ข้ามไปเนื้อหา

การปรับอากาศรถยนต์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ระบบปรับอากาศภายในรถยนต์

ระบบปรับอากาศภายในรถยนต์ เป็นระบบทำความเย็นแบบอัดไอหรือก๊าซ (Vapor Compression System) โดยที่คอมเพรสเซอร์ (Compressor) จะดูดสารทำความเย็นจากอีวาโปเรเตอร์ (Evaporator) หรือเปรียบเสมือนปั้มน้ำภายในบ้านต่างกันเพียงแต่ปั้มน้ำจะดูดน้ำที่เป็นของเหลว แต่คอมเพรสเซอร์แอร์จะดูดสารทำความเย็นซึ่งมีสถานะเป็นไอหรือก๊าซ โดยคอมเพรสเซอร์ (Compressor) จะทำหน้าที่อัดสารทำความเย็นออกไปที่คอนเดนเซอร์ (Condenser) ทำให้สารทำความเย็นมีอุณหภูมิและความดันเพิ่มสูงขึ้น และเมื่อมีแรงดันที่เพียงพอคอมเพรสเซอร์จะถูกตัดการทำงานโดยเทอร์โมสตัท (Thermostat) หรือเทอร์มิสเตอร์ (Thermister) เป็นตัวชี้วัดว่าเวลาไหนคอมเพรสเซอร์ต้องทำงานและเมื่ออุณหภูมิในห้องโดยสารต่ำจนได้อุณหภูมิที่อยู่ในระดับพอดี เทอร์โมสตัท (Thermostat) หรือเทอร์มิสเตอร์ (Thermister) จะสั่งให้คอมเพรสเซอร์หยุดการทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแรงดันที่สูงจนเกินไป ซึ่งอาจจะเป็นอันตราย อาจเกิดการระเบิดของท่อทางต่าง ๆ ของระบบน้ำยาได้ แต่ในระบบของรถรุ่นใหม่ จะมีเซนเซอร์ที่ตรวจจับแรงดันและมีตัวระบายน้ำยาออกหากเกิดแรงดันที่สูงเกินค่ากำหนด จากนั้นเมื่อสารทำความเย็นไหลผ่านแผงคอนเดนเซอร์ (Condenser) ที่อยู่ในตำแหน่งด้านหน้าของรถ หรือที่ทางช่างเรียกว่า “แผงรังผึ้ง” ซึ่งจะทำหน้าที่ให้อุณหภูมิของสารทำความเย็นลดต่ำลง จากนั้นสารทำความเย็นจะควบแน่นกลายเป็นของเหลว และไหลต่อไปยังรีซีฟเวอร์ (Receiver) หรือไดร์เออร์ (Drier) เพื่อกรองสิ่งสกปรกและความชื้นที่ปนเปื้อนในสารทำความเย็น หรือตัวกรองสารทำความเย็น ซึ่งตัวกรองนี้จะต้องมีการเปลี่ยนไส้กรองตามระยะทางที่กำหนด หรือเมื่อมีการเปิดระบบของท่อทางน้ำยาแอร์ เพื่อป้องกันการอุดตันของท่อทางน้ำยาแอร์ที่จะต้องไหลไปที่เอ็กเพ็นชั่นวาล์ว (Expansion Valve) หรือวาล์วแอร์ ซึ่งจะทำหน้าที่ฉีดสารทำความเย็นหรือน้ำยาแอร์ให้เป็นฝอยละอองเข้าไปในอีวาโปเรเตอร์ (Evaporator) หรือตู้แอร์ เพื่อทำให้สารทำความเย็นมีความดันต่ำและเกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนภายในห้องโดยสารให้มีอุณหภูมิที่ต่ำลง จากนั้นเมื่อน้ำยาแอร์มีสถานะกลายเป็นก๊าซก็จะถูกดูดเข้าไปในคอมเพรสเซอร์ (Compressor) เพื่อเริ่มต้นการทำงานใหม่อีกครั้ง[1]

เครื่องปรับอากาศรถยนต์มีอยู่ 2 แบบ[2]

[แก้]
  1. แบบเทอร์โมสตัท[3] เทอร์โมสตัทประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ สวิตซ์ปรอท (mercury switch) และขดลวดเทอร์โมมิเตอร์ สวิตซ์ปรอทเป็นหลอดแก้วขนาดเล็กที่มีปรอทบรรจุอยู่เล็กน้อย ภายในหลอดแก้วมีเส้นลวด 3 เส้น เส้นแรกพาดไปตามความยาวที่ก้นหลอด ส่วนอีก 2 เส้นต่ออยู่กับปลายด้านซ้ายและขวาของหลอดแก้ว ส่วนขดลวดเทอร์โมมิเตอร์ประกอบขึ้นจากโลหะ 2 ชนิดซึ่งมีการขยายหรือหดตัว เมื่อได้รับความร้อนแตกต่างกันมาประกบกันและม้วนเป็นก้นหอย โดยปลายข้างหนึ่งจะติดกับสวิตซ์ปรอท เมื่อต้องการให้เครื่องปรับอากาศทำงานจะต้องสับสวิตซ์ทำให้สวิตซ์ไปหมุนขดลวดและสวิตซ์ปรอทและปรอทจะไหลไปในทิศทางตรงกันข้ามกันจนกระทั่งสัมผัสกับเส้นลวด ทำให้กระแสไฟฟ้าครบวงจรและเครื่องปรับอากาศทำงาน ทำให้อุณหภูมิในห้องเย็นลงขดลวดเทอร์โมมิเตอร์ก็จะหดตัวเข้าอย่างช้า ๆ ดึงให้สวิตซ์ปรอทเอียงไปอีกทางจนกระทั่งปรอทไม่สัมผัสกับเส้นลวด วงจรก็จะขาดและเครื่องปรับอากาศก็จะหยุดทำงาน หรือที่เรียกว่า “ตัด” อุณหภูมิในห้องก็จะอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นขดลวดเทอร์โมมิเตอร์ก็จะเริ่มคลายตัวออกและวงจรติดเครื่องปรับอากาศก็จะกลับทำงานอีกครั้ง
  2. เทอร์มิสเตอร์ เป็นสารกึ่งตัวนำที่การเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทาน โดยเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นค่าความต้านทานจะลดต่ำลง และเมื่ออุณหภูมิลดลงค่าความต้านทานของเทอร์มิสเตอร์จะสูงขึ้น เทอร์มิสเตอร์จะยึดตัวอยู่กับครีบของอีวาโปเรเตอร์และจะรับอุณหภูมิจากผิวของครีบ อุณหภูมิจะถูกควบคุมโดยการเปรียบเทียบสัญญาณจากเทอร์มิสเตอร์และสัญญาณจากความต้านทานที่ควบคุมอุณหภูมิ จากนั้นแอมพริฟลายเออร์จะส่งผลไปยังคลัทช์แม่เหล็กให้จับและปล่อย ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้สารทำความเย็นไหลจากคอมเพรสเซอร์ไปยังอีวาโปเรเตอร์หรือตัดการไหลของสารทำความเย็น จากผลอันนี้อุณหภูมิของอีวาโปเรเตอร์จึงมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น จึงเป็นการควบคุมอุณหภูมิของอากาศที่ผ่านออกจากอีวาโปเรเตอร์และการทำงานแต่ละส่วนของส่วนประกอบต่างๆดังนี้

ส่วนประกอบของระบบปรับอากาศรถยนต์[4]

[แก้]
  1. คอมเพรสเซอร์ (Compressor)
  2. คอนเดนเซอร์ (Condenser)
  3. เอ็กเพ็นชั่นวาล์ว (Expansion Valve)
  4. อีวาโปเรเตอร์ (Evaporator)
  5. รีซีฟเวอร์ไดร์เออร์ (Receive-Dryer)

ประวัติศาสตร์

[แก้]

บริษัทแห่งหนึ่งในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นผู้ริเริ่มนำเสนอบริการติดตั้งเครื่องปรับอากาศสำหรับรถยนต์เป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1933 ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทนี้เป็นเจ้าของรถลิมูซีนและรถหรู[5]

วันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1935 ราล์ฟ เพโอ จากบริษัทเฮาด์เอ็นจิเนียริง บัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ได้ยื่นขอสิทธิบัตรสำหรับ "ชุดระบายความร้อนด้วยอากาศสำหรับรถยนต์" และสิทธิบัตรสหรัฐหมายเลข 2,099,227 (U.S. Patent 2,099,227) ได้รับการอนุมัติเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1937

ใน ค.ศ. 1939 แพคการ์ดกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่เสนอเครื่องปรับอากาศเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์รุ่นปี 1940[6][7] อุปกรณ์ขนาดใหญ่เหล่านี้ผลิตโดยบริษัทบิชอปแอนด์แบ็บค็อก (B&B) แห่งคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ และมีการสั่งซื้อสำหรับรถยนต์ประมาณ 2,000 คัน[8] "เครื่องปรับอากาศบิชอปแอนด์แบ็บค็อก" นี้ยังรวมถึงเครื่องทำความร้อนด้วย รถยนต์ที่สั่งซื้อพร้อมตัวเลือกนี้จะถูกส่งจากโรงงานอีสต์แกรนด์บูเลวาร์ด ของแพคการ์ดไปยังโรงงานของบีแอนด์บีเพื่อทำการติดตั้ง เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว รถยนต์จะถูกส่งไปยังตัวแทนจำหน่ายในท้องถิ่นเพื่อส่งมอบแก่ลูกค้า"

