ความจำ
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/58/Memory.gif/320px-Memory.gif)
ในจิตวิทยา ความจำ (อังกฤษ: memory) เป็นกระบวนการที่ข้อมูลต่าง ๆ รับการเข้ารหัส การเก็บไว้ และการค้นคืน เนื่องจากว่า ในระยะแรกนี้ ข้อมูลจากโลกภายนอกมากระทบกับประสาทสัมผัสต่าง ๆ (มีตาเป็นต้น) ในรูปแบบของสิ่งเร้าเชิงเคมีหรือเชิงกายภาพ จึงต้องมีการเปลี่ยนข้อมูลไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็คือการเข้ารหัส เพื่อที่จะบันทึกข้อมูลไว้ในความจำได้ ระยะที่สองเป็นการเก็บข้อมูลนั้นไว้ ในสภาวะที่สามารถจะรักษาไว้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง ส่วนระยะสุดท้ายเป็นการค้นคืนข้อมูลที่ได้เก็บเอาไว้ ซึ่งก็คือการสืบหาข้อมูลนั้นที่นำไปสู่การสำนึกรู้ ให้สังเกตว่า การค้นคืนความจำบางอย่างไม่ต้องอาศัยความพยายามภายใต้อำนาจจิตใจ
จากมุมมองเกี่ยวกับกระบวนการประมวลข้อมูล มีระยะ 3 ระยะในการสร้างและค้นคืนความจำ คือ
- การเข้ารหัส (encoding) เป็นการรับ การแปลผล และการรวบรวมข้อมูลที่ได้รับ
- การเก็บ (storage) เป็นการบันทึกข้อมูลที่ได้เข้ารหัสแล้วอย่างถาวร
- การค้นคืน (retrieval หรือ recollection) หรือ การระลึกถึง เป็นการระลึกถึงข้อมูลที่ได้บันทึกไว้แล้วโดยเป็นกระบวนการตอบสนองต่อตัวช่วย (cue) เพื่อใช้ในพฤติกรรมหรือกิจกรรมอะไรบางอย่าง
การสูญเสียความจำเรียกว่าเป็นความหลงลืม หรือถ้าเป็นโรคทางการแพทย์ ก็จะเรียกว่า ภาวะเสียความจำ[1] (amnesia)
ความจำอาศัยประสาทสัมผัส
[แก้]Sensory memory (ความจำอาศัยความรู้สึก) เป็นข้อมูลเกี่ยวกับความรู้สึกที่เก็บไว้น้อยกว่า 1 วินาทีหลังจากเกิดการรับรู้สิ่งที่มากระทบประสาทสัมผัส ความสามารถในการเห็นวัตถุหนึ่งแล้วจำได้ว่าเหมือนกับอะไร โดยดู (หรือจำ) ใช้เวลาเพียงไม่ถึงวินาที เป็นตัวอย่างของความจำอาศัยความรู้สึก เป็นความจำนอกเหนือการควบคุมทางประชานและเป็นการตอบสนองอัตโนมัติ แม้ว่าจะมีการแสดงให้ดูเพียงระยะสั้น ๆ ผู้ร่วมการทดลองมักจะรายงานว่าเหมือนจะ "เห็น" รายละเอียดมากกว่าที่จะรายงานได้จริง ๆ (เพราะกว่าจะบอกสิ่งที่เห็นหมด ก็ลืมไปก่อนแล้ว)
นักจิตวิทยาเชิงประชานชาวอเมริกัน ศ. จอร์จ สเปอร์ลิง ได้ทำงานทดลองชุดแรก ๆ เพื่อตรวจสอบความจำประเภทนี้ในปี ค.ศ. 1963[2] โดยใชัรูปแบบ "partial report paradigm" (การทดลองแบบรายงานเป็นบางส่วน) คือ มีการแสดงตารางมีอักษร 12 ตัว จัดเป็น 3 แถว 4 คอลัมน์ให้ผู้ร่วมการทดลองดู หลังจากให้ดูเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก็จะเล่นเสียงสูง เสียงกลาง หรือเสียงต่ำเพื่อบอกผู้ร่วมการทดลองว่า ให้รายงานอักษรแถวไหน จากการทดลองอย่างนี้ ศ. สเปอร์ลิงสามารถแสดงได้ว่า สมรรถภาพของความจำอาศัยความรู้สึกสามารถจำได้ประมาณ 12 อักษร แต่ว่าจะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว (ภายใน 2-3 ร้อยมิลลิวินาที) เนื่องจากเสื่อมเร็วมาก ผู้ร่วมการทดลองจะเห็นสิ่งที่แสดง แต่ไม่สามารถรายงานอักษรทั้งหมดก่อนที่ความจำจะเสื่อมไป ความจำชนิดนี้ไม่สามารถทำให้ดำรงอยู่ได้นานขึ้นโดยการท่องซ้ำ ๆ (rehearsal)
ความจำอาศัยความรู้สึกมี 3 ประเภท คือ
- Iconic memory เป็นตัวเก็บข้อมูลทางตาที่เสื่อมอย่างรวดเร็ว เป็นความจำอาศัยความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เก็บภาพที่เกิดการรับรู้ไว้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ
- Echoic memory เป็นตัวเก็บข้อมูลทางหูที่เสื่อมอย่างรวดเร็ว เป็นความจำอาศัยความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่เก็บเสียงที่เกิดการรับรู้ไว้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ[3]
- Haptic memory เป็นความจำอาศัยความรู้สึกที่เป็นฐานข้อมูลของสิ่งเร้าทางสัมผัส
ความจำระยะสั้น
[แก้]ความจำระยะสั้น (short-term memory) เป็นความจำที่ช่วยให้ระลึกข้อมูลได้เป็นเวลาหลายวินาทีจนถึงนาทีหนึ่งโดยไม่ต้องท่องซ้ำ ๆ ความจำนี้มีขนาดจำกัดมาก ในปี ค.ศ. 1956 เมื่อทำงานอยู่ที่เบ็ลล์แล็บ นักจิตวิทยาเชิงประชานชาวอเมริกัน ศ. จอร์จ มิลเล่อร์ทำการทดลองที่แสดงว่า ขนาดความจำระยะสั้นอยู่ที่ 7±2 ชิ้น และได้เขียนบทความตีพิมพ์ที่มีชื่อเสียงว่า "The Magical Number Seven, Plus or Minus Two (เลขขลังคือ 7, บวกหรือลบ 2)" แต่ว่า ขนาดประมาณปัจจุบันของความจำระยะสั้นน้อยกว่าที่มิลเล่อร์กล่าวไว้ โดยปกติจะอยู่ที่ 4-5 ชิ้น[4] แต่ว่า สามารถจะเพิ่มขนาดขึ้นได้ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า chunking (คือรวมข้อมูลหลายชิ้นให้เป็นชิ้นเดียวกัน เช่น เบอร์รหัส 02 หมายถึงเบอร์โทรศัพท์ในกรุงเทพฯ)[5] ยกตัวอย่างเช่น ในการระลึกถึงเบอร์โทรศัพท์ 9 เบอร์ เราสามารถแบ่งเบอร์ออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก (เช่น 02) ส่วนที่สองที่มีเลขสามตัว (เช่น 456) และส่วนสุดท้ายที่มีเลข 4 ตัว (เช่น 7890) การจำเบอร์โทรศัพท์โดยวิธีเช่นนี้มีประสิทธิภาพดีกว่าพยายามจะจำเลขเดี่ยว ๆ 9 ตัว เพราะว่า เราสามารถที่จะแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนต่าง ๆ ที่มีความหมาย ซึ่งก็จะเห็นได้ในประเทศต่าง ๆ ที่มักจะแสดงเบอร์โทรศัพท์เป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนมี 2-4 ตัวเลข
ความจำระยะสั้นเชื่อกันว่า อาศัยการเข้ารหัสโดยเสียง (acoustic code) โดยมากในการเก็บข้อมูล และอาศัยการเข้ารหัสโดยสิ่งที่เห็น (visual code) บ้างแต่น้อยกว่า ในปี ค.ศ. 1964 คอนแรด[6] พบว่าผู้ร่วมการทดลองมีปัญหาในการระลึกถึงกลุ่มอักษรที่มีเสียงคล้ายกัน (เช่น E, P, D) ความสับสนในการระลึกถึงอักษรที่มีเสียงคล้าย ๆ กัน ไม่ใช่เพราะมีรูปร่างคล้าย ๆ กันบอกเป็นนัยว่า อักษรต่าง ๆ มีการเข้ารหัสโดยเสียง แต่การทดลองของคอนแรดเกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสตัวเขียนหนังสือ ดังนั้น แม้ว่าความจำเกี่ยวกับภาษาเขียนอาจจะต้องอาศัยส่วนประกอบเกี่ยวกับเสียง แต่ว่า นัยทั่วไปเกี่ยวกับความจำทุก ๆ แบบไม่ควรจะทำเพราะเพียงเหตุแห่งผลการทดลองนี้เท่านั้น
ความจำระยะยาว
[แก้]![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/7e/Memory-Warner-Highsmith.jpeg/150px-Memory-Warner-Highsmith.jpeg)
การเก็บความจำอาศัยความรู้สึกและความจำระยะสั้นทั่ว ๆ ไปแล้วมีขนาดและระยะเวลาจำกัด ซึ่งก็หมายความว่า ไม่สามารถรักษาข้อมูลไว้ได้ตลอดชั่วกาลนาน โดยเปรียบเทียบแล้ว ความจำระยะยาวมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อบรรจุข้อมูลที่อาจไม่จำกัดเวลา (เช่นรักษาไว้ได้จนตลอดชีวิต) ขนาดความจำระยะยาวมีขนาดใหญ่จนวัดไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าให้เลข 7 หลักโดยสุ่ม เราอาจจะจำได้เพียงแค่ 2-3 วินาทีก่อนที่จะลืม ซึ่งบอกเป็นนัยว่าเก็บอยู่ในความจำระยะสั้นของเรา เปรียบเทียบกับเบอร์โทรศัพท์ที่เราอาจจะจำได้เป็นเวลาหลาย ๆ ปีผ่านการท่องและการระลึกถึงซ้ำ ๆ ข้อมูลนี้จึงเรียกว่าเก็บอยู่ในความจำระยะยาว
เปรียบเทียบความจำระยะสั้นที่เข้ารหัสข้อมูลโดยเสียง ความจำระยะยาวเข้ารหัสข้อมูลโดยความหมาย (semantic) ในปี ค.ศ 1966 แบ็ดเดลีย์[7] พบว่า หลังจาก 20 นาที ผู้ร่วมการทดลองมีปัญหาในการจำกลุ่มคำที่มีความหมายคล้าย ๆ กัน (เช่นบิ๊ก ใหญ่ โต) ในระยะยาว ส่วนความจำระยะยาวอีกอย่างหนึ่งก็คือ "ความจำอาศัยเหตุการณ์" (episodic memory) "ซึ่งเป็นการพยายามเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ 'อะไร' 'เมื่อไร' และ 'ที่ไหน'"[8] เป็นความจำที่เราสามารถระลึกถึงเหตุการณ์เฉพาะต่าง ๆ เช่นงานเลี้ยงวันเกิดหรืองานแต่งงาน
ความจำระยะสั้นมีมูลฐานเป็นรูปแบบการสื่อสารในเซลล์ประสาทแบบชั่วคราว โดยอาศัยเขตต่าง ๆ ในสมองกลีบหน้า (โดยเฉพาะ dorsolateral prefrontal cortex) และในสมองกลีบข้าง เปรียบเทียบกับความจำระยะยาว ซึ่งอาศัยการเปลี่ยนแปลงที่มีเสถียรภาพและถาวรโดยการเชื่อมต่อทางเซลล์ประสาทที่กระจายไปอย่างกว้างขวางในสมอง ฮิปโปแคมปัสเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในการทำความจำระยะสั้นให้กลายเป็นความจำระยะยาว (ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ ๆ) เป็นกระบวนการที่เรียกว่า "การทำความจำให้มั่นคง" (consolidation) แม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลนั้นไว้เอง แต่ถ้าไม่มีส่วนนี้ของสมอง ความจำใหม่ ๆ จะไม่สามารถเก็บไว้ในความจำระยะยาว ดังที่พบในคนไข้เฮ็นรี่ โมไลสันหลังจากที่เขาผ่าตัดเอาฮิปโปแคมปัสทั้งสองซีกออก[9] และจะไม่สามารถใส่ใจอะไรได้นาน ๆ (คือมีสมาธิสั้น) นอกจากนั้นแล้ว สมองส่วนนี้อาจมีบทบาทในการเปลี่ยนการเชื่อมต่อทางประสาทในช่วงเวลา 3 เดือนหรือมากกว่านั้นหลังจากเกิดการเรียนรู้เหตุการณ์นั้น ๆ
สิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นหน้าที่หลัก ๆ ของการนอนหลับก็คือ ทำข้อมูลที่ได้เรียนรู้นั้นให้มั่นคง (consolidation) ได้ดีขึ้น เพราะว่า งานวิจัยหลายงานได้แสดงว่า ความจำที่ดีขึ้นอยู่กับการหลับนอนที่เพียงพอในช่วงระหว่างการเรียนและการทดสอบความจำ[10] นอกจากนั้นแล้ว ข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยหลายงานที่ใช้การสร้างภาพในสมอง (neuroimaging) แสดงรูปแบบการทำงานในสมองในขณะนอนหลับที่เหมือนกับช่วงการเรียนรู้งานนั้น ๆ ในวันก่อน[10] ซึ่งบอกเป็นนัยว่า ความจำใหม่ ๆ อาจเกิดการทำให้มั่นคงผ่านการเล่นซ้ำ (rehearsal)
