การลักพาตัวและการฆาตกรรมเคนเนธ บิกลีย์
เคนเนธ จอห์น บิกลีย์ (อังกฤษ: Kenneth John Bigley; 22 เมษายน ค.ศ. 1942 – 7 ตุลาคม ค.ศ. 2004) เป็นวิศวกรโยธาชาวอังกฤษผู้ซึ่งถูกลักพาตัวในเขตอัลมันศูรของกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2004 พร้อมกับแจ็ก เฮนส์ลีย์ และยูจีน อาร์มสตรอง เพื่อนร่วมงานของเขา ซึ่งทั้งคู่เป็นพลเมืองสหรัฐ[1] ชายทั้งสามคนทำงานให้กับกัลฟ์ซัพพลายแอนด์คอมเมอร์เชียลเซอร์วิส ซึ่งเป็นบริษัทของคูเวตที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการฟื้นฟูในอิรัก พวกเขารู้ว่าบ้านของพวกเขากำลังถูกจับตามองอยู่และตระหนักว่าพวกเขาตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง เมื่อยามเฝ้าบ้านชาวอิรักของพวกเขาแจ้งว่าเขากำลังออกจากงานเนื่องจากถูกคุกคามโดยกองกำลังติดอาวุธ เพื่อปกป้องคนงานชาวอเมริกันและชาวอังกฤษ บิกลีย์และชาวอเมริกันอีกสองคนตัดสินใจว่ามันคุ้มค่ากับความเสี่ยงและยังคงอาศัยอยู่ในบ้านต่อไป กระทั่งทั้งหมดถูกลักพาตัวและถูกตัดศีรษะ
ในวันที่ 18 กันยายน เตาฮีดและญิฮาด (พระเจ้าและญิฮาดมีหนึ่งเดียว) ซึ่งเป็นกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง ที่นำโดยอะบู มูศอบ อัซซอร์กอวี ชาวจอร์แดน ได้เปิดตัววิดีโอของชายสามคนที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าธงเตาฮีดและญิฮาด ผู้ลักพาตัวกล่าวว่าพวกเขาจะฆ่าคนภายใน 48 ชั่วโมงหากข้อเรียกร้องของพวกเขาสำหรับการปล่อยตัวนักโทษหญิงชาวอิรักที่กองกำลังพันธมิตรได้จับไว้ไม่ได้รับการยินยอม อาร์มสตรองถูกฆ่าตายเมื่อวันที่ 20 กันยายนเมื่อสิ้นสุดกำหนดเวลา ส่วนเฮนส์ลีย์ในอีก 24 ชั่วโมงต่อมา[1] และบิกลีย์ในอีกสองสัปดาห์ต่อมา แม้จะมีการพยายามแทรกแซงของสภามุสลิมแห่งอังกฤษและการแทรกแซงโดยอ้อมของรัฐบาลอังกฤษ ทว่าวิดีโอการสังหารได้ถูกโพสต์บนเว็บไซต์และบล็อก
การจับกุมและการต่อรองเพื่อปล่อยตัว
[แก้]หลังจากอาร์มสตรองและเฮนส์ลีย์ถูกฆ่าตาย รัฐบาลอังกฤษและสื่อต่าง ๆ ได้ตอบสนองด้วยการเปลี่ยนเคราะห์กรรมของบิกลีย์ให้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่สำคัญของสหราชอาณาจักรในช่วงเวลานี้ ซึ่งนำไปสู่การอ้างว่ารัฐบาลกลายเป็นตัวประกันต่อสถานการณ์ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ แจ็ก สตรอว์ และนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ ได้ติดต่อครอบครัวบิกลีย์เป็นการส่วนตัวหลายครั้งเพื่อรับรองว่าทุกอย่างเป็นไปได้ เว้นไว้แต่การเจรจาโดยตรงกับผู้ลักพาตัว มีการรายงานด้วยว่าทีมหน่วยปฏิบัติการพิเศษทางอากาศ (SAS) ได้รับการเตรียมพร้อมในอิรักในภารกิจกู้ภัยที่อาจเป็นไปได้[ต้องการอ้างอิง]
รัฐบาลอังกฤษออกแถลงการณ์ว่าไม่มีนักโทษหญิงชาวอิรัก และผู้หญิงเพียงสองคนที่ทราบว่าอยู่ในความดูแลของสหรัฐคือนักวิทยาศาสตร์ชาวอิรักที่มีชื่อเสียงสูงสองคน ได้แก่ รีฮาบ ฏอฮา ผู้รับการศึกษาในอังกฤษ และฮูดา ศอลีห์ มาฮ์ดี อัมมาช ผู้รับการศึกษาในสหรัฐ ผู้หญิงทั้งสองเข้าร่วมโครงการอาวุธชีวภาพของอิรักตามการตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้รายงานข่าวระบุว่าผู้หญิงอิรักคนอื่น ๆ ถูกควบคุมตัวในสหรัฐจริง แต่ไม่มีใครรู้ว่ารายงานเหล่านี้ล้าสมัยในช่วงเวลาของการลักพาตัวของบิกลีย์เพียงใด[2] รัฐบาลชั่วคราวของอิรักระบุว่าสามารถปล่อยตัวฏอฮาและอัมมาชได้ทันที โดยเน้นว่าสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ดี เนื่องจากไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ กับผู้หญิง[ต้องการอ้างอิง]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "Timeline: Ken Bigley". BBC News. 8 October 2004. สืบค้นเมื่อ 9 January 2012.
- ↑ Harding, Luke (20 May 2004). "The other prisoners". The Guardian. London.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Ken Bigley's wife mourns the loss of her husband – BBC News
- Profile:Kenneth Bigley, BBC News, 10 October 2004
- "Theatre of terror", by Jason Burke, The Observer, 21 November 2004
- "Bigley beheaded after MI6 rescue backfired" เก็บถาวร 2006-01-04 ที่ archive.today, by Hala Jaber and Ali Rifat, The Sunday Times, 10 October 2004
- "The other prisoners" by Luke Harding, The Guardian, 20 May 2004
- "Ken Bigley's hostage cage 'found'", no byline, The Daily Telegraph, 22 November 2004
- "The final battle" by Peter Beaumont, The Observer, 14 November 2004
- "Bigley body claims investigated" BBC News, 22 April 2006
- "Spectator apology for 'disproportionate grief' for Mr Bigley" BBC News, 16 October 2004
- "Ken Bigley killed: Your reaction." BBC. Thursday 14 October 2004.