แพคการ์ดรับประกันและสนับสนุนการแปลงนี้ อย่างไรก็ตาม การแปลงนี้ไม่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์เนื่องจาก:

  • ระบบระเหยหลักและพัดลมครอบครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของท้ายรถ (แม้ปัญหานี้จะลดลงเมื่อท้ายรถมีขนาดใหญ่ขึ้นในช่วงหลังสงคราม)
  • ถูกแทนที่ด้วยระบบที่มีประสิทธิภาพกว่าในช่วงหลังสงคราม
  • ไม่มีเทอร์มอสแตตควบคุมอุณหภูมิหรือกลไกปิดนอกจากการปิดสวิตช์พัดลม (อากาศเย็นยังคงไหลเข้ารถได้บ้างเมื่อเคลื่อนที่เพราะสายพานขับคอมเพรสเซอร์ตลอดเวลา – ในภายหลังจึงใช้ระบบคลัตช์ไฟฟ้าเพื่อแก้ปัญหานี้)
  • ท่อหลายฟุตที่วิ่งไปมาระหว่างห้องเครื่องและท้ายรถมีความน่าเชื่อถือต่ำในการใช้งาน
  • ราคาที่ 274 ดอลลาร์สหรัฐ (6,002 ดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 2023[9]) สูงเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ/ก่อนสงครามในอเมริกา

ตัวเลือกนี้ถูกยกเลิกหลัง ค.ศ. 1941[8]

ไครส์เลอร์แอร์เทมป์ 

[แก้]

ไครส์เลอร์ อิมพีเรียล ปี ค.ศ. 1953 เป็นหนึ่งในรถยนต์ผลิตจำนวนมากรุ่นแรก ๆ ในรอบ 12 ปีที่นำเสนอระบบปรับอากาศในรถยนต์สมัยใหม่เป็นอุปกรณ์เสริม โดยมีการทดลองเบื้องต้นจากแพคการ์ดใน ค.ศ. 1940 และคาดิลแลคใน ค.ศ. 1941[10] วอลเตอร์ ไครส์เลอร์ เป็นผู้ริเริ่มระบบปรับอากาศแอร์เทมป์ (Airtemp) ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 สำหรับตึกไครส์เลอร์ และนำเสนอในรถยนต์ใน ค.ศ. 1941–42 และอีกครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 1951–52

ใน ค.ศ. 1953 แอร์เทมป์นั้นล้ำหน้ากว่าระบบปรับอากาศในรถยนต์คู่แข่งเป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถใช้งานได้ง่ายด้วยสวิตช์เดียวบนแผงหน้าปัด โดยมีระดับความเย็นให้เลือก 3 ระดับ คือ ต่ำ กลาง และสูง ด้วยสมรรถนะสูงสุดในขณะนั้น ระบบปรับอากาศนี้จึงสามารถลดอุณหภูมิในห้องโดยสารได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งลดความชื้น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และควันบุหรี่ได้เป็นอย่างดี ระบบนี้สามารถดูดอากาศภายนอกเข้าสู่ห้องโดยสารได้มากกว่าระบบปรับอากาศในรถยนต์รุ่นอื่น ๆ ในสมัยนั้น ทำให้ลดความอับชื้นภายในรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะใช้ท่อพลาสติกติดตั้งบนชั้นวางของหลังกระจกหลังเช่นเดียวกับรถของเจเนรัลมอเตอร์ (GM) แอร์เทมป์ใช้ท่อลมขนาดเล็กนำพาอากาศเย็นไปยังเพดานรถเพื่อให้ลมเย็นค่อย ๆ ไหลลงสู่ผู้โดยสารแทนที่จะเป่าลมโดยตรง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่รถสมัยใหม่หลายรุ่นไม่มีแล้ว[10]

คาดิลแลค, บิวอิคก์ และโอลด์สโมบิล เพิ่มเครื่องปรับอากาศเป็นอุปกรณ์เสริมในบางรุ่นสำหรับรถรุ่นปี 1953[11][12] ทั้งหมดนี้ใช้ระบบฟริจิแดร์ (Frigidaire) ซึ่งมีส่วนประกอบที่ติดตั้งที่เครื่องยนต์และท้ายรถแยกต่างหาก[13][14]

ระบบบูรณาการแนช

[แก้]
โลโกบนรถปี 1957 พร้อมระบบปรับอากาศที่ติดตั้งจากโรงงานโดย AMC

ใน ค.ศ. 1954 แนช แอมบาสเดอร์ เป็นรถสัญชาติอเมริกันรุ่นแรกที่ติดตั้งระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศแบบครบวงจรที่ด้านหน้าของรถ[15][16] บริษัทแนช-เคลวิเนเตอร์ได้นำประสบการณ์ด้านการผลิตตู้เย็นมาใช้ในการพัฒนาระบบทำความร้อนและปรับอากาศแบบรวมขนาดกะทัดรัดและราคาประหยัดเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับรถรุ่นต่าง ๆ ของแนช[17] นับเป็นระบบสำหรับตลาดมวลชนระบบแรกที่มีการควบคุมบนแผงหน้าปัดและคลัตช์ไฟฟ้า[18] ระบบนี้ยังมีขนาดกะทัดรัดและสามารถซ่อมบำรุงได้ง่ายเนื่องจากชิ้นส่วนทั้งหมดถูกติดตั้งไว้ใต้ฝากระโปรงหน้าหรือบริเวณกระจกบังลมหน้า[19]

ระบบปรับอากาศแบบใหม่สำหรับรถของแนชได้รับการขนานนามว่า "ออลวีเทอร์อาย" (All-Weather Eye)[20] ซึ่งรวมเอาการทำความร้อน การทำความเย็น และการระบายอากาศเข้าด้วยกัน นับเป็นการสืบเนื่องมาจากชื่อทางการตลาดของระบบทำความร้อนและระบายอากาศแบบ "วีเทอร์อาย" ของแนชที่ใช้เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1938[19] ด้วยการควบคุมอุณหภูมิเพียงตัวเดียว ตัวเลือกการทำความเย็นภายในห้องโดยสารของแนชนั้นถือว่าเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพและมีราคาน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง[21] ระบบดังกล่าวมีช่องระบายอากาศที่ติดตั้งบนแผงหน้าปัดสำหรับส่งลมเย็นสู่ผู้โดยสาร[22] ความก้าวหน้าที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของแนชไม่เพียงแต่เป็นระบบรวมที่ซับซ้อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงราคาที่ 345 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าระบบอื่น ๆ ทั้งหมดด้วย[23]

ระบบปรับอากาศส่วนใหญ่ในอดีตใช้ระบบทำความร้อนแยกต่างหากและคอมเพรสเซอร์ติดตั้งที่เครื่องยนต์ ขับเคลื่อนโดยเพลาข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์ผ่านสายพาน โดยมีเครื่องระเหย (evaporator) อยู่ในห้องเก็บสัมภาระด้านหลังเพื่อส่งลมเย็นผ่านชั้นวางสัมภาระด้านหลังและช่องระบายอากาศด้านบน เจเนรัลมอเตอร์นำเสนอระบบปรับอากาศติดตั้งด้านหน้าที่ผลิตโดยแผนกแฮร์ริสัน (Harrison Division) ในรถพอนเทียกปี 1954 ซึ่งใช้เครื่องยนต์แบบแปดสูบเรียง[24] ระบบดังกล่าวมีราคาสูงมากและไม่ได้เป็นระบบที่ผสานรวมอย่างสมบูรณ์ โดยมีระบบควบคุมและท่อส่งลมแยกต่างหาก[25][26] ส่วนแกนทำความร้อน (heater core) ยังคงเป็นระบบแยกต่างหากแบบ "Venti-Seat" หรือระบบใต้เบาะหน้าพร้อมระบบควบคุมของตนเอง[27] แนวทางการออกแบบแบบผสานรวมที่ริเริ่มโดยแนช "กลายเป็นแนวปฏิบัติมาตรฐานและยังคงเป็นพื้นฐานของระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติที่ทันสมัยและซับซ้อนในปัจจุบัน"[28]

การแพร่หลาย

[แก้]

นวัตกรรมดังกล่าวได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว และภายใน ค.ศ. 1960 รถประมาณร้อยละ 20 ในสหรัฐติดตั้งเครื่องปรับอากาศ โดยสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 80 ในพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่มีอากาศร้อน[29] คาดิลแลคนำเสนอระบบควบคุมความสบาย (Comfort Control) อัตโนมัติเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมซึ่งเป็นระบบปรับอากาศและความร้อนอัตโนมัติทั้งหมดที่ตั้งค่าโดยเทอร์มอสแตตแบบหมุนสำหรับรถรุ่นปี 1964[30]

