ข้ามไปเนื้อหา

การเคี้ยวหมากในประเทศไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การเคี้ยวหมากเป้นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมและประเพณีไทยเสมอ ในอดีต การเคี้ยวหมากเคยเป็นกิจกรรมยอดนิยมของชาวไทยทั่วประเทศในแต่ละวัน[1] ผลหมากมาจากต้นไม้ที่มีชื่อว่า Areca catechu ที่เติบโตทั่วประเทศไทย[2][3]

ชาวบ้านชาวเขาในชนบทแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของประเทศไทย ยิ้มด้วยฟันที่เปื้อนคราบจากการเคี้ยวหมาก
Areca Catechu (ต้นหมาก), ลูกหมาก

การเตรียมการ

[แก้]

การเคี้ยวหมากแบบไทย ต้องมีวัตถุดิบหลัก 3 อย่าง คือ ใบพลู หมากพลู และหินปูนแดง[4] ก่อนจะเคี้ยวหมาก จะต้องต้ม หั่น และตากหมากให้แห้งเสียก่อน[1] วิธีหนึ่งที่นิยมใช้คือ หั่นหมากเป็นสี่ส่วนเล็ก ๆ ก่อนตากด้วยแสงอาทิตย์ เนื่องจากหมากมีความแข็งแรงมาก เมื่อหมากแห้งแล้ว ส่วนมักร้อยเชือก (โดยทั่วไปยาวถึง 50 ซม.) แล้วแขวนไว้รอบๆ บ้านเพื่อใช้เมื่อจำเป็น วิธีนี้เป็นที่นิยมเพราะหมากแห้งสามารถเก็บไว้ได้นานขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถใส่ส่วนผสมอื่นๆ ได้ เช่น ไพลหรือยาสูบ[3]

ก่อนจะเคี้ยวหมาก คนไทยส่วนใหญ่จะผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผู้สูงอายุหลายคน (ที่ฟันไม่แข็งแรงหรือไม่มีฟัน) ผสมและตำส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน โดยไม่ต้องห่อด้วยใบพลู[2]

อุปกรณ์

[แก้]

ประเพณีและวัฒนธรรมไทย

[แก้]

หมากยังมีบทบาทสำคัญต่อประเพณีและวัฒนธรรมไทย เช่น:

  • ทำบุญต่ออายุ: คนไทยมีความเชื่อว่าหมากจะช่วยให้อายุยืนยาว โดยจะทำพิธีผ่านการนำต้นหมากเล็ก ๆ มาสวดมนต์ก่อนนำไปปลูกในวัดหรือในที่สาธารณะ
  • ขันตั้ง/ขันครู: ขันตั้งเป็นถาดตกแต่งใส่หมากและเครื่องเซ่นต่าง ๆ ในพิธีที่นักเรียนใช้แสดงความเคารพและกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
  • พิธีศาสนาพุทธ: หมากใช้เป็นเครื่องบูชาศาลพระภูมิและในการอุปสมบทของพระสงฆ์ ส่วนใบของต้นพลูจะใช้สำหรับการบูชาทางพุทธศาสนาเท่านั้น[5]
  • "ขันหมาก": ตามประเพณีไทย คู่รักจะหมั้นกันในพิธีที่เรียกว่า "ขันหมาก" ซึ่งจัดขึ้นในงานแต่งงาน ขันหมากคือถาดตกแต่งที่มีหมากเป็นส่วนประกอบหลัก[6]

ประเพณี

[แก้]

เสื่อมถอย

[แก้]

แปลก พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ได้รณรงค์ให้ประชาชนเลิกเคี้ยวหมากใน พ.ศ. 2483 และยังสั่งให้ตัดต้นหมากทั้งหมดทั่วประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ การเคี้ยวหมากยังถูกห้ามในอาคารราชการอีกด้วย ทำให้เกิดกระแสต่อต้านการเคี้ยวหมาก ผู้ที่เคี้ยวหมากในอาคารราชการจะไม่ได้รับบริการจากรัฐบาล เพื่อส่งเสริมสังคมสมัยใหม่และทำให้เมืองสะอาด เพราะประชาชนจะคายคราบสีแดงลงบนถนน ทำให้เมืองและถนนสกปรกและไม่ถูกสุขอนามัย[2][7]

การศึกษาเฉพาะกรณีโดยละเอียดโดย Reichard และคณะฯ ในชาวเขาบางส่วนทางภาคเหนือของไทยเกี่ยวกับพฤติกรรมการเคี้ยวหมากในประเทศไทยเขียนขึ้นใน พ.ศ. 2522-2527 ผลการศึกษาพบว่าผู้ชายนิยมเคี้ยวหมากประมาณร้อยละ 5-44 และผู้หญิงนิยมเคี้ยวหมากประมาณร้อยละ 9-46 ชาวบ้านที่อายุน้อยกว่า 35 ปีจำนวนน้อยมากเคี้ยวหมาก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นธรรมเนียมสากลในหมู่คนไทย นั่นแสดงให้เห็นว่าการเคี้ยวหมากในประเทศไทยลดลง ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีแนวโน้มเช่นนี้ การเคี้ยวหมากในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพและเชียงใหม่เกือบหายไปหมดแล้ว แม้ว่าในจังหวัดแถบชนบทยังคงเป็นที่นิยมในหมู่คนชรา[4]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Schliesinger, Joachim (2015-01-11). Tai Groups of Thailand Vol 1: Introduction and Overview (ภาษาอังกฤษ). Booksmango. ISBN 9781633232303.
  2. 2.0 2.1 2.2 มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย. (๒๕๔๒). สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม ๑๔ สุวัณณะจักก่าตำ – เหตุหื้อวินาสฉิบหาย. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์.
  3. 3.0 3.1 Gupta, P. C., & Warnakulasuriya, S. (2002). Global epidemiology of areca nut usage. Addiction biology, 7(1), 77-83.
  4. 4.0 4.1 Humans, IARC Working Group on the Evaluation of Carcinogenic Risks to; Cancer, International Agency for Research on (2004-01-01). Betel-quid and Areca-nut Chewing and Some Areca-nut-derived Nitrosamines (ภาษาอังกฤษ). IARC. ISBN 9789283212850.
  5. Young, John E. De (1955-01-01). Village Life in Modern Thailand (ภาษาอังกฤษ). University of California Press.
  6. ช ยัน ตรา คม, & ธั น นิ กานต์. (2013). การ เปลี่ยนแปลง ทาง ทัศนคติ: การ ศึกษา ประเพณี แต่งงาน ไทย. วารสาร สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ, 16(9).
  7. ญา เร ศ อัคร พัฒนา นุ กูล. (2013). แนวคิด ฟาสซิสต์ ของ มุ ส โส ลิ นี กับ บทบาท ทาง การเมือง ของ จอมพล ป. พิบูล สงคราม: การ ศึกษา ผ่าน แง่ มุม ของ จิต วิญญาณ ชีวิต ของ พลเมือง และ รัฐ. วารสาร มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์, 28(2), 95-122.