งานวิจัยหนึ่งเสนอว่า การเก็บความจำระยะยาวในมนุษย์อาจจะมีการรักษาไว้โดยกระบวนการ DNA methylation[11] (เป็นกระบวนการชีวเคมีที่เติมกลุ่ม Methyl หนึ่งลงใน cytosine DNA nucleotides หรือ adenine DNA nucleotides) หรือผ่านตัวพรีออน[12]
แบบจำลอง
[แก้]แบบจำลองของความจำความจำหลายอย่างแสดงรูปแบบต่าง ๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นกระบวนการทำงานของความจำ ต่อไปนี้เป็นแบบจำลองต่าง ๆ ที่ได้รับการเสนอโดยนักจิตวิทยาหลายท่าน แต่ก็มีข้อถกเถียงด้วยว่า มีโครงสร้างต่าง ๆ ทางประสาทของความจำเหมือนแบบเหล่านี้จริง ๆ หรือไม่
แบบจำลองของ Atkinson-Shiffrin
[แก้]![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/b/bf/Multistore_model.png)
ในปี ค.ศ. 1968 ริชาร์ด แอ็ตกินสัน และริชาร์ด ชริฟฟรินได้เสนอแบบจำลอง multi-store model (แบบจำลองความจำมีหลายที่เก็บ) หรือ Atkinson-Shiffrin memory model ซึ่งต่อมาได้รับการวิจารณ์ว่าง่ายเกินไป ยกตัวอย่างเช่น ความจำระยะยาวเชื่อกันว่า ประกอบด้วยส่วนประกอบต่าง ๆ เช่นความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) และความจำเชิงกระบวนวิธี (procedural memory) นอกจากนั้นแล้ว แบบจำลองยังเสนอว่าการฝึกซ้อม (rehearsal) เป็นกลไกเดียวที่ข้อมูลต่าง ๆ รับการบันทึกในที่เก็บความจำระยะยาว แต่กลับมีหลักฐานที่แสดงว่า เราสามารถจำสิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องฝึกซ้อม (หรือท่องจำ) แบบจำลองยังแสดงด้วยว่า ที่เก็บความจำทุกส่วนเป็นหน่วย ๆ เดียวเปรียบเทียบกับผลงานวิจัยที่ต่างไปจากนี้ ยกตัวอย่างเช่น ความจำระยะสั้นสามารถแบ่งออกเป็นหน่วยต่าง ๆ เช่นข้อมูลการเห็นและข้อมูลเสียง
งานวิจัยในปี ค.ศ. 1986 พบว่า คนไข้เรียกว่า 'KF' มีความสามารถที่ไม่เข้ากับแบบจำลองของ Atkinson-Shiffrin คือคนไข้มีสมองเสียหาย มีปัญหาหลายอย่างเกี่ยวกับความจำระยะสั้น คือ การรู้จำเสียงต่าง ๆ เช่นที่เกี่ยวกับเลข อักษร คำ และเสียงที่ควรจะระบุได้อย่างง่าย ๆ (เช่นเสียงกระดิ่งประตูและเสียงแมวร้อง) เกิดความเสียหาย แต่ที่น่าสนใจก็คือ ความจำระยะสั้นเกี่ยวกับการเห็นไม่เกิดความเสียหาย ซึ่งบอกเป็นนัยของความแยกออกเป็นสองส่วนระหว่างความจำเกี่ยวกับการเห็นและเกี่ยวกับการได้ยิน[13]
แบบจำลองความจำใช้งาน
[แก้]![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/ed/Working_memory_model.svg/269px-Working_memory_model.svg.png)
ในปี ค.ศ. 1974 แบ็ดเดลีย์และฮิตช์เสนอ "แบบจำลองความจำใช้งาน" (working memory model) ซึ่งแทนที่หลักทั่วไปของความจำระยะสั้นว่า เป็นการรักษาข้อมูลอย่างแอ๊กถีฟในที่เก็บความจำระยะสั้น ในแบบจำลองนี้ ความจำใช้งานมีที่เก็บ 3 อย่าง คือ central executive (ส่วนบริหารกลาง) phonological loop (วงจรเสียง) และ visuo-spatial sketchpad (สมุดร่างเกี่ยวกับการเห็น-พื้นที่) ในปี ค.ศ. 2000 แบ็ดเดลีย์เติมส่วน multimodal episodic buffer (ที่พักเหตุการณ์จากประสาทสัมผัสต่าง ๆ) เข้าไปเพิ่ม[14]
- ส่วน central executive เป็นศูนย์ควบคุมการใส่ใจ โดยทำหน้าที่ส่งข้อมูลไปยังส่วนประกอบต่าง ๆ คือ phonological loop, visuo-spatial sketchpad, และ episodic buffer
- ส่วน phonological loop เก็บข้อมูลโดยฝึกซ้อมเสียงหรือคำต่าง ๆ เป็นวงวนกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็คือ articulatory process (กระบวนการออกเสียง) ยกตัวอย่างเช่น การท่องเบอร์โทรศัพท์ซ้ำและซ้ำอีก ดังนั้น ข้อมูลมีจำนวนไม่มากจึงง่ายกว่าที่จะจำได้
- ส่วน visuospatial sketchpad เก็บข้อมูลทางตาและเกี่ยวกับพื้นที่ ซึ่งต้องใช้ในการทำงานเกี่ยวกับพื้นที่ (เช่นการกะระยะทาง) หรือเกี่ยวกับตา (เช่นการนับจำนวนหน้าต่างในบ้านหรือในการจินตนาการภาพ)
- ส่วน episodic buffer ทำหน้าที่เชื่อมข้อมูลจากระบบต่าง ๆ เพื่อรวมข้อมูลทั้งทางตา ทางพื้นที่ ทางการพูด และทางลำดับกาลเวลา (เช่น ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ของเรื่องหนึ่ง ๆ หรือเกี่ยวกับตอนหนึ่ง ๆ ของภาพยนตร์) นอกจากนั้นแล้ว ส่วนนี้ยังสมมติว่า มีการเชื่อมต่อกันกับความจำระยะยาว และความจำอาศัยความหมายอีกด้วย
แบบจำลองความจำใช้งานสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์หลายอย่างในชีวิต เช่น ทำไมจึงทำงานสองงานที่ต่าง ๆ กัน (เช่นงานหนึ่งเกี่ยวกับการพูดและอีกงานหนึ่งเกี่ยวกับการเห็น) พร้อม ๆ กัน ง่ายกว่าทำงานสองงานที่คล้าย ๆ กัน (เช่นเกี่ยวกับการเห็นเหมือนกัน) และขนาดจำกัดของความจำใช้งานดังที่กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ดี ไอเดียเกี่ยวกับ central executive ดังที่กล่าวมานี้ได้รับคำวิจารณ์ว่ายังไม่สมบูรณ์และคลุมเครือเกินไป[ต้องการอ้างอิง] ความจำใช้งานเป็นสิ่งที่เชื่อว่าจำเป็นในการทำกิจในชีวิตประจำวันที่ต้องอาศัยความคิด เป็นระบบความจำที่ต้องใช้ในกระบวนการความคิด เป็นกระบวนการที่เราใช้เพื่อการเรียนรู้หรือการคิดหาเหตุผลเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ[14]
ประเภทความจำ
[แก้]นักวิจัยแยกแยะระหว่างความจำโดยรู้จำ (recognition memory) และความจำโดยระลึก (recall memory) งานเกี่ยวกับความจำโดยรู้จำจะให้ผู้ร่วมการทดลองบอกว่าเคยได้พบสิ่งเร้าหนึ่ง ๆ เช่นรูปภาพหรือคำศัพท์ มาก่อนหรือไม่ ส่วนงานเกี่ยวกับความจำโดยระลึกจะให้ผู้ร่วมการทดลองค้นคืนข้อมูลที่ได้เรียนรู้มาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น อาจจะให้แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ได้เห็นมาก่อน หรือกล่าวถึงรายการคำศัพท์ที่ได้ยินมาก่อน
การจัดประเภทโดยประเภทข้อมูล
[แก้]"ความจำอาศัยภูมิประเทศ" (Topographic memory) เป็นความสามารถในการกำหนดตำแหน่งของตนในพื้นที่ ในการรู้จำและดำเนินไปตามเส้นทาง หรือในการรู้จำสถานที่ที่คุ้นเคย[15] การหลงทางเมื่อเดินทางไปตามลำพังเป็นตัวอย่างหนึ่งข้อความล้มเหลวของความจำอาศัยภูมิประเทศ[16]
"ความจำแบบหลอดแฟลช" (Flashbulb memories) เป็นความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พิเศษและประกอบด้วยอารมณ์ความรู้สึกสูง[17] ตัวอย่างเช่น การจำได้ว่าตนอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่เมื่อได้ยินข่าวการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี[18] หรือข่าววินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 เป็นตัวอย่างของความจำแบบหลอดแฟลช
ในปี ค.ศ. 1976 นักจิตวิทยาจอห์น รอเบิรต์ แอนเดอร์สัน[19] ได้แบ่งความจำระยะยาวออกเป็นความจำเชิงประกาศ (declarative หรือ explicit memory) และความจำเชิงกระบวนวิธี (procedural หรือ implicit memory)
ความจำเชิงประกาศ
[แก้]ความจำเชิงประกาศนั้นกำหนดด้วยการต้องระลึกถึงภายใต้อำนาจจิตใจ (เหนือสำนึก) คือมีกระบวนการประกอบด้วยความสำนึกที่ค้นคืนข้อมูลที่ต้องการที่จะค้นคืน เป็นระบบที่บางครั้งเรียกว่าความจำชัดแจ้ง (explicit memory) เพราะเป็นข้อมูลที่ต้องจำและค้นคืนอย่างเปิดเผยชัดแจ้ง (ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น)
ความจำชัดแจ้งสามารถแบ่งประเภทย่อย ๆ ออกเป็นความจำอาศัยความหมาย (semantic memory) ซึ่งเป็นความจำเกี่ยวกับความจริงต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม และความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) ซึ่งเป็นความจำเกี่ยวกับข้อมูลที่เชื่อมกับเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมเช่นเวลาและสถานที่ ความจำอาศัยความหมายทำให้เกิดการเข้ารหัสความรู้เชิงนามธรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับโลกได้ เช่นความรู้ว่า "กรุงปารีสเป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส" เปรียบเทียบกับความจำอาศัยเหตุการณ์ ซึ่งใช้ในเรื่องความจำเกี่ยวกับตนเอง เช่นความรู้สึกทางประสาทสัมผัส อารมณ์ความรู้สึก และความสัมพันธ์ที่เป็นอัตวิสัยของสิ่งนั้นกับสถานที่และเวลาโดยเฉพาะ ๆ
ส่วน "ความจำอาศัยอัตชีวประวัติ" (Autobiographical memory) เป็นความจำสำหรับเหตุการณ์เฉพาะ ๆ ในชีวิตของตน ซึ่งมองว่าเทียบเท่ากับ หรือเป็นส่วนของความจำอาศัยเหตุการณ์ ส่วน "ความจำทางตา" (Visual memory) เป็นส่วนของความจำที่เก็บลักษณะบางอย่างของความรู้สึกทางประสาทสัมผัสเกี่ยวกับประสบการณ์ทางตา ดังนั้น เราจึงสามารถเก็บไว้ในความจำข้อมูลที่เหมือนกับวัตถุ สถานที่ สัตว์ หรือบุคคลต่าง ๆ ในรูปแบบของมโนภาพ (mental image) ความจำทางตาเป็นเหตุของปรากฏการณ์ priming (คือการรับรู้ที่ไวขึ้นเมื่อเคยเห็นสิ่งนั้นมาก่อน แม้ว่าอาจจะเห็นโดยไม่มีความสำนึก) โดยมีสมมติฐานว่า มีระบบทางประสาทที่เป็นตัวแทนสิ่งที่รับรู้ (perceptual representational system) ที่เป็นมูลฐานของปรากฏการณ์นี้[ต้องการอ้างอิง]
ความจำเชิงกระบวนวิธี