บริษัทอเมริกันมอเตอร์คอร์ปอเรชัน (AMC) นำระบบปรับอากาศติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถ AMC แอมบาสเดอร์ทุกรุ่นตั้งแต่รุ่นปี 1968 เป็นต้นไป นับเป็นนวัตกรรมใหม่ในตลาดรถขนาดใหญ่ในขณะนั้น โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 2,671 ดอลลาร์สหรัฐ[31][32] ในช่วงเวลานั้น ระบบปรับอากาศเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่พบได้เฉพาะในรถหรูอย่างคาดิลแลค ลิมูซีน และโรลส์-รอยซ์เท่านั้น[33]

ภายใน ค.ศ. 1969 มีรถยนต์ถึงร้อยละ 54 ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นไม่เพียงแต่เพื่อความสะดวกสบายของผู้โดยสารเท่านั้น หากแต่ยังเพื่อเพิ่มมูลค่าในการขายรถมือสองอีกด้วย[34]

เครื่องปรับอากาศสำหรับรถยนต์เริ่มแพร่หลายในสหรัฐตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 การนำไปใช้อย่างแพร่หลายในประเทศอื่น ๆ ช้ากว่านั้นมาก โดยใน ค.ศ. 1990 รถที่จำหน่ายในยุโรปมีเครื่องปรับอากาศติดตั้งอยู่ไม่ถึงร้อยละ 8[35]

การระบายความร้อนด้วยการระเหย

[แก้]
เครื่องทำความเย็นรถยนต์

เครื่องทำความเย็นรถยนต์ (car cooler) คือเครื่องทำความเย็นแบบระเหยของรถยนต์ บ้างเรียกว่า "เครื่องมำความเย็นแบบหนองน้ำ"[36][37] ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์เสริมหลังการขายที่มีราคาค่อนข้างถูก ประกอบด้วยกระบอกโลหะติดตั้งภายนอกหน้าต่าง ไม่มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว แต่มีทั้งแบบติดตั้งภายในใต้แผงหน้าปัดหรือพื้นตรงกลางรถพร้อมพัดลมไฟฟ้า[38][39] เป็นระบบปรับอากาศรถยนต์แบบดั้งเดิม[40] และไม่เคยถูกใช้ในรถสมัยใหม่ที่พึ่งพาระบบทำความเย็นแบบใช้สารทำความเย็นในการระบายความร้อนในรถยนต์

เพื่อลดอุณหภูมิของอากาศ อุปกรณ์ดังกล่าวใช้ความร้อนแฝง (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการทำความเย็นด้วยการระเหยของน้ำ)[41] น้ำในอุปกรณ์ระเหยและในกระบวนการนี้จะถ่ายเทความร้อนจากอากาศโดยรอบ อากาศเย็นและชื้นจะถูกส่งไปยังภายในรถ[41][42] ผลการทำความเย็นจากการระเหยจะลดลงเมื่อมีความชื้นสูง เนื่องจากอากาศมีความอิ่มตัวด้วยน้ำอยู่แล้ว ดังนั้นในบริเวณที่มีความชื้นต่ำ เช่น ทะเลทรายแห้งแล้ง ระบบจะทำงานได้ดีที่สุด เครื่องทำความเย็นรถยนต์ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนที่เดินทางไปเที่ยวหรือข้ามรัฐแคลิฟอร์เนีย แอริโซนา เท็กซัส นิวเม็กซิโก และเนวาดา ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐ[39]

ชนิดของสารทำความเย็นเครื่องปรับอากาศรถยนต์ 

[แก้]

R-12

[แก้]

R-12 เป็นสารทำความเย็นสำหรับรถยนต์ชนิดแรก ได้รับการพัฒนาขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1928 โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ที่รวบรวมโดยทอมัส มิดกลีย์ จูเนียร์ ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งเป้าหมายในการสร้างสารทำความเย็นซึ่งนำไปสู่การค้นพบสารประกอบคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) และไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFCs) จากการค้นพบทั้งสองนี้ ได้มีการพัฒนาสารทำความเย็นสองชนิดขึ้นมา คือ R-12 และR-22 เป็นเวลานานหลายทศวรรษ สารทำความเย็นทั้งสองชนิดนี้ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในครัวเรือนและภาคธุรกิจ R-12 ยังถูกนำมาใช้ในระบบปรับอากาศของยานยนต์ด้วย เนื่องจากเป็นสารทำความเย็นที่ปลอดภัยและไม่ติดไฟชนิดแรก สารทำความเย็นนี้กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมมาจนกระทั่งในคริสต์ทศวรรษ 1970 เมื่อนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า R-12 มีส่วนประกอบของคลอรีนซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศโลก[43] เมื่อ R-12 รั่วจากระบบหรือถูกทิ้งอย่างไม่ถูกวิธี จะทำให้เกิดการปนเปื้อนของฟรีออนในรูปก๊าซลอยขึ้นสู่บรรยากาศ โมเลกุลคลอรีนจากสารทำความเย็นจะทำลายโมเลกุลโอโซนในบรรยากาศ เกิดเป็นรูโหว่ในชั้นโอโซน ซึ่งส่งผลให้ชั้นโอโซนถูกทำลายลง R-12 ยังคงถูกใช้งานต่อไปจนกว่าจะสามารถคิดค้นสารทำความเย็นชนิดใหม่ที่มีผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าได้[44] R-12 ถูกใช้ในระบบปรับอากาศรถยนต์จนถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1990 ก่อนจะถูกห้ามผลิตโดยรัฐบาลและถูกแทนที่ด้วยสารทำความเย็นชนิดใหม่คือ R-134a ปัจจุบัน R-12 ยังคงซื้อขายได้แต่ไม่ได้มีการผลิตขึ้นมาใหม่ ทำให้มีราคาแพงและหาได้ยาก[45] ศักยภาพการก่อภาวะโลกร้อนของ R-12 มีค่าประมาณ 11,000[46]

R-134a

[แก้]

สารทำความเย็นรุ่นที่สองในระบบปรับอากาศยานยนต์คือ R-134a เป็นสารทำความเย็นประเภทไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (Hydrofluorocarbon) ซึ่งประกอบด้วยฟลูออรีนและไฮโดรเจน ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อทดแทน R-12 ซึ่งเป็นสารทำความเย็นที่มีองค์ประกอบของคลอรีนที่ทำลายชั้นโอโซน R-134a ถือเป็นก๊าซเรือนกระจกแต่มีศักยภาพการก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนต่ำกว่า R-12 รถยนต์รุ่นใหม่ที่ผลิตขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 เริ่มติดตั้งระบบปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็นชนิดนี้ เจ้าของรถยนต์รุ่นเก่าที่ใช้สารทำความเย็น R-12 จะต้องเลือกหนึ่งในสามทางเลือกต่อไปนี้ คือ เปลี่ยนระบบปรับอากาศให้รองรับการใช้งานกับ R-134a ซื้อรถยนต์คันใหม่ หรือหาสถานบริการซ่อมบำรุงที่มีช่างผู้ชำนาญการเติมสารทำความเย็น R-12 ให้ R-134a ถูกนำมาใช้ในรถยนต์เป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้ว ศักยภาพการก่อภาวะโลกร้อนของ R-134a มีค่าประมาณ 1,430[46]

R-1234yf

[แก้]

สารทำความเย็นรุ่นที่สามและใหม่ล่าสุดคือ R-1234yf เป็นสารทำความเย็นประเภทไฮโดรฟลูออโรโอเลฟิน ซึ่งประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน ฟลูออรีน และคาร์บอน พัฒนาโดยบริษัทดูปงต์/ฮันนีเวลล์ มีราคาต่อปอนด์สูงกว่า R-134a พบได้ในรถยนต์รุ่นใหม่และไม่สามารถใช้ร่วมกับระบบ R-134a หรือ R-12 รุ่นเก่าได้ ในบรรดาสารทำความเย็นทั้งสามชนิด R-1234yf เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด โดยมีค่าศักยภาพการทำลายชั้นโอโซนต่ำมากซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3[46]

หลักการทำงาน

[แก้]
แผนภาพวัฏจักรทำความเย็นอย่างง่าย: 1) คอยล์ควบแน่น 2) ลิ้นระเหยสารทำความเย็น 3) คอยล์ระเหย 4) เครื่องอัด
การเติมสารทำความเย็นให้กับฟอร์ด โฟกัส

ในวัฏจักรการทำความเย็น ความร้อนจะถูกถ่ายเทจากห้องโดยสารสู่สภาพแวดล้อม ตู้เย็นเป็นตัวอย่างของระบบดังกล่าว เนื่องจากมันถ่ายเทความร้อนออกจากภายในสู่สภาพแวดล้อมโดยรอบ

ไอแก๊สสารทำความเย็น (ซึ่งยังพาน้ำมันหล่อลื่นคอมเพรสเซอร์ไปทั่วระบบด้วย) จากเครื่องระเหย หรืออีวาโปเรเตอร์ (evaporator) จะเข้าสู่เครื่องอัด หรือคอมเพรสเซอร์ (compressor) ในห้องเครื่อง ซึ่งโดยปกติแล้วมักเป็นแบบลูกสูบแนวแกน และถูกอัดให้มีแรงดันสูงขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย ไอสารทำความเย็นที่ร้อนและอัดแน่นอยู่ในขณะนี้มีอุณหภูมิและแรงดันเหมาะสมสำหรับการควบแน่นจะถูกส่งเข้าสู่เครื่องควบแน่น หรือคอนเดนเซอร์ (condensor) ซึ่งมักอยู่ด้านหน้าหม้อน้ำของรถยนต์ ณ ที่นี้ สารทำความเย็นถูกทำให้เย็นลงโดยอากาศที่ไหลผ่านคอยล์คอนเดนเซอร์ (เกิดจากการเคลื่อนที่ของตัวรถหรือจากพัดลม ซึ่งมักเป็นพัดลมตัวเดียวกับของหม้อน้ำหากคอนเดนเซอร์ติดตั้งอยู่หน้าหม้อน้ำ และจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อรถจอดนิ่งหรือเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำ) ทำให้สารทำความเย็นเปลี่ยนสถานะจากแก๊สกลายเป็นของเหลว ดังนั้น สารทำความเย็นที่หมุนเวียนอยู่จึงปล่อยความร้อนออกจากระบบและความร้อนนี้ถูกพัดพาออกไปโดยอากาศ

