตกะ (Kirataka)
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 ประวิทย์ สุวณิชย์ (4 เมษายน 2531). "ซาไก ครอบครัวศรีธารโต...เมื่อคนป่ามาอยู่เมือง". สารคดี. (38:4), หน้า 69-71
- ↑ "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ กับละคอนดึกดำบรรพ์". ลักษณะไทย. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-17. สืบค้นเมื่อ 6 มีนาคม 2557.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 4.0 4.1 "ตามรอยนายคนัง". สนุกดอตคอม. สืบค้นเมื่อ 6 มีนาคม 2557.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 5.0 5.1 5.2 "พระราชนิพนธ์เงาะป่า ตอนที่ 2 จากป่าเขาเข้าสู่วัง...คนังน้อยเงาะมหาดเล็ก". รักสยามหนังสือเก่า. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 6 มีนาคม 2557.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 6.0 6.1 6.2 โรม บุนนาค (12 ตุลาคม 2558). ""คนัง" เงาะป่าผู้ทะยานด้วยวาสนา มาเป็นมหาดเล็กพิเศษ "คุณพ่อหลวง" ร.๕!!!". ผู้จัดการออนไลน์. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-10-18. สืบค้นเมื่อ 3 ธันวาคม 2558.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)