[แก้]โดยเปรียบเทียบกันแล้ว ความจำเชิงกระบวนวิธี (procedural memory) หรือความจำโดยปริยาย (implicit memory) ไม่ใช่เป็นการระลึกถึงข้อมูลภายใต้อำนาจจิตใจ แต่เป็นการระลึกถึงข้อมูลที่ได้เรียนรู้โดยปริยาย (implicit learning) คือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติแม้อาจจะจำเหตุการณ์เกี่ยวกับการเรียนนั้นไม่ได้ ความจำเชิงกระบวนวิธีเป็นความจำที่ใช้ในการเรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหว (motor skill) และพิจารณาว่า เป็นส่วนของความจำโดยปริยาย ความจำนี้จะปรากฏก็ต่อเมื่อเราสามารถทำงานหนึ่ง ๆ ได้ดีขึ้นเพราะทำบ่อย ๆ แม้ว่าอาจจะไม่มีความจำชัดแจ้งเกี่ยวกับการฝึกซ้ำ ๆ กันนั้น เพราะการเข้าถึงทักษะที่ได้เรียนรู้ในประสบการณ์ครั้งก่อน ๆ เป็นไปโดยไม่ได้อยู่ใต้อำนาจจิตใจ ความจำเชิงกระบวนวิธีที่มีบทบาทในการเรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหว ต้องอาศัยส่วนต่าง ๆ ในสมองรวมทั้งซีรีเบลลัมและ basal ganglia
ลักษณะหนึ่งของความจำเชิงกระบวนวิธีก็คือทักษะที่จำได้จะเปลี่ยนไปเป็นการกระทำอัตโนมัติ และดังนั้น จึงเป็นระบบความจำที่ยากที่จะอธิบายหรือกำหนด ตัวอย่างของความจำอย่างนี้รวมทั้งความสามารถในการขี่จักรยานหรือการผูกเชือกรองเท้า[20] (ที่เมื่อชำนาญแล้วสามารถทำได้โดยอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องใส่ใจในการกระทำโดยมาก)
การแบ่งประเภทโดยเวลา
[แก้]วิธีหลักอีกอย่างหนึ่งในการแบ่งหน้าที่ต่าง ๆ ของความจำก็คือถ้าเป็นการระลึกถึงอดีต คือความจำย้อนหลัง (retrospective memory) หรือถึงอนาคต คือความจำตามแผน (prospective memory) ดังนั้น ความจำย้อนหลังเป็นประเภทที่รวมความจำอาศัยความหมาย ความจำอาศัยเหตุการณ์ และความจำอาศัยอัตชีวประวัติ เปรียบเทียบกับความจำตามแผน ซึ่งเป็นความจำเกี่ยวกับความตั้งใจที่มีเพื่ออนาคต หรือ "การจำไว้เพื่อจะให้จำได้"[21] ความจำตามแผนสามารถแบ่งออกอีกเป็นความจำตามแผนอาศัยเหตุการณ์ (event-based) หรือความจำตามแผนอาศัยกาล (time-based)
ความจำตามแผนอาศัยกาลเกิดการลั่นไกอาศัยตัวช่วยทางเวลา เช่นจะไปหาหมอ (การกระทำ) ตอน 16 นาฬิกา (ตัวช่วย) ส่วนความจำตามแผนอาศัยเหตุการณ์คือความตั้งใจที่เกิดการลั่นไกโดยตัวช่วยอื่น ๆ เช่นการจำได้ว่าต้องการจะส่งจดหมาย (การกระทำ) หลังจากที่เห็นตู้จดหมาย (ตัวช่วย) ตัวช่วยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการกระทำ (เหมือนตัวอย่างจดหมาย-ตู้จดหมาย) เพราะว่า แม้รายการที่จดไว้ โน้ตที่จดไว้ ผ้าเช็ดหน้าที่ผูกไว้ หรือเส้นด้ายที่พันไว้ที่นิ้ว ล้วนแต่เป็นตัวอย่างของตัวช่วยที่เราใช้ในการช่วยเตือนความจำ
เทคนิคใช้ในการศึกษาเรื่องความจำ
[แก้]การประเมินความจำของทารก
[แก้]ทารกยังไม่รู้ภาษาเพื่อที่จะรายงานความจำของตน ดังนั้น เราจึงไม่สามารถใช้ภาษาเพื่อประเมินความจำของเด็กที่ยังเล็กมาก แต่ว่า ในปีที่ผ่าน ๆ มา นักวิจัยได้พัฒนาและปรับปรุงวิธีต่าง ๆ เพื่อประเมินความจำโดยรู้จำ (recognition) และความจำโดยระลึก (recall) ของเด็กทารก
มีการใช้เทคนิค Habituation (แปลว่า การเกิดความเคยชิน ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่สิ่งมีชีวิตลดหรือระงับการตอบสนองต่อสิ่งเร้าหลังจากที่สิ่งเร้าปรากฏซ้ำ ๆ กัน[22]) และเทคนิค operant conditioning (แปลว่า การปรับพฤติกรรมโดยตัวดำเนินการ ซึ่งเป็นรูปแบบการรเรียนรู้ที่พฤติกรรมมีการเปลี่ยนไปเพราะการกระทำที่มีมาก่อนและผลของการกระทำนั้น) เพื่อประเมินความจำโดยรู้จำ และ deferred imitation (การให้เลียนแบบมีการรอ) กับ elicited imitation (การให้เลียนแบบโดยชักจูง) เพื่อประเมินความจำโดยระลึก
กระบวนการที่ใช้ประเมินความจำโดยรู้จำของทารกรวมทั้ง
- Visual paired comparison procedure (แปลว่า กระบวนการเปรียบเทียบทางตาโดยเป็นคู่) เป็นกระบวนการที่อาศัยการเกิดความเคยชิน คือ ตอนแรกให้ทารกดูสิ่งเร้าทางตาคู่หนึ่ง เช่นรูปถ่ายขาวดำของใบหน้ามนุษย์ เป็นระยะเวลาหนึ่ง หลังจากที่เกิดความคุ้นเคยกับรูปถ่ายคู่นั้น ก็จะให้ดูรูปถ่ายที่ "คุ้นเคย" และรูปใหม่อีกรูปหนึ่ง จะมีการบันทึกเวลาที่ทารกดูรูปแต่ละรูป การมองดูรูปภาพใหม่ที่ใช้เวลานานกว่าแสดงว่าทารกจำหน้าที่ "คุ้นเคย" ได้ (เพราะชินกับใบหน้าที่คุ้นเคยจึงใช้เวลาดูน้อยกว่า) งานวิจัยต่าง ๆ ที่ใช้เทคนิคนี้พบว่าทารกวัย 5-6 เดือนสามารถจำข้อมูลได้นานถึง 14 วัน[23]
- Operant conditioning technique (แปลว่าเทคนิคปรับพฤติกรรมโดยตัวดำเนินการ) คือ เอาทารกใส่ไว้ในเตียงนอนเด็กที่กั้นรอบ แล้วผูกริบบิ้นไว้ที่เท้าเด็กติดกับกับเครื่องแขวนที่เคลื่อนไหวได้ข้างบน หลังจากที่เด็กสังเกตเห็นว่าเมื่อเตะเท้าเครื่องแขวนก็จะขยับ อัตราการเตะเท้าจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนโดยไม่กี่นาที งานวิจัยต่าง ๆ ที่ใช้เทคนิคนี้แสดงให้เห็นว่า ความจำของทารกมีประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 18 เดือนแรก คือ ในขณะที่ทารกวัย 2-3 เดือนจะจำพฤติกรรมเพราะเหตุตัวดำเนินการ (เช่นเตะเท้าเพราะเหตุที่ตัวแขวนเคลื่อนที่ไป) ได้เป็นเวลาอาทิตย์หนึ่ง ทารกวัย 6 เดือนจะจำพฤติกรรมนี้ได้เป็นเวลา 2 อาทิตย์ ทารกวัย 18 เดือนจะจำได้นานถึง 13 สัปดาห์[24][25][26]
ส่วนเทคนิคที่ใช้ประเมินความจำโดยระลึกของทารกรวมทั้ง
- "Deferred imitation technique" (แปลว่า เทคนิคให้เลียนแบบมีการรอ) คือ แสดงให้ทารกดูลำดับการกระทำโดยเฉพาะ (เช่น ใช้ไม้กดปุ่มหรือดันกล่อง) แล้วรอสักพักหนึ่ง แล้วให้ทารกเลียนแบบลำดับการกระทำนั้น งานวิจัยต่าง ๆ ที่ใช้เทคนิคนี้แสดงว่า ทารกวัย 14 เดือนสามารถจำลำดับการกระทำนี้ได้นานถึง 4 เดือน[27]
- "Elicited imitation technique" (แปลว่าเทคนิคให้เลียนแบบโดยชักจูง) เป็นเทคนิคคล้ายกับเทคนิคก่อน แต่ต่างกันตรงที่ให้ทารกเลียนแบบการกระทำก่อนที่จะมีการรอ งานวิจัยต่าง ๆ ที่ใช้เทคนิคนี้แสดงว่า ทารกวัย 20 เดือนสามารถจำลำดับการกระทำได้นานถึง 12 เดือน[28][29]
การประเมินความจำของเด็กที่โตกว่าและของผู้ใหญ่
[แก้]นักวิจัยใช้งานทดสอบหลายงานเพื่อประเมินความจำของเด็กที่โตกว่าและของผู้ใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น
- Paired associate learning (แปลว่า การเรียนรู้การสัมพันธ์สิ่งเร้าคู่) คือเมื่อเกิดการเรียนรู้ที่จะสัมพันธ์คำ ๆ หนึ่งกับอีกคำหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อให้คำว่า "ความปลอดภัย" จะต้องเรียนที่จะตอบด้วยคำเฉพาะคำหนึ่ง เช่นคำว่า "สีเขียว" คือต้องตอบสนองต่อสิ่งเร้าเป็นการเฉพาะ[30][31]
- Free recall (การระลึกโดยอิสระ) คือ ให้ผู้รับการทดลองเรียนรู้รายการคำศัพท์ และหลังจากนั้น ให้ระลึกถึงหรือเขียนคำศัพท์เหล่านั้นมากเท่าที่สุดที่จะจำได้[32] คำต้น ๆ ในรายการจะได้รับอิทธิพลของการรบกวนย้อนหลัง (retroactive interference ตัวย่อ RI) ซึ่งหมายความว่า รายการคำยิ่งยาวเท่าไร การรบกวนก็จะมากขึ้นและโอกาสจะจำคำต้น ๆ ได้ก็จะน้อยลงเท่านั้น เปรียบเทียบกับคำท้าย ๆ ซึ่งรับอิทธิพลจาก RI น้อย แต่รับอิทธิพลอย่างมากจากการรบกวนล่วงหน้า (proactive interference ตัวย่อ PI) โดยเฉพาะถ้าระยะการเรียนและการระลึกถึงมีระยะเวลายาว[33][34]
- การรู้จำ (Recognition) คือให้ผู้ร่วมการทดลองจำรายการคำศัพท์หรือรูปภาพ แล้วภายหลังให้ระบุคำศัพท์หรือรูปภาพที่เห็นมาก่อนจากรายการอีกรายการหนึ่งที่มีทั้งสิ่งที่เห็นมาก่อนและสิ่งที่ยังไม่เคยเห็น[35]
- การรู้จำ (Recognition) คือให้ผู้ร่วมการทดลองจำรายการคำศัพท์หรือรูปภาพ แล้วภายหลังให้ระบุคำศัพท์หรือรูปภาพที่เห็นมาก่อนจากรายการอีกรายการหนึ่งที่มีทั้งสิ่งที่เห็นมาก่อนและสิ่งที่ยังไม่เคยเห็น[35]
- Detection paradigm (แบบตรวจจับ) คือ แสดงวัตถุจำนวนหนึ่งมีสีต่าง ๆ กันเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วทดสอบความจำในการเห็น โดยให้ดูวัตถุทดสอบต่าง ๆ แล้วให้ระบุว่าคล้ายกับสิ่งที่เห็นมาก่อนหรือไม่ ว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า
ความจำล้มเหลว
[แก้]- Transience (ความชั่วคราว) คือความจำจะเสื่อมไปตามกาลเวลา ซึ่งเกิดขึ้นในระยะการเก็บความจำ คือหลังจากบันทึกความจำแล้วและก่อนที่จะได้รับการค้นคืน เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในที่เก็บทั้งความจำอาศัยความรู้สึก ความจำระยะสั้น และความจำระยะยาว และมีรูปแบบเป็นการลืมข้อมูลนั้น ๆ อย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 วันแรก หรือ 2-3 ปีแรก แล้วมีการลืมแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อไปในช่วงวันและปีถัด ๆ ไป
- Absentmindedness (การมีสติหลงลืม) เป็นความจำล้มเหลวเพราะขาดความใส่ใจ ความใส่ใจมีบทบาทสำคัญในการเก็บข้อมูลไว้ในความจำระยะยาว คือ ถ้าขาดความใส่ใจ ข้อมูลนั้นอาจจะไม่เกิดการเก็บไว้ ทำให้ไม่สามารถจำได้ในภายหลัง (เช่นลืมว่าวางของไว้ที่ไหนเพราะไม่ได้ใส่ใจ)
สรีรภาพ