ในระบบปรับอากาศที่มีลิ้นลดความร้อน หรือเอกซ์แพนชันวาล์ว (thermal expansion valve) สารทำความเย็นเหลวที่ควบแน่นและมีแรงดันสูงจะถูกส่งผ่านตัวซับความชื้น หรือรีซิฟเวอร์ไดร์เออร์ (receiver-drier) สารดูดความชื้นทางเดียวและตลับกรองที่ทำทั้งดูดความชื้นออกจากส่วนผสมสารทำความเย็นและน้ำมันหล่อลื่นคอมเพรสเซอร์เพื่อกำจัดปริมาณน้ำ (ซึ่งจะกลายเป็นน้ำแข็งภายในลิ้นและทำให้เกิดการอุดตัน) ที่กระบวนการทำสุญญากาศก่อนการเติมสารไม่สามารถขจัดออกจากระบบได้ และทำหน้าที่กรองอนุภาคใด ๆ ที่ปนมากับสาร นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นที่เก็บสารทำความเย็นเหลวส่วนเกินในช่วงที่ต้องการความเย็นต่ำ และจากนั้นจึงผ่านลิ้นลดความร้อนซึ่งจะทำให้เกิดการลดลงของแรงดันอย่างรวดเร็ว การลดแรงดันดังกล่าวส่งผลให้สารทำความเย็นเหลวบางส่วนระเหยไปอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้อุณหภูมิลดลง จากนั้นสารทำความเย็นที่เย็นจะถูกส่งผ่านคอยล์ระเหยในห้องโดยสาร

หากอุปกรณ์ลดความร้อนป็นเพียงรูเจาะขนาดคงที่ เรียกว่า ท่อรูเจาะ ตัวซับความชื้นจะถูกย้ายตำแหน่งมาอยู่ระหว่างทางออกของเครื่องระเหยและเครื่องอัด ในกรณีนี้จะเรียกว่า ถังพัก (accumulator) ในระบบปรับอากาศประเภทนี้ ถังพักยังทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารทำความเย็นเหลวไหลเข้าเครื่องอัดในช่วงที่ต้องการทำความเย็นต่ำด้วย

อากาศที่มักผ่านการกรองโดยไส้กรองอากาศ (air filter) ในห้องโดยสารจะถูกเป่าด้วยพัดลมแรงเหวี่ยง (centrifugal fan) ไฟฟ้าที่ปรับความเร็วได้ พัดลมจะส่งอากาศผ่านเครื่องระเหย ทำให้สารทำความเย็นส่วนที่เป็นของเหลวระเหยกลายเป็นไอ ทำให้อุณหภูมิลดลงอีก อากาศอุ่นจึงเย็นลงและปราศจากความชื้น (ซึ่งควบแน่นบนคอยล์ของเครื่องระเหยและระบายออกภายนอกรถ) ในกระบวนการนี้ อากาศจะถูกส่งผ่านแผงทำความร้อน (heater matrix) ซึ่งภายในมีน้ำหล่อเย็นของเครื่องยนต์หมุนเวียนอยู่ ทำให้อากาศสามารถถูกทำให้ร้อนขึ้นได้ในระดับที่ต้องการหรือแม้แต่ในอุณหภูมิที่ผู้ขับขี่เลือกได้ และจากนั้นอากาศร้อนนี้จะถูกส่งเข้าสู่ห้องโดยสารของรถผ่านช่องอากาศที่ปรับได้ อีกวิธีหนึ่งในการปรับอุณหภูมิอากาศตามต้องการ โดยในครั้งนี้จะทำงานตามความสามารถในการทำความเย็นของระบบ คือการควบคุมความเร็วพัดลมแรงเหวี่ยงอย่างแม่นยำเพื่อให้เครื่องระเหยทำความเย็นเฉพาะอัตราการไหลของอากาศตามปริมาตรที่จำเป็นเท่านั้น ผู้ใช้ยังมีตัวเลือกในการปิดช่องรับอากาศภายนอกของรถยนต์ เพื่อให้ได้ความเย็นที่เร็วและแรงยิ่งขึ้นโดยการนำอากาศเย็นที่อยู่ในห้องโดยสารกลับมาหมุนเวียนผ่านเครื่องระเหยอีกครั้ง ท้ายที่สุด เมื่อใดก็ตามที่สามารถสั่งให้เครื่องอัดทำงานด้วยปริมาตรที่ลดลง อุณหภูมิของแก๊สออกก็สามารถควบคุมได้โดยการปรับเปลี่ยนปริมาตรของเครื่องอัด

การเกิดน้ำแข็งเกาะที่เครื่องระเหย ซึ่งจะหยุดยั้งการไหลเวียนของอากาศผ่านครีบเครื่องระเหย สามารถป้องกันได้หลายวิธี สวิตช์อุณหภูมิหรือเทอร์มิสเตอร์ (thermister) สามารถควบคุมอุณหภูมิพื้นผิวของเครื่องระเหยได้ และสวิตช์แรงดันหรือเซ็นเซอร์วัดแรงดันสามารถตรวจสอบแรงดันด้านดูด (ซึ่งสัมพันธ์กับอุณหภูมิการระเหยของสารทำความเย็น) ได้ ทั้งสองวิธีการควบคุมสามารถทำงาน (โดยตรงหรือผ่านหน่วยควบคุมที่ได้รับข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านั้น) เพื่อควบคุมการทำงานของคลัตช์ของเครื่องอัด หรือในกรณีของเครื่องอัดแบบปรับปริมาตรได้ สามารถควบคุมปริมาตรการทำงานของคอมเพรสเซอร์ได้ นอกจากนี้ ลิ้นควบคุมทุติยภูมิที่ตั้งอยู่ทางด้านดูดสามารถควบคุมการไหลของสารทำความเย็นเพื่อไม่ให้แรงดันที่ทางออกของเครื่องระเหยลดต่ำกว่าค่าที่กำหนดไว้ในระหว่างการทำงานของระบบ

เพื่อให้วัฏจักรการทำความเย็นสมบูรณ์ ไอสารทำความเย็นจะถูกส่งกลับเข้าไปในเครื่องอัด 

ยิ่งอากาศที่เข้าสู่เครื่องระเหยมีอุณหภูมิสูง แรงดันของส่วนผสมไอที่ปล่อยออกจากเครื่องระเหยก็จะยิ่งสูง เป็นผลให้เครื่องอัดมีภาระทำงานหนักขึ้นและเครื่องยนต์ก็ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาการไหลเวียนของสารทำความเย็นในระบบ นอกจากนี้ ภาระของเครื่องอัดยังแปรผันตรงกับอุณหภูมิการควบแน่นอีกด้วย

เครื่องอัดสามารถขับเคลื่อนได้โดยเครื่องยนต์ของรถยนต์ (เช่น ผ่านสายพาน ซึ่งมักเป็นสายพานขับ และคลัตช์ที่ทำงานด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเครื่องอัดแบบปรับปริมาตรได้ที่ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์สามารถขับเคลื่อนด้วยสายพานได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องใช้คลัตช์หรือแม่เหล็ก) หรือมอเตอร์ไฟฟ้า มีวิธีการซ่อมและบำรุงรักษาข้อต่อท่อสำหรับวงจรทำความเย็นหลายวิธี วิธีการแบบดั้งเดิม เช่น การบัดกรีหรือการเชื่อม มักใช้เวลานานและเกิดปัญหาคราบสกปรก ข้อต่อ Lokring ซึ่งอาศัยหลักการของการอัดท่อด้วยอุปกรณ์เชื่อมต่อ ทำให้การใช้งานง่ายและประหยัดเวลาได้มากกว่า[47]

คอมเพรสเซอร์[48]

[แก้]
คอมเพรสเซอร์ที่ติดตั้งอยู่กับรถยนต์

คอมเพรสเซอร์ (Compressor) ที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศติดรถยนต์ จะเป็นแบบเปิด และจะยึดติดอยู่กับเครื่องยนต์โดยใช้กำลังของเครื่องยนต์มาหมุนให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน โดยใช้สายพานและจะมีแมกเนติคคลัทช์ในการควบคุมให้คอมเพรสเซอร์ทำงานและหยุดงาน เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่สูบฉีดสารทำความเย็นให้ไหลวนในระบบปรับอากาศ โดยดูดสารทำความเย็นสถานะไอความดันต่ำจากตู้แอร์ และเพิ่มความดันเพื่อเปลี่ยนสถานะสารทำความเย็นเป็นไอความดันสูงก่อนที่จะส่งต่อไปที่คอนเดนเซอร์ ในปัจจุบันคอมเพรสเซอร์รุ่นใหม่จะประกอบไปด้วยหลายลูกสูบซึ่งโดยปกติแต่ละลูกสูบก็จะมี 1 suction และ 1 discharge โดย Suction คือวาวล์ด้านดูดซึ่งจะดูดสารทำความเย็นมาจากตู้แอร์ และ Discharge คือวาวล์ด้านปล่อย ซึ่งจะปล่อยสารทำความเย็นไปที่คอนเดนเซอร์

คอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศติดรถยนต์ ออกแบบสร้าง 2 ชนิด คือ

[แก้]
  • แบบลูกสูบ (Reciprocating Compressor)

เป็นคอมเพรสเซอร์ที่ใช้กันโดยทั่วไป โครงสร้างเหมือนกับคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบของเครื่องทำความเย็นโดยทั่วไป ปกติคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศติดรถยนต์ จะเป็นแบบ 2 กระบอกสูบ (Two Cylinder) หน้าที่และการทำงานของคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบ คือ ดูดและอัดน้ำยาในสถานะที่เป็นแก๊สที่มีความดันต่ำและอุณหภูมิต่ำเข้ามาอัดตัวให้เป็นแก๊สที่มีความดันสูงและอุณหภูมิสูงขึ้นและส่งไปยังคอนเดนเซอร์ หลักการทำงานของคอมเพรสเซอร์แบบลูกสูบคือแต่ละกระบอกสูบจะประกอบด้วยชุดของลิ้นทางดูดและลิ้นทางอัด ขณะที่ลูกสูบหนึ่งลงในจังหวะดูดอีกลูกหนึ่งจะเคลื่อนที่ขึ้นในจังหวะอัด ในจังหวะดูดลิ้นทางอัดจะปิดและลิ้นทางดูดจะเปิดให้น้ำยาแก็สจากท่อซักชั่น (ท่อทางดูด) เข้ามา และในจังหวะอัด (ลูกสูบที่เคลื่อนที่ขึ้น) น้ำยาแก๊สในกระบอกสูบจะถูกอัดให้มีแรงดันสูงและลิ้นทางอัดจะเปิดให้น้ำยาผ่านออกทางท่อทางอัด (Discharge line) เพื่อส่งไปยังคอนเดนเซอร์ต่อไป

  • แบบสวอชเพลต (Swatch Plate Compressor)

คอมเพรสเซอร์แบบสวอชเพลต จัดอยู่ในชนิดของคอมเพรสเซอร์ที่ใช้ลูกสูบ แต่ลูกสูบของแบบสวอทเพลทอยู่ในแนวนอน ลักษณะการดูดอัดน้ำยาของลูกสูบในแนวนอน การเคลื่อนที่ของลูกสูบเพื่อดูดและอัดน้ำยาของคอมเพรสเซอร์แบบนี้ไม่ต้องใช้เพลาข้อเหวี่ยง และก้านสูบเป็นตัวช่วยให้ลูกสูบเคลื่อนที่แต่ลูกสูบจะเลื่อนเข้าออกในกระบอกสูบได้โดยการหมุนของสวอทเพลทอยู่ในตำแหน่งเอียง 45 องศากล่าวคือขณะที่แกนเพลาที่ต่อมาจากพูลเล่หมุน สวอทเพลทหรือเพลทเอียงก็จะหมุนตามไปด้วย ซึ่งทำให้ลูกสูบเคลื่อนที่เข้าออกในกระบอกสูบ ทำให้เกิดการดูด-อัดน้ำยาได้ คอมเพรสเซอร์แบบสวอทเพลท จะมีตั้งแต่ 2 สูบขึ้นไป เช่น 5 สูบ และ 6 สูบ เป็นต้น คอมเพรสเซอร์แบบสวอชเพลตเป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศรถยนต์เพราะคอมเพรสเซอร์แบบนี้มีขนาดเล็กกะทัดรัด มีประสิทธิภาพการทำงานสูงและฉุดแรงเครื่องน้อยกว่าแบบลูกสูบ ในขนาดของการทำความเย็นจำนวนบีทียูเท่ากัน

ปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับ คอมเพรสเซอร์แอร์ Compressor[49]

[แก้]
  1. คอมเพรสเซอร์มีเสียงดัง เราต้องตรวจสอบดูว่าเสียงดังที่เกิดขึ้นมาจากตัวคอมเพรสเซอร์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ถ้าเป็นเสียงที่เกิดจากคอมเพรสเซอร์ก็ต้องดูว่าเป็นที่คลัทช์หรือตัวคอมเพรสเซอร์ ถ้าเป็นที่ตัวคอมเพรสเซอร์ซึ่งอาจจะเกิดจากลูกสูบข้างในชำรุดโดยปกติการซ่อมส่วนใหญ่จะไม่ได้ผลควรถอดเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์ตัวใหม่
  2. คอมเพรสเซอร์ไม่มีกำลังอัด ซึ่งจะมีอาการคือเมื่อรถยนต์จอดอยู่กับที่แอร์จะไม่มีความเย็นหรือความเย็นน้อย แต่เมื่อรถวิ่งหรือเร่งเครื่องแอร์จะมีความเย็นมากขึ้น
  3. คอมเพรสเซอร์รั่ว มีน้ำยาแอร์ซึมออกมา สังเกตได้จากมีรอยคราบน้ำมันสีดำ ๆ ที่ตัวคอมเพรสเซอร์ตรงจุดที่รั่วเป็นจำนวนมาก ถ้าหากเป็นการรั่วซึมที่รอบต่อคอมเพรสเซอร์เราสามารถเปลี่ยนซีนหรือชุดแผ่นยางกันการรั่วซึมของคอมเพรสเซอร์ได้ แต่หากเป็นรอยรั่วซึมที่จุดอื่นก็ต้องทำการเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์ลูกใหม่

คอนเดนเซอร์ (Condenser)

[แก้]

ทำหน้าที่[50] ปรับสารทำความเย็นที่มีความดันสูง อุณหภูมิสูง ในสถานะแก๊ส จากคอมเพรสเซอร์ (Compressor) แล้วจะเข้าคอนเดนเซอร์ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวถ่ายเทความร้อนของสารทำความเย็นที่ได้รับความร้อนมาจากที่อีวาโปเรเตอร์และจากกระบวนการอัดทำให้สารทำความเย็นมีอุณหภูมิต่ำลง ในสถานะของผสม (แก๊สผสมของเหลว) และส่งต่อไปยังรีซีฟเวอร์ไดร์เออร์ (Receive-Dryer) เนื่องจากคอนเดนเซอร์ติดตั้งอยู่หน้าหม้อน้ำรถยนต์ ขณะวิ่งอากาศจะปะทะคอนเดนเซอร์ก่อน ดังนั้นโอกาสที่จะมีฝุ่นละออง หรือตัวแมลงติดคอนเดนเซอร์จะมีมาก จะทำให้คอนเดนเซอร์ระบายไม่ดี น้ำยาแก๊สจะเปลี่ยนเป็นน้ำยาเหลวไม่หมด ทำให้แอร์ไม่ค่อยเย็น จึงควรทำความสะอาดคอนเดนเซอร์บ่อย ๆ โดยใช้น้ำล้างและใช้แปรงถูตลอดจนใช้ลมเป่าด้วย

ประเภทของคอนเดนเซอร์ตามลักษณะการไหล[51]

[แก้]

มี 3 ประเภท ดังนี้

  • แบบไหลวน

สารทำความเย็นจะไหลในลักษณะวนในตัวของคอนเดนเซอร์ คือสารทำความเย็นจะไหลเข้าที่ท่อทางเข้าด้านบนและไหลออกที่ท่อทางออกด้านล่าง ซึ่งระหว่างการไหลนี้จะมีการระบายความร้อนแก่คอนเดนเซอร์ จะทำให้สารความเย็นมีอุณหภูมิลดลงและเปลี่ยนสถานะจากก๊าซเป็นของผสมที่ท่อทางออก

  • แบบไหลขนาน

คอนเดนเซอร์ชนิดนี้มีท่อเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างกล่องทั้งสอง เมื่อสารความเย็นไหลเข้าที่ท่อทางเข้า สารความเย็นจะไหลแบบขนานกันและออกที่ท่อทางออก ซึ่งระหว่างการไหลนี้จะมีการระบายความร้อนแก่คอนเดนเซอร์ จะทำให้สารความเย็นมีอุณหภูมิลดลงและเปลี่ยนสถานะจากก๊าซเป็นของผสมที่ท่อทางออก

  • แบบไหลวกวน

คอนเดนเซอร์ชนิดนี้เป็นการรวมคอนเดนเซอร์แบบไหลวนและแบบไหลขนานเข้าด้วยกัน คือท่อทางเข้าและออกจะมีลักษณะการไหลแบบขนาน แต่ในการไหลจะมีลักษณะการไหลแบบวน คือเมื่อสารความเย็นเข้าที่ท่อทางเข้าจะมีการแยกเป็นสองทางและไหลในท่อแบบวน โดยจะไปรวมกันที่ท่อทางออกซึ่งระหว่างการไหลนี้จะมีการระบายความร้อนแก่คอนเดนเซอร์ จะทำให้สารความเย็นมีอุณหภูมิลดลงและเปลี่ยนสถานะจากก๊าซเป็นของผสมที่ท่อทางออก

