การนั่งยอง ๆ

การนั่งยอง ๆ บ้างเรียก ยอง หรือ หย่อง เป็นท่าทางที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย น้ำหนักตัวจะอยู่ที่เท้าโดยงอหัวเข่าและสะโพก ส่วนการนั่งธรรมดาจะรับน้ำหนักตัวที่ปุ่มกระดูกก้น (ischial tuberosities) ซึ่งเป็นส่วนของกระดูกเชิงกราน โดยส่วนล่างของก้นจะสัมผัสกับพื้นหรือวัตถุราบ มุมระหว่างขาเมื่อนั่งยอง ๆ เริ่มตั้งแต่ศูนย์องศาไปจนถึงกางออกกว้าง ๆ โดยขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นตัวแปร อีกอย่างคือการเอนลำตัวส่วนบนไปข้างหน้าจากสะโพกการนั่งยอง ๆ อาจเป็นแบบเต็มตัวหรือเพียงบางส่วน

การนั่งย่อตัวก็คล้าย ๆ กับการนั่งยอง ๆ อาจย่อขาข้างหนึ่งโดยคุกเข่าอีกข้างหนึ่ง[1] อาจยกส้นเท้าข้างหนึ่งหรือทัั้งสองขึ้น เด็กเล็ก ๆ มักนั่งยอง ๆ เองตามธรรมชาติ ผู้ใหญ่ชาวจีน[2] ชาวเอเชียอาคเนย์ และชาวยุโรปตะวันออก อาจนั่งยอง ๆ สลับกับนั่งและยืนเป็นปกติ
ศัพท์
[แก้]
คำภาษาอังกฤษ squatting ที่อาจแปลได้ว่า นั่งยอง ๆ มาจากคำฝรั่งเศสโบราณ esquatir/escatir ซึ่งหมายความว่า "อัด/กดลง"[3] ส่วนการรับน้ำหนักเพื่อออกกำลังกายหรือเพื่อฝึกความแข็งแกร่ง เป็นความหมายที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1954 [3]
ท่าพัก
[แก้]การนั่งยอง ๆ แบบเต็มตัวพักน้ำหนักตัวลงบนเท้าโดยวางก้นลงที่ด้านหลังของน่อง อาจใช้เป็นท่าพักผ่อนหรือเพื่อทำงานที่พื้น โดยเฉพาะเมื่อพื้นสกปรกหรือเปียกเกินกว่าจะนั่งหรือคุกเข่าได้[1]
ผู้ที่ไม่สามารถวางส้นเท้าราบกับพื้นเมื่อนั่งยอง ๆ อาจเป็นเพราะเอ็นร้อยหวายสั้น[4][5][6] เนื่องกับนิสัย ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านี้จะนั่งยอง ๆ ได้ไม่นาน เพราะเมื่อยกส้นเท้าขึ้น การนั่งยอง ๆ จะไม่เสถียรเท่ากับเมื่อส้นเท้าอยู่บนพื้น[7]
ในวัฒนธรรมตะวันตก การนั่งยอง ๆ โดยประสานมือเข้าด้วยกันบางครั้งเรียกว่า "การนั่งยอง ๆ แบบนักแร็ป" "ท่าคนคุก" หรือ "ท่าคนในตาราง" ซึ่งมักใช้เป็นท่าถ่ายภาพ[8][9][10]
การออกกำลังกาย
[แก้]
การฝึกความแข็งแรง
[แก้]ในการฝึกความแข็งแรง ท่านั่งยองเป็นการออกกำลังกายทั่วร่างกาย หลัก ๆ ที่กล้ามเนื้อต้นขา สะโพก และก้น รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก เอ็นยึด และจุดยึดของเส้นเอ็นทั่วร่างกายส่วนล่าง ถือเป็นท่าออกกำลังกายที่สำคัญเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและขนาดของขาและก้น
"pistols squat" (ท่านั่งยองแบบปืนพก) เป็นท่านั่งยองขาเดียวที่พบบ่อยในการออกกำลังกายแบบครอสฟิต โดยขาที่ไม่ได้ใช้จะยกให้ขนานกับพื้น
"burpee" (เบอร์ปี) เป็นการออกกำลังกายทั้งร่างกายที่ฝึกความแข็งแรง รวมทั้งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่มีท่านั่งยองเป็นส่วนประกอบ มีการเคลื่อนไหวพื้นฐาน 4 ท่าที่เรียกว่า เบอร์ปีสี่จังหวะ (four-count burpee)
มาลาสนะหรืออุปเวสาสนะในโยคะ
[แก้]
อุปเวสาสนะ (แปลตรงตัวว่า "ท่านั่งลง") หรือที่รู้จักในชื่อ มาลาสนะ ซึ่งแปลว่า "ท่าพวงมาลัย" หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ท่านั่งยองแบบโยคะ เป็นอาสนะอย่างหนึ่งในโยคะ[11] อาสนะนี้เป็นท่านั่งยองโดยวางส้นเท้าแนบกับพื้นและห่างกันเท่ากับสะโพก (หรือกว้างกว่าเล็กน้อยถ้าจำเป็น) โดยปลายเท้าชี้ออกเป็นแนวทแยง ลำตัวโน้มไปด้านหน้าระหว่างต้นขา ข้อศอกยันด้านในของเข่า และพนมมือไว้ด้านหน้าของหน้าอก (ที่เรียกว่าอัญชลีมุทรา)[12]