[แก้]เขตในสมองที่มีบทบาทเกี่ยวกับประสาทกายวิภาคของความจำ (neuroanatomy of memory) เช่นเขตฮิปโปแคมปัส อะมิกดะลา striatum และ mammillary bodies เชื่อกันว่ามีบทบาทในความจำเฉพาะอย่างแต่ละอย่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น เชื่อกันว่าฮิปโปแคมปัสมีบทบาทในการเรียนรู้เกี่ยวกับพื้นที่ (spatial learning) และการเรียนรู้เชิงประกาศ (declarative learning) ในขณะที่อะมิกดะลามีบทบาทในความจำที่ประกอบกับอารมณ์ความรู้สึก (emotional memory)[36] ความเสียหายของเขตต่าง ๆ ในสมองทั้งในคนไข้และสัตว์ตัวแบบและความบกพร่องทางความจำที่ปรากฏต่อ ๆ มา เป็นข้อมูลปฐมภูมิในการศึกษาประเด็นนี้ แต่ก็ยังต้องระวังว่า ความเสียหายในเขตนั้น ๆ โดยตรงอาจจะไม่ใช่เหตุของความบกพร่องที่ปรากฏ เหตุอาจจะเป็นความเสียหายในเขตติด ๆ กัน หรือในวิถีประสาทที่วิ่งผ่านเขตนั้น นอกจากนั้นแล้ว ยังไม่เพียงพอที่จะบอกว่า ความจำและสิ่งที่คู่กันกับความจำคือการเรียนรู้ อาศัยเพียงแค่เขตสมองเฉพาะต่าง ๆ เหล่านั้น ทั้งการเรียนรู้และความจำเป็นผลของความเปลี่ยนแปลงที่ไซแนปส์ของเซลล์ประสาท ซึ่งเชื่อกันว่าสื่อโดยกระบวนการ long-term potentiation และ long-term depression
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ถ้ามีอารมณ์ความรู้สึกประกอบที่ยิ่งสูงขึ้นเท่าไรในเหตุการณ์หรือประสบการณ์นั้น ๆ ก็จะเกิดความจำที่ดีขึ้นเท่านั้น เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า memory enhancement effect (ปรากฏการณ์เพิ่มสมรรถภาพความจำ) แต่คนไข้ที่มีอะมิกดะลาเสียหาย จะไม่ปรากฏปรากฏการณ์นี้[37][38]
นักจิตวิทยาชาวแคนาดา ดร. โดนัลด์ เฮ็บบ์ เป็นผู้แยกแยะความจำระยะสั้นและความจำระยะยาว เขาวางหลักไว้ว่า ความจำทุกอย่างที่เก็บอยู่ในความจำระยะสั้นเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ จะเกิดการทำให้มั่นคง (consolidation) กลายเป็นความจำระยะยาว แต่ว่า งานวิจัยภายหลังปฏิเสธหลักนี้ คือพบว่า การฉีดยา cortisol หรืออีพิเนฟรินช่วยการเก็บความจำเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น และการกระตุ้นอะมิกดะลาก็ทำให้เกิดผลเช่นนี้ด้วย ซึ่งแสดงว่า ความตื่นเต้นเพิ่มสมรรถภาพความจำโดยกระตุ้นฮอร์โมนที่มีผลต่ออะมิกดะลา แต่ว่า ความเครียดจัดหรือนาน (ทำให้เกิดการหลั่ง cortisol นาน) อาจขัดขวางการเก็บความจำ นอกจากนั้นแล้ว คนไข้ที่มีอะมิกดะลาเสียหายไม่สามารถจำคำศัพท์ที่ประกอบด้วยอารมณ์ความรู้สึก ได้ดีกว่าคำที่ไม่ประกอบด้วยความรู้สึก
ส่วนฮิปโปแคมปัสมีความสำคัญต่อความจำชัดแจ้ง สำคัญต่อการทำความจำให้มั่นคง (memory consolidation) อีกด้วย นอกจากนั้นแล้ว ฮิปโปแคมปัสยังรับข้อมูลมาจากส่วนต่าง ๆ ของคอร์เทกซ์และส่งข้อมูลไปยังส่วนต่าง ๆ ของสมองด้วย ข้อมูลที่รับมามาจากเขตรับความรู้สึก (sensory area) ระดับทุติยภูมิหรือตติยภูมิ เป็นข้อมูลที่มีการแปลผลมาในระดับสูงแล้ว ความเสียหายที่ฮิปโปแคมปัสอาจทำให้เกิดความสูญเสียความจำและเกิดปัญหาในการเก็บความจำ[39]
ความจำทางประสาทวิทยาศาตร์เชิงประชาน
[แก้]นักประสาทวิทยาศาสตร์เชิงประชาน (Cognitive neuroscience) พิจารณาความจำว่าเป็นการเก็บ (retention) การปลุกฤทธิ์ (reactivation) และการสร้างใหม่ (reconstruction) ของตัวแทนทางประสาทภายใน (internal representation) ที่มีต่างหากจากประสบการณ์ การใช้คำว่า "ตัวแทนภายใน" แสดงว่า นิยามของความจำจะต้องมีสองส่วน คือ การแสดงออกของความจำทางพฤติกรรมและทางการรับรู้ และความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของระบบประสาท (Dudai 2007) ส่วนที่สองนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "engram" หรือ "memory trace" (Semon 1904) นักประสาทวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยาบางพวกเทียบความคิดเรื่อง engram เท่ากับความจำ (memory) อย่างผิดพลาด คือรวมเอาสิ่งที่คงเหลือทั้งหมดของประสบการณ์ว่าเป็นความจำ (คือถือเอาแต่ส่วนที่สองของนิยาม) ในขณะที่พวกอื่นปฏิเสธการรวมยอดอย่างนี้โดยแสดงว่า ความจำจริง ๆ แล้วจะไม่มีจนกระทั่งเปิดเผยโดยพฤติกรรมหรือความคิด (คือบอกว่าต้องมีทั้งสองส่วนของนิยามจึงจะเป็นความจำ) (Moscovitch 2007)
คำถามหนึ่งที่สำคัญยิ่งในประสาทวิทยาศาสตร์เชิงประชานก็คือ ข้อมูลและประสบการณ์ทางใจเกิดการเข้ารหัสและการสร้างตัวแทนในสมองได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการเข้ารหัสผ่านงานวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาพพลาสติก (plasticity) ของระบบประสาท แต่งานวิจัยเช่นนี้โดยมากมักจะโฟกั้สที่การเรียนรู้ง่าย ๆ ในวงจรประสาทง่าย ๆ แต่ยังไม่มีความชัดเจนของความเปลี่ยนแปลงในระบบประสาทเกี่ยวกับความจำที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความจำเชิงประกาศที่ต้องเก็บทั้งข้อมูลความจริงและเหตุการณ์ต่าง ๆ (Byrne 2007)
การเข้ารหัส
[แก้]การเข้ารหัสของความจำใช้งาน (working memory) รวมการทำงานของนิวรอนที่เกิดขึ้นเพราะข้อมูลทางประสาทสัมผัส ที่คงอยู่แม้หลังจากข้อมูลทางประสาทสัมผัสนั้นหมดไปแล้ว (Jensen and Lisman 2005; Fransen et al. 2002) ส่วนการเข้ารหัสของความจำอาศัยเหตุการณ์มีความเกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรในโครงสร้างโมเลกุลที่ปรับเปลี่ยนการส่งสัญญาณผ่านไซแนปส์ระหว่างนิวรอน ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงโดยโครงสร้างเช่นนี้พบได้ในกระบวนการ long-term potentiation (LTP) และ spike-timing-dependent plasticity (STDP) การทำงานที่คงอยู่ได้ในความจำใช้งานสามารถเพิ่มสมรรถภาพความเปลี่ยนแปลงที่ไซแนปส์และที่เซลล์ในการเข้ารหัสความจำอาศัยเหตุการณ์ (Jensen and Lisman 2005) .
ความจำใช้งาน
[แก้]งานวิจัยในปี ค.ศ. 2005 พบสัญญาณบ่งความจำใช้งานทั้งในสมองกลีบขมับส่วนใน (medial temporal lobe ตัวย่อ MTL) ซึ่งเป็นส่วนสมองที่มีความสัมพันธ์ระดับสูงกับความจำระยะยาว และใน prefrontal cortex[40] ซึ่งบอกเป็นนัยถึงความสัมพันธ์ที่มีกำลังระหว่างความจำใช้งานและความจำระยะยาว แต่ว่า สัญญาณบ่งความจำใช้งานที่มีกำลังกว่าในสมองกลีบหน้าแสดงว่า สมองกลีบหน้ามีบทบาทที่สำคัญกว่าเกี่ยวกับความจำใช้งาน (Suzuki 2007)
การทำความจำให้มั่นคง
[แก้]ความจำระยะสั้น (Short-term memory ตัวย่อ STM) นั้นชั่วคราวและไวต่อการรบกวน ในขณะที่ความจำระยะยาว (long-term memory ตัวย่อ LTM) ที่มีการทำให้มั่นคงแล้ว จะคงทนและมีเสถียรภาพ ส่วนการเปลี่ยนความจำระยะสั้นไปเป็นความจำระยะยาวในระดับโมเลกุลเชื่อกันว่าเกิดจาก 2 กระบวนการ คือ synaptic consolidation (การทำการส่งสัญญาณผ่านไซแนปส์ให้มั่นคง) และ system consolidation (การทำความจำให้มั่นคงในทั้งระบบ) กระบวนการแรกเกิดจากกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนในสมองกลีบขมับด้านใน (MTL) ในขณะที่กระบวนการหลังเป็นการเปลี่ยนความจำที่ต้องอาศัย MTL ไปเป็นความจำที่เป็นอิสระจาก MTL ซึ่งใช้เวลาหลายเดือนจนถึงหลายปี (Ledoux 2007)
ในปีที่ผ่าน ๆ มานี้ ความเชื่อเดิม ๆ เหล่านี้ได้เริ่มมีการตรวจสอบใหม่เพราะผลจากงานวิจัยต่าง ๆ ในประเด็น reconsolidation (การทำความจำให้มั่นคงอีก) คืองานวิจัยเหล่านี้พบว่า ถ้ามีตัวรบกวนเกิดขึ้นหลังจากการค้นคืนความจำที่มีอยู่แล้ว จะมีผลต่อการค้นคืนความจำนั้น ๆ ต่อไปอีก (Sara 2000) นอกจากนั้นแล้ว งานวิจัยต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 แสดงว่า การให้ยายับยั้งการสังเคราะห์โปรตีน (protein synthesis inhibitor) หรือสารประกอบอื่น ๆ อีกหลายอย่าง หลังจากการค้นคืนความจำ จะนำไปสู่ภาวะเสียความจำ (Nadel et al. 2000b; Alberini 2005; Dudai 2006) ผลงานวิจัยเหล่านี้เกี่ยวกับ reconsolidation เข้ากันกับหลักฐานทางพฤติกรรมว่า ความจำที่ค้นคืนมานั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่เหมือนกับประสบการณ์เดิมจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ และจะเกิดการปรับเปลี่ยนเมื่อมีการค้นคืน
ยีน
[แก้]การศึกษาด้านพันธุศาสตร์เกี่ยวกับความจำในมนุษย์ยังอยู่ในยุคเริ่มต้น ผลงานสำเร็จเริ่มต้นที่เด่นก็คือการสัมพันธ์โปรตีน Apolipoprotein E กับความผิดปกติทางความจำของคนไข้โรคอัลไซเมอร์ การสืบค้นหายีนต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับความจำที่มีความแตกต่างกันตามปกติก็ยังเป็นงานที่ดำเนินต่อไป แต่ยีนที่มีบทบาทในความแตกต่างกันของความจำอย่างหนึ่งก็คือยีน KIBRA[41] ซึ่งดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับความเร็วในการลืมข้อมูลหลังจากการเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ
ความจำในวัยทารก
[แก้]จนกระทั่งถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 มีการสันนิษฐานโดยทั่ว ๆ ไปว่า เด็กทารกจะไม่สามารถเข้ารหัส เก็บ และค้นคืนข้อมูลความจำ[42] แต่ผลงานวิจัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบันกลับบอกว่า เด็กทารกแม้ในวัย 6 เดือน ยังสามารถระลึกถึงข้อมูลต่าง ๆ 24 ช.ม. หลังจากการเรียนรู้ได้[43] นอกจากนั้นแล้ว งานวิจัยยังแสดงด้วยว่า เมื่อเจริญวัยขึ้น ก็สามารถที่จะเก็บข้อมูลนั้นได้นานขึ้นเรื่อย ๆ คือ ทารกวัย 6 เดือนสามารถระลึกถึงข้อมูลได้หลังจาก 24 ช.ม. วัย 9 เดือนสามารถระลึกถึงได้หลังจาก 5 อาทิตย์ และวัย 20 เดือนสามารถระลึกได้นานถึง 12 เดือน[44] ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยต่าง ๆ ยังแสดงด้วยว่า เมื่อเจริญวัยขึ้น เด็กทารกสามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้เร็วเพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เด็กทารกวัย 14 เดือนสามารถระลึกถึงลำดับการกระทำมี 3 ขั้นตอนหลังจากมีการเรียนรู้เพียงแค่ครั้งเดียว ในขณะที่เด็กวัย 6 เดือนต้องมีการเรียนรู้ถึง 6 ครั้งจึงจะจำได้[27][43]