การระบายความร้อนออกจากคอนเดนเซอร์ในงานปรับอากาศรถยนต์

[แก้]

การระบายความร้อนออกจากคอนเดนเซอร์ในงานปรับอากาศรถยนต์ นั้นขึ้นอยู่กับการวางเครื่องยนต์หรือระบบการขับเคลื่อนของรถยนต์แต่ละแบบ แต่ละชนิด ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้

  1. การระบายความร้อนด้วยพัดลมไฟฟ้า ซึ่งจะอยู่ในรถยนต์ที่มีการวางเครื่องยนต์ด้านหลัง หรือรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขับระบบปรับอากาศโดยตรง เช่น รถโดยสารขนาดใหญ่ (รถทัวร์)
  2. การระบายความร้อนด้วยพัดลมไฟฟ้าและอากาศ ซึ่งจะอยู่ในรถยนต์ที่มีการวางเครื่องยนต์ด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหน้า โดยที่อากาศนั้นจะวิ่งปะทะในกรณีที่รถเคลื่อนที่
  3. การระบายความร้อนด้วยพัดลมเครื่องยนต์และอากาศ ซึ่งจะอยู่ในรถยนต์ที่มีการวางเครื่องยนต์ด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลัง โดยที่อากาศนั้นจะวิ่งปะทะในกรณีที่รถเคลื่อนที่

เอ็กเพ็นชั่นวาล์ว (Expansion Valve)

[แก้]

เอ็กเพ็นชั่นวาล์ว (Expansion Valve) หรือ ตัวควบคุมน้ำยา (Refrigerant Control) ทำหน้าที่ ควบคุมอัตราการไหลของสารทำความเย็นก่อนเข้าอีวาโปเรเตอร์ โดยการลดความดันของสารทำความเย็นที่เป็นของเหลวความดันสูงให้เป็นก๊าซที่มีความดันต่ำ เพื่อรักษาความเย็นให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุดโดยการควบคุมปริมาณน้ำยาเดือดหมดพอดีในอีวาโปเรเตอร์ ตัวควบคุมน้ำยาเครื่องปรับอากาศติดรถยนต์นิยมใช้แบบใช้เทอร์โมสแตติคเอ็กเพ็นชั่นวาล์ว (Thermostatic Expansion Valve) เรียกย่อ ๆ ว่า TEV, TXV มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบ Internal Equalizer และ แบบ External Equalizer แต่ที่นิยมใช้มากคือแบบ External Equalizer[52]

TEV. ที่ใช้ในแอร์รถยนต์ จะประกอบติดกับชุดคอยล์เย็นหรืออีวาโปเรเตอร์ โดยทางเข้าของ TEV. จะต่อกับท่อน้ำยาเหลว(Liquid Line) ที่มาจากรีซีฟเวอร์-ไดร์เออร์ (Receiver Drier) และทางออกของ TEV. จะต่อเข้าทางเข้าของอีวาโปเรเตอร์ในกรณีที่เป็นแบบ Internal แต่ถ้าเป็นแบบ External ก็จะต่อทางเข้าและทางออกของ TEV. เหมือนกัน แต่จะต้องต่อท่อ External ของ TEV. เข้ากับทางดูด (Suction Line) ที่จะเข้าทางดูดคอมเพรสเซอร์ด้วย การใช้ TEV. แบบ External เพื่อทำให้ค่าซุปเปอร์ฮีทคงที่ และจะใช้ TEV.แบบนี้ในกรณีแรงดันตก(Pressure Drop) ในอีวาโปเรเตอร์เกินกว่า 2 psi เท่านั้น

การทำงานโดยทั่วไปของ TEV.

[แก้]

การทำงานของ TEV. เป็นไปแบบวิธีการง่าย ๆ คือ เมื่อกระเปาะมีอุณหภูมิสูงขึ้นส่วนหนึ่งของน้ำยาในกระเปาะจะเดือดกลายเป็นแก็สที่มีแรงดัน ซึ่งแรงดันนี้จะวิ่งไปตามท่อแคปทิ้วและแรงดันนี้จะวิ่งไปตามท่อแคปทิ้วแล้วไปดันให้ไดอะเฟรมเคลื่อนที่ต่ำลง แรงนี้จะทำให้เข็มปิด-เปิดวาล์วต่ำลงและน้ำยาจะวิ่งเข้าอีวาโปเรเตอร์จะกระทำเช่นนี้จนกระทั่งน้ำยาเดือดเต็ม และอีวาโปเรเตอร์จะเย็นทั่วหมดและท่อซักชั่น (ท่อทางดูด ซึ่งเป็นทางออกของอีวาโปเรเตอร์) จะเย็น ทำให้กระเปาะที่แนบติดกับท่อทางซักชั่นเย็นด้วย เมื่อกระเปาะเย็นแรงดันของกระเปาะจะลดต่ำลงส่งผลให้แรงดันในแคปทิ้วต่ำลงด้วยเป็นผลให้แรงที่จะกดไดอะเฟรมต่ำมีน้อย เข็มวาล์วจะเคลื่อนที่ขึ้นและวาล์วจะเปิดน้อยลงหรือปิด ถ้า TEV. ฉีดน้ำยาเข้าอีวาโปเรเตอร์ไม่พอจะทำให้แรงดันของอีวาโปเรเตอร์ต่ำลงอีกทั้งอุณหภูมิของกระเปาะก็จะสูงขึ้นด้วย โดยแก็สที่มีอุณหภูมิสูงจากอีวาโปเรเตอร์มากระทบกับกระเปาะทำให้วาล์วเปิดกว้างขึ้น ส่งผลให้น้ำยาที่ฉีดเข้าไปในอีวาโปเรเตอร์มีมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามถ้าฉีดน้ำยาเข้าอีวาโปเรเตอร์มากเกินไปหรือแรงดันของอีวาโปเรเตอร์สูงขึ้น แรงดันก็จะดันให้วาล์วดันขึ้นไปปิดหรือเปิดให้น้อยลง ดังนั้น TEV. จึงทำงานขึ้น-ลงหรือฉีดน้ำยามาก ฉีดน้ำยาน้อยอยู่เรื่อย ๆ โดยขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงโหลด

การติดตั้ง TEV

[แก้]

การติดตั้ง TEV. ที่จะให้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด จะต้องติดไว้ใกล้กับทางใกล้ของอีวาโปเรเตอร์มากที่สุดที่จะมากได้ การติดตั้ง TEV. ของแอร์รถยนต์โดยปกติจะติดมากับกล่องอีวาโปเรเตอร์ ซึ่งมีขนาดพอเหมาะกับความยาวคอยล์เย็น เราจะนำตัวควบคุมน้ำยาขนาดอื่นมาใส่ก็อาจทำได้ แต่ถ้าไม่ปรับตั้งลิ้นเสียใหม่ก็จะเกิดความยุ่งยากขึ้น เช่น ไม่ให้ความเย็นหรือให้น้อย น้ำยาเหลวไหลเข้ามากบางครั้งเป็นผลต่อลิ้นของคอมเพรสเซอร์ได้ โดยปกติถ้าไม่จำเป็นไม่ควรไปปรับหรือตั้งสกรูปรับสปริงโดยเด็ดขาด การติดตั้งกระเปาะ (Remote Bulb Location) จะต้องติดกระเปาะโดยใช้เข็มขัดชนิดโลหะรัดเน้นในแนวระดับกับท่อดูด ใกล้กับทางออกของอีวาโปเรเตอร์ ตามปกติจะอยู่ทางด้านในของชุดตัวให้ความเย็น และให้ตลอดความยาวของกระเปาะสัมผัสทางท่อทางออกของอีวาโปเรเตอร์ให้มากที่สุดที่จะมาได้ และข้อสำคัญตำแหน่งกระเปาะนี้จะต้องไม่มีอุณภูมิอื่นมาเกี่ยวข้องนอกเสียจากว่าอุณหภูมิของท่อออกของอีวาโปเรเตอร์เท่านั้น มิฉะนั้นจะทำให้ลิ้นของ TEV. เปิดกว้างทำให้น้ำยาท่วม และไหลเข้าคอมเพรสเซอร์ในตอนเริ่มเดินเครื่องได้

อีวาโปเรเตอร์ (Evaporator)

[แก้]

