ข้ามไปเนื้อหา

การเนรเทศชาวเกาหลีในสหภาพโซเวียต

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การเนรเทศชาวเกาหลีในสหภาพโซเวียต
เป็นส่วนหนึ่งของ การโยกย้ายประชากรในสหภาพโซเวียต และ ปฏิบัติการหมู่ของเอนคาเวเด
แผนที่การเนรเทศชาวเกาหลีจากภูมิภาคตะวันออกไกลของรัสเซียไปยังภูมิภาคเอเชียกลางของสหภาพโซเวียต
สถานที่ดินแดนปรีมอร์เย
วันที่กันยายน–ตุลาคม พ.ศ. 2480
เป้าหมายชาวเกาหลีเชื้อสายโซเวียต
ประเภทการขับไล่ด้วยกำลัง, การล้างชาติพันธุ์
ตายการประมาณการหลายประการ
1) 16,500[1]
2) 28,200[2]
3) 40,000[3]
4) 50,000[4]
(อัตราการเสียชีวิต ร้อยละ 10–25)
ผู้เสียหายชาวเกาหลี 172,000 คนถูกเนรเทศไปตั้งถิ่นฐานโดยบังคับในสหภาพโซเวียต
ผู้ก่อเหตุเอนคาเวเด
เหตุจูงใจ"การกวาดล้างชายแดน",[5] การแผลงเป็นรัสเซีย[6]

การเนรเทศชาวเกาหลีในสหภาพโซเวียต (รัสเซีย: Депортация корейцев в СССР; เกาหลี: 고려인의 강제 이주) เป็นการบังคับโยกย้ายชาวเกาหลีเชื้อสายโซเวียตเกือบ 172,000 คน (โครยอ-ซารัม หรือโครยออิน) จากภูมิภาคตะวันออกไกลของรัสเซียไปยังพื้นที่ที่ไม่มีผู้คนอาศัยของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตคาซัค และ สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบกใน พ.ศ. 2480 โดยเอนคาเวเด ตามคำสั่งของโจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต และวยาเชสลาฟ โมโลตอฟ ประธานคณะกรรมการราษฎรแห่งสหภาพโซเวียต มีการใช้รถไฟ 124 ขบวนเพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นระยะทาง 6,400 กม. (12,000 ไมล์) ไปยังเอเชียกลาง สาเหตุคือเพื่อหยุดยั้ง "การแทรกซึมของสายลับญี่ปุ่นเข้าไปในดินแดนตะวันออกไกล" เนื่องจากชาวเกาหลีในขณะนั้นเป็นพลเมืองของจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่แข่งของสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์บางคนถือว่าเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย "การกวาดล้างชายแดน" ของสตาลิน จากการประมาณการโดยอิงจากสถิติประชากร พบว่าชาวเกาหลีที่ถูกเนรเทศออกไปเสียชีวิตระหว่าง 16,500 ถึง 50,000 คนจากความอดอยาก การรับเชื้อ และความยากลำบากในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่เมื่อถูกเนรเทศ

หลังจากที่นีกีตา ครุชชอฟขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2496 และดำเนินกระบวนการล้มล้างอิทธิพลของสตาลิน เขาได้ประณามการเนรเทศกลุ่มชาติพันธุ์ของสตาลิน แต่ไม่ได้กล่าวถึงชาวเกาหลีเชื้อสายโซเวียตในหมู่สัญชาติที่ถูกเนรเทศเหล่านี้ ชาวเกาหลีที่ถูกเนรเทศยังคงอาศัยอยู่ในเอเชียกลางและผสานเข้ากับสังคมคาซัคสถานและอุซเบกิสถาน แต่คนรุ่นใหม่ค่อย ๆ สูญเสียวัฒนธรรมและภาษาของตนไป

เหตุการณ์นี้ถือเป็นแบบอย่างของการเนรเทศกลุ่มชาติพันธุ์ครั้งแรกของสหภาพโซเวียต[7] ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำในเวลาต่อมาระหว่างการโยกย้ายประชากรในสหภาพโซเวียตระหว่างและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อผู้คนหลายล้านคนจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นถูกตั้งถิ่นฐานใหม่ นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการสมัยใหม่มองว่าการเนรเทศครั้งนี้เป็นตัวอย่างของนโยบายเหยียดเชื้อชาติในสหภาพโซเวียต[8][9][10] และการกวาดล้างชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของลัทธิสตาลิน เช่นเดียวกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Korea: In the World – Uzbekistan". Gwangju News. 10 October 2013. สืบค้นเมื่อ 23 May 2021.
  2. D.M. Ediev (2004). "Demograficheskie poteri deportirovannykh narodov SSSR". Stavropol: Polit.ru. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 September 2017. สืบค้นเมื่อ 23 September 2017.
  3. Rywkin (1994), p. 67.
  4. Saul (2014), p. 105.
  5. Polian (2004), p. 102.
  6. Shafiyev (2018), p. 150, 157.
  7. Ellman 2002, p. 1158.
  8. Tolz (1993), p. 161.
  9. Chang (2014), pp. 32–33.
  10. Chang (2018a), pp. 174–176.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]