ควรจะสังเกตว่า แม้ว่าเด็กทารกวัย 6 เดือนจะสามารถระลึกถึงข้อมูลในช่วงระยะสั้น แต่ว่าจะมีปัญหาในการระลึกถึงข้อมูลตามลำดับ ต้องเป็นเด็กทารกเริ่มตั้งแต่วัย 9 เดือนที่จะสามารถระลึกถึงการกระทำสองขั้นตอนตามลำดับ ซึ่งก็คือ ระลึกถึงการกระทำที่ 1 ก่อน ตามมาด้วยการกระทำที่ 2[45][46] กล่าวอีกอย่างหนึ่ง เมื่อให้เลียนแบบลำดับการกระทำ 2 ขั้นตอน (เช่นเอารถเด็กเล่นวางไว้ที่ฐานรองรับ แล้วใช้ไม้ดันให้รถวิ่งไปอีกด้านหนึ่ง) เด็กทารกวัย 9 เดือนมักจะเลียนแบบการกระทำในลำดับที่ถูกต้อง (ขั้น 1 แล้วจึงขั้น 2) ทารกที่เยาว์วัยกว่านั้น (คือ 6 เดือน) สามารถระลึกถึงขั้นตอนหนึ่งในลำดับสองขั้นตอนเท่านั้น[43] มีนักวิจัยที่เสนอว่า ความแตกต่างระหว่างวัยเช่นนี้ อาจเกิดขึ้นเพราะส่วน dentate gyrus ของฮิปโปแคมปัส และเพราะเหตุส่วนต่าง ๆ ด้านหน้าของเครือข่ายประสาทยังไม่เจริญเต็มที่ในทารกวัย 6 เดือน[28][47][48]
ความจำและความชราภาพ
[แก้]ประเด็นเรื่องกังวลอย่างหนึ่งของคนชราก็คือการสูญเสียความจำ โดยเฉพาะโดยเป็นอาการเด่นของโรคอัลไซเมอร์ แต่ว่า การสูญเสียความจำที่เนื่องกับความชราไม่เหมือนกับที่เนื่องกับโรคอัลไซเมอร์ (Budson & Price, 2005) งานวิจัยได้พบว่า สมรรถภาพในการทำงานเกี่ยวกับความจำที่ต้องอาศัยเขตสมองด้านหน้าจะเสื่อมลงเพราะความชราภาพ คือ คนชรามักจะแสดงความบกพร่องในงานต่าง ๆ เช่น
- ที่ต้องรู้ลำดับของสิ่งที่เรียนรู้[49]
- ที่ต้องให้จำสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เรียนรู้ข้อมูลนั้น ๆ (source memory task)[50]
- ที่ต้องจำว่าจะทำกิจกรรมอย่างหนึ่งในอนาคต (prospective memory task ) แม้ว่าจะสามารถแก้ไขได้โดยวิธีต่าง ๆ เช่นใช้สมุดนัดเป็นต้น
ผลของการออกกำลังกาย
[แก้]การออกกำลังกาย โดยเฉพาะแบบแอโรบิกเช่นการวิ่ง การขี่จักรยาน และการว่ายน้ำมีประโยชน์ทางประชานหลายอย่าง ผลดีที่เกิดขี้นรวมทั้ง ระดับสารสื่อประสาทที่สูงขึ้น การส่งออกซิเจนและสารอาหารที่ดีขึ้น และกระบวนการ neurogenesis (การสร้างเซลล์ประสาทใหม่) ในฮิปโปแคมปัสในระดับที่เพิ่มขึ้น ผลของการออกกำลังกายต่อความจำมีนัยสำคัญต่อการเพิ่มสมรรถภาพทางการศึกษาของเด็ก ๆ ต่อการรักษาสมรรถภาพทางความคิดในวัยชรา และต่อการป้องกันและการรักษาโรคทางประสาท
โรค
[แก้]ความรู้มากมายเกี่ยวกับความจำในปัจจุบันมาจากการศึกษาโรคเกี่ยวกับความจำ (memory disorders) โดยเฉพาะภาวะเสียความจำ (amnesia) ซึ่งอาจจะเป็นผลของความเสียหายอย่างกว้างขวางต่อ (1) เขตต่าง ๆ ในสมองกลีบขมับส่วนใน (medial temporal lobe) เช่นฮิปโปแคมปัส, dentate gyrus, subiculum, อะมิกดะลา, parahippocampal cortex, entorhinal cortex และ perirhinal cortex[51] หรือ (2) เขต midline diencephalic region โดยเฉพาะส่วน dorsomedial nucleus ของทาลามัส และ mammillary bodies ของไฮโปทาลามัส[52]
มีรูปแบบของภาวะเสียความจำมากมาย เพราะฉะนั้น การศึกษารูปแบบต่าง ๆ ทำให้สามารถสังเกตข้อบกพร่องที่ปรากฏในส่วนย่อยต่าง ๆ ของระบบความจำ และจึงทำให้สามารถตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับหน้าที่ของส่วนย่อย ๆ เหล่านั้นในสมองปกติ โรคเกี่ยวกับระบบประสาทอื่น ๆ เช่นโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสัน[53] ก็สามารถมีผลต่อความจำและประชานอีกด้วย ส่วนโรค Hyperthymesia หรือว่า hyperthymesic syndrome มีผลต่อความจำอาศัยอัตชีวประวัติ (autobiographical memory) ซึ่งโดยสำคัญก็คือ คนไข้ไม่สามารถลืมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ปกติจะไม่เก็บไว้[54] ส่วน Korsakoff's syndrome หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Korsakoff's psychosis เป็นโรคที่มีภาวะเสียความจำและการกุเหตุความจำเสื่อม (confabulation) เป็นโรคเกี่ยวกับสมองที่มีผลลบต่อความจำ
แม้ว่าจะไม่ใช่โรค ความล้มเหลวชั่วคราวในการค้นหาคำที่จะใช้พูดเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ติดอยู่ที่ปลายลิ้น" (Tip of the tongue) แต่ว่า คนไข้โรค "Anomic aphasia" (ภาวะเสียการสื่อความโดยหาคำเรียกไม่ได้) หรือบางครั้งเรียกว่า "Nominal aphasia" ประสบกับปรากฏการณ์ติดอยู่ที่ปลายลิ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเหตุความเสียหายต่อสมองกลีบหน้าและสมองกลีบข้าง
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความจำ
[แก้]กลิ่นและอารมณ์ความรู้สึก
[แก้]ในปี ค.ศ. 2007 นักวิจัยชาวเยอรมันพบว่าสามารถใช้กลิ่นต่าง ๆ ในการปลุกฤทธิ์ของความจำใหม่ ๆ ในสมอง ในขณะที่ผู้ร่วมการทดลองกำลังนอนหลับอยู่ และหลังจากนั้นผู้ร่วมการทดลองก็ปรากฏกว่าจำเรื่องนั้นได้ดีขึ้น[55] นอกจากนั้นแล้ว อารมณ์ความรู้สึกยังสามารถมีผลที่มีกำลังต่อความจำ งานวิจัยมากมายแสดงว่า ความจำอาศัยอัตชีวประวัตที่ชัดเจนที่สุดมักจะเป็นเหตุการณ์ที่ประกอบด้วยอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งมักจะมีการระลึกถึงอยู่บ่อย ๆ ประกอบด้วยความชัดเจนและรายละเอียดที่มากกว่าเหตุการณ์ธรรมดา ๆ[56]
ส่วนของสมองที่ขาดไม่ได้ในการสร้างอารมณ์ก็คืออะมิกดะลา ซึ่งเปิดโอกาสให้ฮอร์โมนความเครียดสามารถเพิ่มกำลังของการสื่อสารระหว่างนิวรอนต่าง ๆ[57] คือ สารเคมี cortisone และอะดรีนาลีนจะเกิดการปล่อยในสมองเมื่อเกิดการทำงานในอะมิกดะลาไม่ว่าจะเป็นเพราะความตื่นเต้นทั้งทางบวกหรือทางลบ วิธีที่ได้ผลที่สุดในการเริ่มการทำงานของอะมิกดะลาก็คือความกลัว เพราะความกลัวเป็นกลไกป้องกันตนเองที่มีอยู่ตามสัญชาตญาณ เป็นสิ่งที่มีกำลังจึงทำให้จำเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ง่าย แต่ว่า บางครั้งความรู้สึกอาจจะมีอย่างท่วมท้น ซึ่งทำให้ความจำแม้คลุมเครือแต่ก็ยังรู้สึกเหมือนชัด หรือว่าอาจจะทำให้คิดถึงบ่อย ๆ และมีความชัดเจนอย่างยิ่ง การค้นพบเช่นนี้ได้นำไปสู่การพัฒนายาเพื่อช่วยความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD)[58] เมื่อเราอยู่ในภาวะที่เกิดอารมณ์สูง เหตุการณ์ต่าง ๆ อาจจะทำให้เกิดความจำที่มีกำลังและทำให้คิดถึงบ่อย ๆ โดยที่ไม่ต้องการ ทำให้กลายเป็นปัญหาอย่างหนึ่งในชีวิตเป็นเวลาหลาย ๆ ปี[59]
งานทดลองที่ทำในหนูช่วยพัฒนายาที่ใช้บำบัดอาการอย่างนี้ ดร. เคอร์รี่ เร็สส์เรอร์ที่มหาวิทยาลัยเอ็มมอรี่ในรัฐจอร์เจีย ใช้เสียงและการช็อตด้วยไฟฟ้าเพื่อทดลองยารักษาวัณโรค cycloserine ที่มีมาก่อนแล้ว คือ หนูทดลองจะได้ยินเสียงแล้วเกิดการช็อต ทำให้เกิดการกลัวเสียง หลังจากนั้นก็จะให้ยากับหนูกลุ่มหนึ่ง แล้วก็จะทำการทดลองซ้ำอีก หนูที่ไม่ได้รับยาจะหยุดนิ่ง (freeze) เพราะเหตุแห่งความกลัว แต่ว่าสำหรับหนูที่ได้ยา แม้ได้ยินเสียงก็จะไม่ใส่ใจและจะทำกิจกรรมของตนต่อไป[60] ยานี้มีประสิทธิภาพในการเพิ่มหน่วยรับความรู้สึก (receptor) ที่มีบทบาทในการเชื่อมต่อกันระหว่างนิวรอน และในการปรับเปลี่ยนอะมิกดะลา ทำให้คนไข้ที่หวาดกลัวเพราะเหตุความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD) มีโอกาสที่จะหายจากความกลัวอย่างนี้ได้
ส่วนในอีกงานหนึ่งที่มหาวิทยาลัยเอ็มมอรี่ ดร. บาร์บารา โรธบอมได้ทำงานทดลองเกี่ยวกับการบำบัด PTSD โดยใช้ความรู้ว่า นิวรอนที่เกิดการทำงานเมื่อสร้างความจำ เป็นนิวรอนพวกเดียวกันที่ทำงานเมื่อมีการระลึกถึงความจำนั้น การใช้ยา cycloserine มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยคนไข้ให้สร้างการเชื่อมต่อใหม่ ๆ ระหว่างนิวรอน เพื่อลดการเชื่อมต่อกันระหว่างนิวรอนที่เกิดจากเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดนั้น ดร. โรธบอมใช้การสร้างความจริงเสมือนร่วมกับยาเพื่อเปลี่ยนความจำของคนไข้ คือเมื่อคนไข้ได้ระบุเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิด PTSD ได้แล้ว ก็จะมีการสร้างสถานการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ ผ่านหมวกที่สร้างความจริงเสมือน (เช่นเหตุการณ์เหมือนในรถเกราะที่คนไข้ประสบในสงครามทะเลทราย)
วิธีนี้ช่วยให้ระลึกเหตุการณ์นั้นในที่ที่ปลอดภัย และทำให้เกิดการทำงานในนิวรอนเดียวกันโดยไม่มีการตอบสนองด้วยความกลัวจากอะมิกดะลา คือ เหตุการณ์เสมือนจะกระตุ้นการทำงานในนิวรอนเดียวกันที่ทำงานในช่วงเหตุการณ์ และคนไข้ก็จะมีโอกาสที่จะสร้างการเชื่อมต่อกันทางประสาทใหม่ โดยมีสารเคมีต่าง ๆ ส่งมาจากอะมิกดะลาน้อยลง เพราะเหตุยา cycloserine ในระบบประสาทของคนไข้ จริง ๆ แล้ว วิธีนี้ไม่ได้ลบความจำเก่าออก แต่ช่วยทำให้มีกำลังน้อยลง ซึ่งช่วยคนไข้ให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความจำของเหตุการณ์นั้น ๆ[61][62]
การระลึกถึงความจำมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ ถ้ามีความเจ็บปวด ความยินดี ความตื่นเต้น หรืออารมณ์ความรู้สึกที่มีกำลังอื่น ๆ ในช่วงเหตุการณ์ นิวรอนต่าง ๆ ที่ทำงานในช่วงเหตุการณ์ก็จะเกิดการเชื่อมต่อที่มีกำลังต่อกันและกัน และเมื่อระลึกถึงเหตุการณ์นี้ในอนาคต นิวรอนเหล่านี้ก็จะทำการเชื่อมต่อกันอย่างง่าย ๆ และอย่างรวดเร็ว กำลังและความยั่งยืนของความจำขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกในเหตุการณ์ที่สร้างความจำนั้นขึ้นโดยตรง[63]
การรบกวนจากความรู้ที่มีอยู่
[แก้]ที่ศูนย์ประชานศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตต นักวิจัยพบว่า ผู้ใหญ่มีปัญหาความแม่นยำของความจำเพราะการมีความรู้ และประสบการณ์มากกว่าเด็ก ๆ และมักจะใช้ความรู้ที่มีอยู่ในการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ ๆ ผลงานวิจัยนี้ปรากฏในวารสาร Psychological Science (วิทยาศาตร์จิตวิทยา) ในฉบับสิงหาคม ปี ค.ศ. 2004
สิ่งรบกวนสามารถขัดขวางการสร้างความจำและการค้นคืนความจำ มีทั้งการรบกวนแบบย้อนหลัง (retroactive interference) ซึ่งการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ ๆ ทำให้ยากขึ้นที่จะจำข้อมูลเก่า[64] และมีการรบกวนล่วงหน้า (proactive interference) ที่การเรียนรู้ที่มีมาก่อนจะขัดขวางการระลึกถึงข้อมูลใหม่ ๆ แม้ว่าจะมีข้อมูลเก่าเป็นตัวรบกวนที่ทำให้ลืม แต่ก็ควรจะตระหนักว่า มีสถานการณ์บางอย่างที่ข้อมูลเก่าช่วยในการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ ๆ ยกตัวอย่างเช่น ความรู้ภาษาละตินอาจจะช่วยในการเรียนภาษาที่สืบเนื่องกันเช่นภาษาฝรั่งเศส[65]
ความจำและความเครียด
[แก้]ความเครียดมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อการสร้างความจำและการเรียนรู้ เพื่อตอบสนองสถานการณ์ที่ตึงเครียด สมองจะปล่อยฮอร์โมนและสารสื่อประสาท (เช่น glucocorticoids และ catecholamines) ซึ่งมีผลต่อการเข้ารหัสความจำในฮิปโปแคมปัส งานวิจัยทางพฤติกรรมของหนูพบว่า การมีความเครียดเรื้อรังจะทำให้เกิดการสร้างฮอร์โมนอะดรีนาลีนซึ่งมีผลต่อฮิปโปแคมปัสในสมอง[66]
งานวิจัยที่ทำโดยนักจิตวิทยาประชานในปี ค.ศ. 2010 แสดงว่า การเรียนรู้ใต้ความเครียดทำให้ระลึกถึงสิ่งที่เรียนนั้นได้น้อยลงในมนุษย์[67]
คือ ในงานวิจัยนี้ ผู้ร่วมการทดลองเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยหญิงชายที่ร่วมการทดลองในกลุ่มทดลองหรือกลุ่มควบคุมซึ่งมีการเลือกโดยสุ่ม มีการให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มทดลองเอามือแช่ไว้ในน้ำเย็นเหมือนน้ำแข็ง (โดยงานทดลองที่เรียกว่า ‘Socially Evaluated Cold Pressor Test’ ตัวย่อ SECPT) เป็นเวลา 3 นาที โดยมีการเช็คและถ่ายวีดิโอไปพร้อมกัน หลังจากนั้นจึงให้คำ 32 คำกับทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมเพื่อจะจำ หลังจากนั้นอีก 24 ช.ม. ก็จะเช็คทั้งสองกลุ่มดูว่า สามารถจำคำที่ได้เรียนได้กี่คำ (free recall) และสามารถรู้จำคำที่เรียนได้กี่คำในรายการคำศัพท์อีกรายการหนึ่งที่มีทั้งคำที่เรียนและคำที่ไม่ได้เรียน (recognition) ผลการทดลองแสดงอย่างชัดเจนว่า ประสิทธิภาพความจำตกลงในกลุ่มทดลอง ผู้สามารถระลึกถึงคำที่เรียนรู้มาแล้ว 30% น้อยกว่ากลุ่มควบคุม นักวิจัยเสนอว่า ความเครียดที่ประสบในช่วงการเรียนรู้ทำใจให้ไขว้เขวในระยะกระบวนการเข้ารหัสความจำ
ถึงอย่างนั้น ประสิทธิภาพของความจำสามารถทำให้ดีขึ้นเมื่อสิ่งที่เรียนมีความสัมพันธ์กับสถานการณ์ แม้ว่าจะเกิดใต้ความเครียด ในงานทดลองต่างกันใน ปี ค.ศ. 2009 นักวิจัยกลุ่มเดียวกันพบว่า เมื่อทำการทดสอบผู้ร่วมการทดลองในสถานการณ์ที่คล้ายหรือเข้ากันกับที่มีในช่วงการเรียนรู้ (เช่นในห้องเดียวกัน) ประสิทธิภาพที่เสื่อมลงของการเรียนรู้เหตุความเครียดสามารถลดลงได้[68]
คือ ในงานวิจัยนี้ มีนักศึกษามหาวิทยาลัยสุขภาพดีทั้งชายหญิง 72 คน รับการเลือกโดยสุ่มให้อยู่ในกลุ่มทดลองแบบ SECPT หรือในกลุ่มควบคุม มีการให้นักศึกษาจำสถานที่เก็บไพ่ที่มีรูป 15 คู่ เป็นเกมคอมพิวเตอร์เหมือนกับเกม "Concentration" หรือ "Memory" มีการฉีดกลิ่นวะนิลาในห้องที่ทำการทดลอง เพราะว่ากลิ่นเป็นตัวช่วยที่มีกำลังสำหรับความจำ การทดสอบความจำจะทำในวันต่อไป ในห้องเดียวกันที่มีกลิ่นวะนิลาหรือในห้องต่างกันที่ไม่มี ประสิทธิภาพของผู้ร่วมการทดลองที่เกิดความเครียดในช่วงการเรียนรู้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อรับการทดสอบในห้องที่ไม่คุ้นเคยไม่มีกลิ่นวะนิลา (incongruent context คือมีสถานการณ์ที่ไม่เข้ากัน) ส่วนประสิทธิภาพของผู้ที่รับการทดสอบในห้องเดียวกันที่มีกลิ่นวะนิลา (congruent context คือมีสถาสนการณ์ที่เข้ากัน) ไม่มีความเสียหาย ผู้ร่วมการทดลองทุกคน ไม่ว่าจะเกิดความเครียดหรือไม่เกิด ทำข้อทดสอบได้เร็วกว่าเมื่อสถานการณ์ที่มีเมื่อมีการเรียนรู้และเมื่อรับการทดสอบมีความคล้ายคลึงกัน[69]
ผลงานวิจัยของความเครียดต่อความจำอาจจะแสดงนัยการปฏิบัติในวงการศึกษา เกี่ยวกับการให้การของพยานในศาล และเกี่ยวกับจิตบำบัด (psychotherapy) คือ
- นักเรียนอาจทำข้อสอบได้ดีกว่าถ้าทดสอบในห้องเรียนแทนในห้องสอบ
- พยานอาจจะระลึกถึงรายละเอียดในที่เกิดเหตุได้ดีกว่าในศาล
- คนไข้ PTSD อาจดีขึ้นถ้าช่วยให้ปรับเปลี่ยนความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เป็นต้นเหตุในสถานการณ์ที่สมควร
การสร้างและการปรับแต่งความจำ
[แก้]แม้ว่าเราอาจจะคิดว่า ความจำเป็นเหมือนกับเครื่องอัดวีดิโอ แต่นี่ไม่ใช่ความจริง กลไกทางโมเลกุลที่เป็นฐานของการเกิดและการรักษาความจำมีภาวะที่เป็นพลวัต (คือไม่อยู่กับที่) และประกอบด้วยระยะต่าง ๆ ที่มีช่วงเวลาเป็นวินาทีจนถึงทั้งชีวิต[70] จริง ๆ แล้ว ผลงานวิจัยแสดงว่า สิ่งที่เราจำได้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้น (ใหม่) คือ เราสร้างความจำทั้งที่เมื่อมีการเข้ารหัสทั้งที่เมื่อมีการระลึกถึง ความจริงนี้ รู้ได้จากผลงานวิจัยคลาสิกในปี ค.ศ. 1974[71] ที่ให้ผู้ร่วมการทดลองดูภาพยนตร์เกี่ยวกับอุบัติเหตุที่ท้องถนน และถามว่า ได้เห็นอะไร นักวิจัยพบว่า บุคคลที่ได้รับคำถามว่า "รถเหล่านั้นวิ่งเร็วแค่ไหนเมื่อวิ่งเข้าบี้กัน"[72] จะให้ความเร็วประเมินที่สูงกว่าบุคคลที่ได้รับคำถามว่า "รถเหล่านั้นวิ่งเร็วแค่ไหนเมื่อชนกัน"[73]
นอกจากนั้นแล้ว เมื่อถามอีกอาทิตย์หนึ่งว่า เห็นกระจกแตกในหนังหรือไม่ ผู้ที่รับคำถามเกี่ยวกับรถวิ่งเข้าบี้กันมีโอกาสถึง 2 เท่าที่จะรายงานว่าเห็นกระจกแตก มากกว่าผู้ที่ได้รับคำถามเกี่ยวกับรถชนกัน แต่จริง ๆ แล้ว ไม่มีกระจกแตกแสดงในภาพยนตร์ ดังนั้น คำถามจึงเป็นตัวบิดเบือนความจำของผู้ร่วมการทดลอง สิ่งที่สำคัญก็คือ คำที่ใช้ในคำถามโน้มน้าวให้ผู้ร่วมการทดลองสร้างความจำใหม่ที่ต่างจากเหตุการณ์จริง ๆ คือ ผู้ที่รับคำถามเกี่ยวกับรถวิ่งเข้าบี้กันระลึกถึงอุบัติเหตุว่าร้ายแรงกว่าที่เห็นจริง ๆ ผลงานทดลองนี้สามารถทำซ้ำได้และให้ผลเดียวกันทั่วโลก คือนักวิจัยสามารถแสดงอย่างคงเส้นคงวาว่า ถ้าได้รับข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิด ก็จะทำให้เกิดการระลึกถึงความจำที่ผิดพลาด เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า misinformation effect (แปลว่า ปรากฏการณ์ข้อมูลผิด)[74]
เป็นที่น่าสนใจว่า ผลงานวิจัยแสดงว่า การให้ผู้ร่วมการทดลองจินตนาการการกระทำที่ไม่เคยได้ทำมาก่อนหรือเหตุกาณ์ที่ไม่ได้ประสบมาจริง ๆ ซ้ำ ๆ กัน อาจมีผลทำให้เกิดความจำที่ไม่ตรงกับความจริง ยกตัวอย่างเช่น ในงานวิจัยปี ค.ศ. 1998[75] มีการให้ผู้ร่วมการทดลองจินตนาการว่าได้ทำการอย่างหนึ่ง (ซึ่งก็คือ หักไม้จิ้มฟัน) ในช่วงแรกของการทดลอง และภายหลังถามว่าได้ทำอย่างนั้นจริงหรือเปล่า ผลการทดลองพบว่า ผู้ร่วมการทดลองที่ได้จินตนาการซ้ำ ๆ กันว่าได้ทำสิ่งนั้นมีโอกาสที่จะคิดว่าได้ทำสิ่งนั้นจริง ๆ มากกว่าผู้ที่ไม่ได้จินตนาการ และโดยคล้าย ๆ กัน ในงานวิจัยปี ค.ศ. 1996[76] มีการให้นักศึกษามหาวิทยาลัยรายงานว่า มั่นใจแค่ไหนว่าได้ประสบเหตุการณ์หนึ่ง ๆ (เช่น ทำหน้าต่างแตกโดยใช้มือ) ในวัยเด็ก แล้วหลังจากนั้น 2 อาทิตย์ก็ให้นักศึกษาจินตนาการเหตุกาณ์ 4 อย่าง นักวิจัยพบว่า นักศึกษา 1/4 ที่ทำการจินตนาการรายงายว่า ได้ประสบเหตุการณ์เหล่านั้นจริง ๆ ในวัยเด็ก ซึ่งก็คือ เมื่อให้จินตการถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ก็จะเกิดความมั่นใจมากขึ้นว่าได้ประสบเหตุการณ์เหล่านั้นจริง ๆ
งานวิจัยในปี ค.ศ. 2013 พบว่า สามารถเร้าความจำที่มีอยู่แล้วโดยไม่ได้ใช้วิธีธรรมชาติ (artificial) และสามารถสร้างความจำเทียมในหนู โดยใช้ optogenetics (ใช้แสงควบคุมนิวรอนซึ่งได้ทำให้ไวแสงโดยแปลงยีน) คือกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของสถาบัน RIKEN-MIT สามารถทำให้หนูสัมพันธ์สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีภัย กับประสบการณ์ที่ไม่น่ายินดีที่เกิดในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน (หนูในที่สุดมีปฏิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีภัยเหมือนกับมีภัย) นักวิทยาศาสตร์บางท่านเชื่อว่า งานวิจัยนี้อาจมีนัยสำคัญในการศึกษาการเกิดความจำผิด ๆ ในมนุษย์ และในการบำบัดรักษาคนไข้ PTSD และโรคจิตเภท[77][78]