อีวาโปเรเตอร์ (Evaporator) หรือ คอยล์เย็น (Cooling Coil) มีหน้าที่รับน้ำยาที่เป็นของเหลวมีแรงดันต่ำและอุณหภูมิต่ำเข้ามา ซึ่งมีลักษณะเป็นฝอยและน้ำยาจะเดือด (Evaporate) ในตัวคอยล์เย็นนี้ทำให้น้ำยาเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นแก๊สและจะดูดความร้อนจากตัวคอยล์เย็นไป เมื่อความร้อนของอากาศโดยรอบอีวาโปเรเตอร์ถูกดูดออกไป ที่เหลือก็คืออากาศเย็นที่พัดออกมาทางช่องลมเย็น ทำให้อีวาโปเรเตอร์เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่น้ำยาเหลวไหลมาระเหยซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกัน เช่น คอยล์เย็น (Cooling Coil) หรืออีวาโปเรเตอร์ (Evaporator) การที่น้ำยาเหลวไหลมาเดือดเป็นไอทำให้พื้นผิวภายนอกที่บรรจุน้ำยาเย็นลงในที่นี้เรียกว่า อีวาโปเรเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่อยู่ในคอนโซลในห้องผู้โดยสาร มีลักษณะเป็นท่อขดและมีครีบหลายหลายอันเพื่อนำพาความร้อนผ่านครีบและท่อขด ความร้อนจะแพร่ไปที่สารทำความเย็น สารทำความเย็นที่เป็นของเหลวก็จะเปลี่ยนสถานะเป็นไอเมื่อได้รับความร้อน และจะถูกดูดออกโดยคอมเพรสเซอร์เพื่อไปผ่านขบวนการทำให้กลับมาเป็นของเหลวอีกครั้ง และการที่จะทำให้อีวาโปเรเตอร์มีความเย็นมากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้

  1. ต้องมีพื้นที่สำหรับทำความเย็นอย่างเพียงพอ เพื่อดูดความร้อนออกไปตามที่ต้องการ
  2. ต้องมีปริมาณเพียงพอแก่การรับเอาน้ำยาที่เป็นของเหลวไว้สำหรับการระเหยและปริมาณต้องกว้างพอที่จะรับเอาไอที่ระเหยแล้วนั้นได้
  3. ต้องมีการหมุนเวียนสะดวก ปราศจากความดันตกค้างอยู่มากเกินไปในอีวาโปเรเตอร์

อีวาโปเรเตอร์มีความสำคัญในระบบเครื่องทำความเย็นเป็นอย่างมากเพราะหากต้องการความเย็นมากๆก็แค่ใส่อีวาโปเรเตอร์โต ๆ ที่ถูกต้องแล้วอีวาโปเรเตอร์จะให้ความเย็นดี จะต้องมีความสัมพันธ์หมดทั้งระหว่าง คอมเพรสเซอร์ ตัวควบคุมน้ำยา และคอนเดนเซอร์ โดยในการติดตั้งอีวาโปเรเตอร์ไว้ภายในรถยนต์อาจจะวางตำแหน่งได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบของอีวาโปเรเตอร์ จุดประสงค์ที่สำคัญคือ ให้ไอความเย็นออกมาได้ทั่วภายในรถเป็นสำคัญ

รูปร่างของ evaporator ในสมัยนี้รูปร่างกะทัดรัด สามารถซ่อนและติดตั้งได้มิดชิด (ช่องเย็นด้านหน้า) ถ้าจะกล่าวถึงจุดของตัวให้ความเย็น (Evaporator Unit) จะมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ปกติจะมีติดมาเป็นชุด คือ

  1. Cooling Coil (ช่องเย็น)
  2. Thermostat (ตัวควบคุมอุณหภูมิ)
  3. switch and speed motor control (สวิตซ์ปิด-เปิดและควบคุมความเร็วของมอเตอร์)
  4. Motor and Blower (มอเตอร์พัดลมและใบพัด)
  5. Cooling case (โครงยึดชุดช่องเย็น)

ส่วนประกอบทั้ง 5 รายการ ปกติจะจัดไว้เป็นชุดแต่หากเกิดชำรุดขึ้นมาในบางชิ้นก็สามารถแยกชิ้นเพื่อเปลี่ยนได้ ดังนั้น Evaporator เป็นสถานที่ที่ให้น้ำยาเหลวมาเดือดส่วนที่รองรับหรือท่อทางนั้นก็คือ ทองแดงหรืออลูมิเนียมผสม (แข็งกว่าอลูมิเนียม) ช่องเย็นทุกแบบก็สร้างโดยอาศัยท่อทองแดงหรือลูมิเนียม การที่เครื่องจะเย็นจัด ทน ไม่ใช่เพราะช่องเย็นมีปัจจัยมากมาย เช่น ขึ้นอยู่กับการทำงานของเอ็กเพ็นชั่นวาล์ว

คอยล์เย็นจะเป็นตัวลดอุณหภูมิของอากาศที่ผ่านและปรับระดับความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศที่ผ่านคอยล์เย็นออกมา อุณหภูมิของอากาศที่ผ่านคอยล์เย็นออกมา ควรอยู่ที่ประมาณ 70 องศาฟาเรนไฮต์ หรือประมาณ 21.11 องศาเซลเซียส มีความชื้นสัมพัทธ์ 50% การที่จะให้ได้ตามความต้องการมีการเลือกตัวคอยล์เย็นมักจะฝังอยู่ภายในตู้เย็นแอร์เลย เมื่ออากาศผ่านคอยล์เย็นถ้าอุณหภูมิต่ำลงมากจนถึงจุดน้ำค้าง (ความชื้นสัมพัทธ์ถึง 100%) ไอน้ำอากาศจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ดังนั้น ตัวตู้แอร์เองจะต้องมีท่อน้ำทิ้งต่อออกไปทิ้งนอกรถและยังต้องยากันรั่วที่บริเวณตู้แอร์เพื่อกันไม่ให้น้ำหยดเข้ามาในรถได้

รีซีฟเวอร์ไดร์เออร์ (Receive-Drier)[53]

[แก้]

เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อระหว่างคอนเดนเซอร์ (Condensor) กับ เอ็กเพ็นชั่นวาล์ว (Expension Valve) ที่ติดตั้งทางด้านความดันสูง ทำหน้าที่ เป็นที่พักเก็บน้ำยาเหลว (Receiver) และกรองสิ่งสกปรกที่เจือปนมากับสารทำความเย็นซึ่งสิ่งเจือปนอาจจะเกิดจากการติดตั้งระบบทำความเย็นหรือเกิดการรั่วไหลของสารทำความเย็น ภายในรีซีฟเวอร์ไดร์เออร์มี Silica gel เพื่อดูดซับความชื้นก่อนจะปล่อยให้สารทำความเย็นผ่านเข้าไปยังเอ็กเพ็นชั่นวาล์ว และผู้ใช้งานสามารถดูปริมาณของสารทำความเย็นได้โดยการดูผ่านทางด้านบนของรีซีฟเวอร์ไดร์เออร์ เปลี่ยนสถานะของสารความเย็นจากของผสม (ของเหลวและก๊าซ) ให้เป็นของเหลว 100% ดักจับความชื้น

ส่วนประกอบของรีซีฟเวอร์ไดร์เออร์[54]

[แก้]
  1. ท่อทางเข้า ทำหน้าที่ ต่อกับท่อที่มาจากคอนเดนเซอร์
  2. แผ่นกรอง (Filter) ทำหน้าที่ กรองสิ่งสกปรกที่ติดมากับสารความเย็น
  3. สารดูดความชื้น (Desiccant) ทำหน้าที่ ดูดความชื้นออกจากสารความเย็น ซึ่งสารดูดความชื้นอยู่ในสถานะของแข็งทั่วไปทำมาจาก Silica gel หรือ Mobil gel
  4. ท่อรีซีฟเวอร์-ไดร์เออร์ (Receiver tube) หรือท่อส่งสารทำความเย็น (Pickup tube) ทำหน้าที่ ส่งสารความเย็นไปยังท่อทางออก
  5. กระจกมองสารความเย็น (Sight galss) ทำหน้าที่ ให้เราสามารถมองเห็นสารความเย็นไหลผ่านในระบบ (เป็นจุดเดียวที่เราสามารถเห็นสารความเย็นที่อยู่ในระบบ) ซึ่งบอกถึงปริมาณสารทำความเย็นมีมากน้อยเพียงใด
  6. ท่อทางออก ทำหน้าที่ ต่อกับท่อเพื่อส่งสารความเย็นไปยังเอ็กเพ็นชั่นวาล์ว
  7. ปลั๊กหลอมละลาย บางครั้งเรียกว่า “โบลต์ละลาย” ตัวโบลต์จะมีรูทะลุจากปลายถึงหัว โดยภายในจะมีตะกั่วพิเศษปิดรูไว้อยู่ ซึ่งปลั๊กหลอมละลายจะทำหน้าที่ปล่อยสารความเย็นออกจากระบบ (ตะกั่วจะละลาย) ในกรณีที่ความดันและอุณหภูมิด้านสูงมากเกินไป (ความดันสูงถึง 30 bar, 427 psi อุณหภูมิ ที่ 95 -100 oC, 203-212 oF)

จากรูปน้ำยาเหลวจะเข้ามาทางช่องท่อทางเข้า ซึ่งภายในจะประกอบด้วยตัวกรองสิ่งสกปรก และมีตัวดูดความชื้น (Desiccant) ฉะนั้นก่อนที่น้ำยาเหลวจะผ่านไปยังเอ็กเพ็นชั่นวาล์ว ก็จะผ่านตัวกรองสิ่งสกปรกและถูกดูดความชื้นเสียก่อน จากนั้นก็จะไปแสดงภาพของน้ำยาให้เห็นที่ช่องมองน้ำยา (กระจกมองสารความเย็น) ซึ่งในภาษาช่างเรียกว่า ตาแมว ตอนสุดท้ายถึงจะออกไปทางท่อทางออก

นอกจากประโยชน์ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ตัวรีซีฟเวอร์-ไดร์เออร์ยังเป็นประโยชน์ต่อช่างในกรณีที่เครื่องทำงานแต่ให้ความเย็นน้อย ซึ่งเจ้าของเครื่องอาจจะตรวจดูก่อนที่จะถึงช่างก็ได้ เช่น ในกรณีเย็นน้อยเราสามารถเปิดช่องตาแมวดูซึ่งปกติจะอยู่ส่วนบนสุดของรีซีฟเวอร์-ไดร์เออร์ สังเกตได้ว่ามีแผ่นกรอบพลาสติกอุดอยู่เมื่อดึงออกจะเห็นเป็นแผ่นแก้วอยู่ภายใน ในกรณีนี้อาจจะมีการรั่วของน้ำยาเหลว ไหลเป็นฟอง (ถ้าเอาไฟฉายส่องจะเห็นได้ง่าย) ถ้าน้ำยารั่วออกไปมากจำนวนฟองก็ไหลมาก ในทางที่ดีเราควรเร่งเครื่องประมาณ 1,000-1,200 รอบ/นาที เพื่อจะได้ทราบแน่ชัดว่าการเป็นฟองของน้ำยาไม่ใช่เพราะเครื่องเดินช้าเกินไป นี่เป็นช่างหรือเจ้าของเครื่องสามารถตรวจความสมบูรณ์ของวงจรน้ำยาได้ไม่ยาก

อ้างอิง

[แก้]
  1. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-13. สืบค้นเมื่อ 2014-11-29.
  2. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2014-11-29.
  3. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-03-27. สืบค้นเมื่อ 2014-11-29.
  4. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2014-11-29.
  5. "First Air Conditioned Auto". Popular Science. Vol. 123 no. 5. November 1933. p. 30. สืบค้นเมื่อ 16 April 2015.
  6. "Michigan Fast Facts and Trivia". 50states.com. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  7. Bumbeck, Mike (3 August 2012). "Weather Conditioning from Packard". Hemmings. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  8. 8.0 8.1 Adler, Dennis (2004). Packard. MBI Publishing. p. 76. ISBN 978-0-7603-1928-4.
  9. 1634–1699: McCusker, J. J. (1997). How Much Is That in Real Money? A Historical Price Index for Use as a Deflator of Money Values in the Economy of the United States: Addenda et Corrigenda (PDF). American Antiquarian Society. 1700–1799: McCusker, J. J. (1992). How Much Is That in Real Money? A Historical Price Index for Use as a Deflator of Money Values in the Economy of the United States (PDF). American Antiquarian Society. 1800–present: Federal Reserve Bank of Minneapolis. "Consumer Price Index (estimate) 1800–". สืบค้นเมื่อ January 1, 2020.
  10. 10.0 10.1 Langworth, Richard M. (1994). Chrysler and Imperial: The Postwar Years. Motorbooks International. ISBN 978-0-87938-034-2.
  11. "1953 Cadillac Salesmens Data Book". oldcarbrochures.org. pp. 128–131. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  12. "1953 Cadillac Foldout". oldcarbrochures.org. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  13. "1953-Buick Heating and AC Folder". oldcarbrochures.org. pp. 10–11. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2015. สืบค้นเมื่อ 16 April 2015.
  14. "1953 Oldsmobile Brochure". oldcarbrochures.org. p. 23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2015. สืบค้นเมื่อ 16 April 2015.
  15. "Nash Low Cost Air Conditioner Cools or Heats by Turning Knob". Popular Mechanics. Vol. 101 no. 5. May 1954. p. 86. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023 – โดยทาง Google Books.
  16. "One Control Heating Cooling". Motor. Vol. 101. 1954. p. 54. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023 – โดยทาง Google Books.
  17. Gunnell, John, บ.ก. (1987). The Standard Catalog of American Cars 1946–1975. Krause Publications. p. 176. ISBN 978-0-87341-096-0.
  18. Daly, Steven (2006). Automotive Air-Conditioning and Climate Control Systems. Elsevier Science & Technology Books. p. 2. ISBN 978-0-7506-6955-9. สืบค้นเมื่อ 16 April 2015.
  19. 19.0 19.1 Wolfe, Steven J. (2000). "HVAC Time Line". Refrigeration Service Engineers Society Twin Cities Chapter. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 November 2009. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  20. "News of the Automotive World – Nash Air Conditioner Combines Heating, Cooling, and Ventilating". Automotive Industries. Vol. 110. 1954. p. 86. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023 – โดยทาง Google Books.
  21. Stevenson, Heon J. (2008). American Automobile Advertising, 1930–1980: An Illustrated History. McFarland. p. 177. ISBN 978-0-7864-3685-9. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023 – โดยทาง Google Books.
  22. Binder, Al; the Ward's staff (2 February 2001). "Rearview Mirror". Ward's AutoWorld. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 November 2011. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  23. "1953–1955 Nash and Hudson Ramblers". How Stuff Works. 29 November 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 August 2020. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  24. Halter, Tom (3 June 2017). "Cold Comfort: History of Automotive Air Conditioning, Part 3 – Post-World War II". curbsideclassic.com/. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  25. "Pontiac Master Parts Catalog – image of 1954 AC system". pontiacsafari.com. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  26. Severson, Aaron (8 April 2008). "Room at the Top: The 1954 Pontiac Star Chief and Class Consciousness in America". Ate Up With Motor. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  27. "1952–'54 Pontiac Chieftain". Hemmings Motor News. February 2009. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  28. Nunney, Malcolm J. (2006). Light and Heavy Vehicle Technology. Elsevier Science & Technology Books. p. 147. ISBN 978-0-7506-8037-0.
  29. Nash, Gerald D. (1999). Federal Landscape: An Economic History of the Twentieth-Century West. University of Arizona Press. p. 224. ISBN 978-0-8165-1863-0.
  30. "1964 Cadillac information" (PDF). gmheritagecenter.com. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 10 December 2015. สืบค้นเมื่อ 22 November 2016.
  31. Lintern, Mike (1977). Complete guide to American cars, 1966–76. AutoMedia. p. 32. ISBN 978-0-905395-01-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 June 2016. สืบค้นเมื่อ 16 April 2015.
  32. "U.S. Business: Shuffle & Cut". Time. 6 October 1967. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 February 2013. สืบค้นเมื่อ 16 April 2015.
  33. Klockau, Thomas (5 November 2022). "1968 AMC Ambassador SST: The Kenosha Cadillac". Hagerty. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  34. "Air Conditioning and Refrigeration Timeline". National Academy of Engineering. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 March 2015. สืบค้นเมื่อ 16 April 2015.
  35. Phelan, Mark; Sorge, Marjorie (April 1990). "A hot market for cool, clean air". Ward's Auto World. Ward's Communications. 26 (4): 33.
  36. Hinckley, p. 54 "...it was actually an evaporative cooler – something Californians and Southwesterners have on the roofs of their houses and often call 'swamp coolers' or 'swampies'."
  37. Heitmann, John Alfred (2009). The Automobile and American Life. McFarland. p. 151. ISBN 978-1-4766-0199-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 May 2016. สืบค้นเมื่อ 16 April 2015.
  38. Watt, John R. (1963). Evaporative Air Conditioning. Industrial Press. p. 93. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 April 2018. สืบค้นเมื่อ 13 August 2017.
  39. 39.0 39.1 Watt, John R. (1986). Evaporative Air Conditioning Handbook (Second ed.). Springer. ISBN 978-1-4612-9387-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 April 2018. สืบค้นเมื่อ 13 August 2017.
  40. Hinckley, p. 54
  41. 41.0 41.1 Sibley, p. 221
  42. "The Easy Way". Popular Mechanics. Vol. 75 no. 5. May 1941. pp. 676–677. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023 – โดยทาง Google Books.
  43. Jestine (2022-03-24). "What Is Refrigerant 12| R12". Refrigerant Finders (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-21.
  44. "R-12 Refrigerant History - Refrigerant HQ" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2018-12-31. สืบค้นเมื่อ 2024-02-21.
  45. US EPA, OAR (2015-07-16). "Enforcement Actions under Title VI of the Clean Air Act". www.epa.gov (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-02-21.
  46. 46.0 46.1 46.2 dagmar (2019-07-01). "What is 1234YF? The Pros & Cons And How To Service". Sun Devil Auto (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-21.
  47. "Vulkan Lokring's Vehicle Airconditioning Repair System – Australian Defence Magazine". australiandefence.com.au. 21 August 2012. สืบค้นเมื่อ 31 March 2023.
  48. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-07. สืบค้นเมื่อ 2014-11-29.
  49. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-07. สืบค้นเมื่อ 2014-11-29.
  50. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-06-22. สืบค้นเมื่อ 2014-11-29.
  51. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-06. สืบค้นเมื่อ 2014-11-29.
  52. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-08-23. สืบค้นเมื่อ 2014-11-30.
  53. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-07. สืบค้นเมื่อ 2014-12-01.
  54. http://anuchid_ma55.igetweb.com/articles/42061033/igetweb-รีซีฟเวอร์ดรายเออร์%20%28%20Receiver%20drier%20%29.html[ลิงก์เสีย]
  • สนอง อิ่มเอม. “เครื่องทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศรถยนต์”,หน้า.439.463,ประวัติเครื่องทำความเย็น