การเพิ่มประสิทธิภาพความจำ
[แก้]งานวิจัยปี ค.ศ. 2006 ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแอนเจลิสที่พิมพ์ในวารสาร American Journal of Geriatric Psychiatry (วารสารจิตเวชผู้สูงอายุอเมริกัน) พบว่า เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระบบประชานและสมองโดยเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างง่าย ๆ เช่นการฝึกหัดความจำ การทานอาหารสุขภาพ การรักษาร่างกายให้แข็งแรง และการบริหารความเครียด ในงานทดลองนี้ มีการตรวจสอบผู้ร่วมการทดลอง 17 คนโดยมีอายุเฉลี่ย 53 ปี มีประสิทธิภาพความจำเป็นปกติ มีการให้ผู้ร่วมการทดลอง 8 คนทานอาหารที่ดีต่อสมอง (brain healthy) ฝึกการผ่อนคลาย ออกกำลังกาย ฝึกจิต (ซึ่งเป็นเทคนิคฝึกสมองและความจำเกี่ยวกับภาษา) หลังจากนั้น 14 วัน ผู้ร่วมการทดลองสามารถใช้คำได้คล่องขึ้น (word fluency) เทียบกับความสามารถที่ได้วัดมาก่อน แต่ไม่มีการวัดผลติดตามในระยะยาว ดังนั้น จึงยังไม่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงชีวิตเช่นนี้มีผลระยะยาวต่อความจำหรือไม่[79]
มีหลักและเทคนิคช่วยจำที่มีความสัมพันธ์กันกลุ่มหนึ่ง (ที่เรียกว่า Art of memory ศิลปะความทรงจำ) ที่สามารถใช้เพื่อเพิ่มสมรรถภาพความทรงจำ เช่น ในปี ค.ศ. 2001 International Longevity Center (ศูนย์อายุยืนสากล) พิมพ์รายงาน[80] ที่ในหน้า 14-16 ให้คำแนะนำวิธีการรักษาสมรรถภาพทางใจให้ดีจนกระทั่งถึงวัยชรา ข้อแนะนำรวมทั้ง การใช้สมองโดยการเรียน การฝึกสมองหรือการอ่านหนังสือ การมีวิถีชีวิตที่แอ๊กถีฟเพื่อสนับสนุนการหมุนเวียนของเลือดในสมอง การเข้าสังคม การลดความเครียด การนอนเป็นเวลา การหลีกเลี่ยงภาวะเศร้าซึมหรือการมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ และการทานอาหารสุขภาพ
ระดับการประมวลผล
[แก้]ในปี ค.ศ. 1972 นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเสนอว่า วิธีการจำและระดับการประมวลผลเพื่อที่จะจำเป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการเก็บประสบการณ์ไว้ในความจำ ไม่ใช่การฝึกซ้อม (rehearsal) ข้อมูลนั้นบ่อย ๆ คือ
- การจัดระเบียบ (organization) ในปี ค.ศ. 1967 มีการให้ไพ่คำศัพท์ตลับหนึ่งแก่ผู้ร่วมการทดลองแล้วให้ผู้ร่วมการทดลองจัดไพ่เป็นกอง ๆ โดยใช้วิธีจัดระเบียบตามความชอบใจ ภายหลังเมื่อให้ผู้รับการทดลองระลึกถึงคำให้มากที่สุดเท่าที่จะจำได้ พวกที่มีจำนวนหมวดการจัดที่มากกว่าสามารถจำคำได้มากกว่า งานวิจัยนี้บอกเป็นนัยว่า การจัดระเบียบความจำเป็นองค์ประกอบของประสิทธิภาพของความจำอย่างหนึ่ง (Mandler, 2011)
- ความพิเศษ (distinctiveness) ในปี ค.ศ. 1980 มีการให้ผู้ร่วมการทดลองกล่าวคำต่าง ๆ โดยวิธีที่ไม่ให้เหมือนคำอื่น ๆ เช่นให้สะกดคำต่าง ๆ ดัง ๆ ผู้ร่วมการทดลองที่ทำเช่นนี้สามารถจำคำได้ดีกว่าคนที่เพียงแค่อ่านคำเหล่านั้นจากรายการ
- ความพยายาม (effort) ในปี ค.ศ. 1979 มีการให้ผู้ร่วมการทดลองแก้ปริศนาคำสลับอักษร บางคำง่าย (เช่น FAHTER ให้เป็น FATHER) และบางคำยาก (เช่น HREFAT) ผู้ร่วมการทดลองจำคำที่แก้ได้ยากได้ดีกว่า เพราะเชื่อว่าต้องทำความพยายามมากกว่า
- การเพิ่มรายละเอียด (elaboration) ในปี ค.ศ. 1983 มีการให้ผู้ร่วมการทดลองอ่านวรรคต่าง ๆ เกี่ยวกับประเทศในทวีปอัฟริกาที่ไม่มีจริงประเทศหนึ่ง มีวรรคที่มีข้อความสั้น ๆ และมีวรรคที่กล่าวรายละเอียดของประเด็นในวรรคนั้น วรรคที่ประกอบด้วยรายละเอียดมีการระลึกถึงได้ดีกว่า
วิธีที่ช่วยการท่องจำ
[แก้]การท่องจำเป็นวิธีหนึ่งในการเรียนรู้ที่ยังให้เราสามารถระลึกถึงข้อมูลได้คำต่อคำ ปรากฏการณ์เว้นระยะ (spacing effect) แสดงว่าเรามักจะจำรายการสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าถ้าท่องจำแล้วเว้นระยะ ทำซ้ำ ๆ กันเป็นช่วงระยะเวลายาว เปรียบเทียบวิธีนี้กับการพยายามจำเนื้อความเป็นจำนวนมากในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ปรากฏการณ์ที่เข้าประเด็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ Zeigarnik effect ซึ่งแสดงว่า เราจำงานที่ยังไม่เสร็จหรือที่เกิดการขัดจังหวะได้ดีกว่างานที่เสร็จแล้ว ส่วนวิธี Method of loci (การจินตนาการเส้นทางที่คุ้นเคยแล้ววางสิ่งที่ต้องการจะจำไว้ในตำแหน่งต่าง ๆ ที่เป็นจุดเด่น) เป็นการใช้ความจำทางพื้นที่เพื่อจะจำข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่[81]
เชิงอรรถและอ้างอิง
[แก้]- ↑ "ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑"
- ↑ PMID 13990068 (PMID 13990068)
Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand - ↑ Carlson, Neil R. (2010). Psychology: the science of behavior. Boston, Mass: Allyn & Bacon. ISBN 0-205-68557-9. OCLC 268547522.
- ↑ Cowan, N (February 2001). "The magical number 4 in short-term memory: a reconsideration of mental storage capacity" (PDF). Behav Brain Sci. 24 (1): 87–114, discussion 114-85. doi:10.1017/S0140525X01003922. PMID 11515286. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-04-13. สืบค้นเมื่อ 2014-09-09.
- ↑ Miller, G.A. (March 1956). "The magical number seven plus or minus two: some limits on our capacity for processing information". Psychol Rev. 63 (2): 81–97. doi:10.1037/h0043158. PMID 13310704.
- ↑ Conrad, R. (1964). "Acoustic Confusions in Immediate Memory". British Journal of Psychology. 55: 75–84. doi:10.1111/j.2044-8295.1964.tb00899.x. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-28. สืบค้นเมื่อ 2014-09-09.
- ↑ Baddeley, A. D. (1966). "The influence of acoustic and semantic similarity on long-term memory for word sequences". Quart. J. Exp. Psychol. 18 (4): 302–9. doi:10.1080/14640746608400047. PMID 5956072.
- ↑ Clayton, N.S.; Dickinson, A. (September 1998). "Episodic-like memory during cache recovery by scrub jays". Nature. 395 (6699): 272–4. doi:10.1038/26216. PMID 9751053.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Scoville W.B., Milner B. (1957). "Loss of Recent Memory After Bilateral Hippocampal Lesions" (PDF). Journal of Nurology, Neurosurgery and Psychiatry. 20: 11–21. doi:10.1136/jnnp.20.1.11. PMC 497229. PMID 13406589.
- ↑ 10.0 10.1 Ellenbogen, J; Hulbert, J; Stickgold, R; Dinges, DF; Thompson-Schill, SL (July 2006). "Interfering with theories of sleep and memory: sleep, declarative memory, and associative interference" (PDF). Curr. Biol. 16 (13): 1290–4. doi:10.1016/j.cub.2006.05.024. PMID 16824917. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-05-14. สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2557.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Miller C, Sweatt J (2007-03-15). "Covalent modification of DNA regulates memory formation". Neuron. 53 (6): 857–869. doi:10.1016/j.neuron.2007.02.022. PMID 17359920.
- ↑ Papassotiropoulos, Andreas; Wollmer, M. Axel; Aguzzi, Adriano; Hock, Christoph; Nitsch, Roger M.; de Quervain, Dominique J.-F. (2005). "The prion gene is associated with human long-term memory". Human Molecular Genetics. Oxford Journals. 14 (15): 2241–2246. doi:10.1093/hmg/ddi228. PMID 15987701.
- ↑ Zlonoga, B.; Gerber, A. (February 1986). "A case from practice (49) . Patient: K.F., born 6 May 1930 (bird fancier's lung)". Schweiz. Rundsch. Med. Prax. 75 (7): 171–2. PMID 3952419.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 14.0 14.1 Baddeley, A.D. (2000). "The episodic buffer: a new component of working memory?". Trends in Cognitive Science. 4 (11): 417–23. doi:10.1016/S1364-6613(00)01538-2. PMID 11058819.
- ↑ "IIDRSI: topographic memory loss". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-30. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- ↑ Aguirre, G.K.; D'Esposito, M. (September 1999). "Topographical disorientation: a synthesis and taxonomy". Brain. 122 (9): 1613–28. doi:10.1093/brain/122.9.1613. PMID 10468502.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ T.L. Brink (2008) Psychology: A Student Friendly Approach. "Unit 7: Memory." pp. 120 [1]
- ↑ Neisser, Ulric (1982). Memory observed: remembering in natural contexts. San Francisco: W.H. Freeman. ISBN 0-7167-1372-1. OCLC 7837605.
- ↑ Anderson, John R. (1976). Language, memory, and though. Hillsdale, N.J.: L. Erlbaum Associates. ISBN 978-0-470-15187-7. OCLC 2331424.
- ↑ Schacter, Daniel L; Gilbert, Daniel T; Wegner, Daniel M (2010). Implicit Memory and Explicit Memory. Psychology. New York: Worth Publishers. p. 238. ISBN 1-4292-3719-8. OCLC 755079969.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Winograd, 1988
- ↑ Bouton, M.E. (2007). Learning and behavior: A contemporary synthesis. MA Sinauer: Sunderland. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-01. สืบค้นเมื่อ 2014-09-09.
- ↑ Fagan, J.F. (June 1974). "Infant recognition memory: the effects of length of familiarization and type of discrimination task". Child Dev. 45 (2): 351–356. PMID 4837713.
- ↑ Rovee-Collier, Carolyn (1999). "The Development of Infant Memory" (PDF). Current Directions in Psychological Science. 8 (3): 80–85. doi:10.1111/1467-8721.00019. ISSN 0963-7214. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2003-07-21. สืบค้นเมื่อ 2014-09-09.
- ↑ Rovee-Collier, C.K., Bhatt, R. S. (1993). Ross Vasta (บ.ก.). Evidence of long-term retention in infancy. Annals of Child Development. Vol. 9. London: Jessica Kingsley Pub. pp. 1–45. ISBN 1-85302-219-5. OCLC 827689578.
{{cite book}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Hartshorn, K.; Rovee-Collier, C.; Gerhardstein, P.; และคณะ (March 1998). "The ontogeny of long-term memory over the first year-and-a-half of life". Dev Psychobiol. 32 (2): 69–89. doi:10.1002/(SICI)1098-2302(199803)32:2<69::AID-DEV1>3.0.CO;2-Q. PMID 9526683.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 27.0 27.1 Meltzoff, A.N. (June 1995). "What infant memory tells us about infantile amnesia: long-term recall and deferred imitation". J Exp Child Psychol. 59 (3): 497–515. doi:10.1006/jecp.1995.1023. PMC 3629912. PMID 7622990.
- ↑ 28.0 28.1 Bauer, Patricia J. (2002). "Long-Term Recall Memory: Behavioral and Neuro-Developmental Changes in the First 2 Years of Life". Current Directions in Psychological Science. 11 (4): 137–141. doi:10.1111/1467-8721.00186. ISSN 0963-7214.
- ↑ Bauer, Patricia J. (2007). Remembering the times of our lives: memory in infancy and beyond. Hillsdale, N.J: Lawrence Erlbaum Associates. ISBN 0-8058-5733-8. OCLC 62089961.
- ↑ "Paired-associate learning". Encyclopedia Britannica.
- ↑ Kesner RP (2013). "A process analysis of the CA3 subregion of the hippocampus". Front Cell Neurosci. 7: 78. doi:10.3389/fncel.2013.00078. PMC 3664330. PMID 23750126.
- ↑ "Recall (memory)". Encyclopedia Britannica.
- ↑ Baddeley, Alan D (1976). The Psychology of Memory. New York: Basic Books, Inc. pp. 131-132. ISBN 0-465-06736-0.
- ↑ doi:10.1176/appi.ajp.160.2.396
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand The Nature of Remembering: Essays in Honor of Robert G. Crowder (Full Web Article) - ↑ 35.0 35.1 "Recognition (memory)". Encyclopedia Britannica.
- ↑ LaBar K.S., & Cabeza R. (2006). "Cognitive neuroscience of emotional memory". Nature Reviews Neuroscience. 7 (1): 54–64. doi:10.1038/nrn1825.
- ↑ Adolphs R., Cahill L., Schul R., & Babinsky R. (1997). "Impaired declarative memory for emotional material following bilateral amygdala damage in humans". Learning & Memory. 4: 291–300. doi:10.1101/lm.4.3.291.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Cahill L.; Babinsky R.; Markowitsch H.J.; McGaugh J.L. (1995). "The amygdala and emotional memory". Nature. 377 (6547): 295–296. doi:10.1038/377295a0.
- ↑ Kalat, J. W. (2001). Biological psychology (7th ed.). Belmont, CA: Wadsworth Publishing.
- ↑ doi:10.1162/0898929054475118
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ "Gene called Kibra plays an important role in memory". 2006-10-20. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- ↑ Teti D.M. (2005). Handbook of research methods in developmental science: New developments in the study of infant memory. San Francisco: Blackwell Publishing.
- ↑ 43.0 43.1 43.2 Barr R., Dowden A., & Hayne H. (1996). "Developmental changes in deferred imitation by 6- to 24-month-old infants". Infant Behavior and Development. 19: 159–170. doi:10.1016/s0163-6383(96)90015-6.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Bauer P.J. (2004). "Getting explicit memory off the ground: Steps toward construction of a neuro-developmental account of changes in the first two years of life". Developmental Review. 24: 347–373. doi:10.1016/j.dr.2004.08.003.
- ↑ Bauer, P.J.; Wiebe, S.A.; Carver, L.J.; Waters, J.M.; Nelson, C.A. (November 2003). "Developments in long-term explicit memory late in the first year of life: behavioral and electrophysiological indices". Psychol Sci. 14 (6): 629–35. doi:10.1046/j.0956-7976.2003.psci_1476.x. PMID 14629697.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Carver, L.J.; Bauer, P.J. (March 1999). "When the event is more than the sum of its parts: 9-month-olds' long-term ordered recall". Memory. 7 (2): 147–74. doi:10.1080/741944070. PMID 10645377.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Carver, L.J.; Bauer, P.J. (December 2001). "The dawning of a past: the emergence of long-term explicit memory in infancy". J Exp Psychol Gen. 130 (4): 726–45. doi:10.1037/0096-3445.130.4.726. PMID 11757877.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Cowan, N., บ.ก. (1997). The development of memory in childhood. Hove, East Sussex: Psychology Press.
- ↑ Parkin A.J., Walter B.M., & Hunkin N.M. (1995). "Relationships between normal aging, frontal lobe function, and memory for temporal and spatial information". Neuropsychology. 9: 304–312. doi:10.1037/0894-4105.9.3.304.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ McIntyer J.S., & Craik F.I.M. (1987). "Age differences in memory for item and source information". Canadian Journal of Psychology. 41: 175–192.
- ↑ Corkin S, Amaral DG, Gonzalez RG, Johnson KA, Hyman, BT (1997). "H.M.'s medial temporal lobe lesion: Findings from magnetic resonance imaging". The Journal of Neuroscience. 17: 3964–3979.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Zola-Morgan S, Suire LR (1993). "Neuroanatomy of memory". Annual Reviews Neuroscience. 16: 547–563. doi:10.1146/annurev.ne.16.030193.002555.
- ↑ "Memory of Time May Be Factor in Parkinson's". Columbia University. 1996-04-05. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- ↑ "Forgetfulness is the Key to a Healthy Mind". New Scientist. February 16, 2008.
- ↑ Fox, Maggie (12 March 2007). "Want a better memory? Stop and smell the roses". Reuters. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-12-13. สืบค้นเมื่อ 15 December 2013.
- ↑ "Emotion and memory". English Wikipedia. 2004-04-15. สืบค้นเมื่อ 2012-11-08.
- ↑ Cherry, Kendra. "Amygdala - Definition". About.com. สืบค้นเมื่อ 5 December 2012.
- ↑ doi:10.1016/j.pscychresns.2012.08.007
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ Jeffrys (MD), Matt. "Clinician's Guide to Medications for PTSD". United States Department of Veterans Affairs. สืบค้นเมื่อ 15 December 2013.
- ↑ Siegelheim, Matt. "Researchers Discover Biological Pathway Linked to PTSD". abcnews.go.com. สืบค้นเมื่อ 15 December 2013.
- ↑ doi:10.1176/appi.ajp.2014.13121625
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ doi:10.1016/j.cpr.2009.09.001
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand อ้างอิง- Davis, M., Ressler, K., Rothbaum, B. O., & Richardson, R. (2006). "Effects of D-cycloserine on extinction: Translation from preclinical to clinical work". Biological Psychiatry. 60 (4): 369–375.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
- Davis, M., Ressler, K., Rothbaum, B. O., & Richardson, R. (2006). "Effects of D-cycloserine on extinction: Translation from preclinical to clinical work". Biological Psychiatry. 60 (4): 369–375.
- ↑ Heuer, Friderike; Reisberg, Daniel (1 September 1990). "Vivid memories of emotional events: The accuracy of remembered minutiae". Memory & Cognition. Springer-Verlag. 18 (5): 496–506. doi:10.3758/BF03198482. ISSN 0090-502X. สืบค้นเมื่อ 15 December 2012.
- ↑ Underwood, BJ (1957). "Interference and forgetting". Psychological Review. 64 (1): 49–60. doi:10.1037/h0044616. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2557.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ Perkins DN, Salomon G (1992). "Transfer of learning". ใน Postlethwaite, T. Neville, Husén, Torsten (บ.ก.). International Encyclopedia of Education (2 ed.). Oxford: Pergamon. ISBN 978-0-08-041046-3. OCLC 749308019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-03. สืบค้นเมื่อ 2011-10-30.
- ↑ doi:10.1016/j.pnpbp.2009.11.003
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ Schwabe, L.; Wolf, O.T. (2010). "Learning under stress impairs memory formation". Neurobiology of Learning and Memory. 93 (2): 183–188. doi:10.1016/j.nlm.2009.09.009.
- ↑ Schwabe, L.; Wolf, O.T. (2009). "The context counts: Congruent learning and testing environments prevent memory retrieval impairment following stress". Affective & Behavioral Neuroscience. 9 (3): 229–236. doi:10.3758/CABN.9.3.229.
- ↑ Schwabe, L.; Bohringer, A.; Wolf, O.T. (2009). "Stress disrupts context-dependent memory". Learning and Memory. 16 (2): 110–113. doi:10.1101/lm.1257509.
- ↑ Schwarzel, M; Mulluer, U (2006). "Dynamic Memory Networks" (PDF). Cellular and Molecular Life Science.
- ↑ Loftus EF & Palmer JC (1974). "Reconstruction of automobile destruction: An example of the interaction between language and memory". Journal of Verbal Learning & Verbal Behavior. 13: 585–589. doi:10.1016/s0022-5371(74)80011-3.
- ↑ How fast were the cars going when they smashed into each other?
- ↑ How fast were the cars going when they hit each other?
- ↑ Loftus GR (1992). "When a lie becomes memory's truth: Memory distortion after exposure to misinformation". Current Directions in Psychological Science. 1: 121–123. doi:10.1111/1467-8721.ep10769035.
- ↑ Goff LM & Roediger HL (1998). "Imagination inflation for action events: Repeated imaginings lead to illusory recollections". Memory and Cognition. 26: 20–33. doi:10.3758/bf03211367.
- ↑ Garry M, Manning CG, Loftus EF, & Sherman SJ (1996). "Imagination inflation: Imagining a childhood event inflates confidence that it occurred". Psychonomic Bulletin & Review. 3: 208–214. doi:10.3758/bf03212420.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ A mouse. A laser beam. A manipulated memory [หนู แสงเลเซอร์ (และ) ความจำถูกแปลง (มีคำบรรยายภาษาไทย)] (MP4). TED. มิถุนายน 2556.
- ↑ Hogenboom, Melissa (July 25, 2013). "Scientists can implant false memories into mice". BBC News. สืบค้นเมื่อ July 26, 2013.
- ↑ Small, G.W.; Silverman, D.H.; Siddarth, P.; และคณะ (June 2006). "Effects of a 14-day healthy longevity lifestyle program on cognition and brain function". Am J Geriatr Psychiatry. 14 (6): 538–45. doi:10.1097/01.JGP.0000219279.72210.ca. PMID 16731723.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ "International Longevity Center report on memory" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2007-07-19. สืบค้นเมื่อ 1 September 2008.
- ↑ Henrik Olsson, Leo Poom and Anne Treisman (Jun. 14, 2005) . Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America 102 (24) : 8776-8780
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Eck A (June 3, 2014). "For More Effective Studying, Take Notes With Pen and Paper". Nova Next. PBS.
- Fernyhough C (2013). Pieces of Light: How the New Science of Memory Illuminates Stories We Tell About Our Pasts. ISBN 978-0-06-223789-7.
- Fields RD (March 2020). "The Brain Learns in Unexpected Ways: Neuroscientists have discovered a set of unfamiliar cellular mechanisms for making fresh memories". Scientific American. 322 (3): 74–79. PMC 8284127. PMID 34276078.
Myelin, long considered inert insulation on axons, is now seen as making a contribution to learning by controlling the speed at which signals travel along neural wiring.
- Leyden A (January 24, 2014). "20 Study Hacks to Improve Your Memory". Exam Time.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]แหล่งข้อมูลห้องสมุดเกี่ยวกับ ความจำ |