ไท้เก๊ก
[แก้]![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ
[แก้]การนั่งยองอุจจาระก็คือการนั่งยองให้ก้นใกล้พื้นแล้วถ่าย มีส้วมนั่งยองเช่นนี้ที่พบได้ทั่วไปในที่ต่าง ๆ ในโลก
การนั่งยอง ๆ แบบลอยก้นเพื่อปัสสาวะที่โถส้วมซึ่งอาจปนเปื้อน อาจทำให้ปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ[16] และไม่ดีต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน[17]
สัตว์คล้ายสุนัข (รวมทั้งสุนัข) ในวงศ์ Canidae มักปัสสาวะในท่านั่งยอง แม้ปกติจะยกขาขึ้นเมื่อทำเครื่องหมายอาณาเขตด้วยกลิ่น[13]
สุขภาพ
[แก้]
ในวัฒนธรรมเอเชียตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม ท่าที่ต้องงอข้อมาก ๆ รวมถึงการคุกเข่าและการนั่งยอง ๆ มักใช้บ่อยกว่าในชีวิตประจำวัน[19] เทียบกับอเมริกาเหนือ ที่มักคุกเข่าหรือนั่งยอง ๆ น้อยกว่า ยกเว้นเมื่อทำงาน ทำกิจทางศาสนา หรือมีกิจกรรมยามว่าง รูปแบบนิยมของท่าดังกล่าวจะต่าง ๆ กันไปตามกลุ่มชาติพันธุ์ ในขณะที่คนผิวขาวมักจะงอปลายเท้าเมื่อคุกเข่าหรือนั่งยอง ๆ ชาวเอเชียตะวันออกมักจะวางเท้าราบกับพื้น[18]
มีรูปแบบการคุกเข่าสามัญสองอย่างคือ แบบเหยียดปลายเท้าและแบบกระดกปลายเท้าขึ้น ขาข้างที่อยู่ด้านหน้าอาจได้รับแรงหุบเข่าเข้าตรงกลางและแรงงอเข่าที่สูงขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับการเพิ่มน้ำหนักที่ข้อเข่า[20]
ความเสี่ยงโรคข้อเข่าเสื่อม
[แก้]โรคเข่าเสื่อมเกิดมากขึ้นในผู้ที่นั่งยอง ๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายปี[21] มีหลักฐานว่าการนั่งยอง ๆ เป็นเวลานานอาจก่อภาวะอัมพาตเหตุไขว่ห้าง (peroneal nerve palsy) ทั้งสองข้าง[22] ชื่อทั่วไปสำหรับอาการนี้คือ โรคอัมพาตของผู้นั่งยอง (squatter's palsy) แม้ก็อาจมีสาเหตุอื่นที่ก่ออาการนี้[23][24][22] สำหรับสังคมที่แทบไม่นั่งยอง ๆ การใช้ท่านี้ซึ่งต่างกับปกติอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ[25]
ในโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิด tetralogy of Fallot
[แก้]เด็กวัยหัดเดินและเด็กโตที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิด tetralogy of Fallot มักจะนั่งยอง ๆ โดยสัญชาตญาณในระหว่างที่มีอาการ คือภาวะที่ผิวหนังเขียวคล้ำอย่างฉับพลัน เนื่องจากระดับออกซิเจนในเลือดลดลง เป็นท่าที่ช่วยให้เลือดไหลไปที่ปอดได้มากขึ้น[26] การนั่งยองช่วยเพิ่มแรงต้านของหลอดเลือดทั่วร่างกายและช่วยให้หัวใจลัดเลือด (shunt) กลับทิศทางชั่วคราว เพราะเพิ่มความดันที่หัวใจห้องซ้าย ทำให้เลือดจากห้องขวาลัดวงจรไปห้องซ้ายลดลง จึงลดปริมาณเลือดที่ขาดออกซิเจนในการเข้าสู่ระบบไหลเวียนทั่วร่างกาย[27][28]
ลักษณะผิวกระดูกของการนั่งยอง ๆ
[แก้]มีลักษณะเฉพาะของการนั่งยอง ๆ ซึ่งเกิดที่ผิวกระดูกข้อต่อระหว่างกระดูกหน้าแข้งส่วนปลายกับกระดูกข้อเท้าซึ่งพบในซากกระดูก เกิดจากการสัมผัสกันระหว่างกระดูกทั้งสองในขณะที่เท้ากระดกงอขึ้นมากเกินปกติ ซึ่งใช้เป็นตัวบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นนั่งยอง ๆ เป็นประจำหรือไม่[29][30]
ท่าคลอดลูก
[แก้]การนั่งยอง ๆ เพิ่มความดันในช่องเชิงกรานโดยใช้แรงกล้ามเนื้อน้อยที่สุด ในท่านั่งยอง ๆ ช่องคลอดจะเปิดกว้างขึ้น 20–30% ยิ่งกว่าท่าอื่น ๆ จึงเป็นท่าที่แนะนำสำหรับการคลอดบุตรระยะที่สอง[31]
ในอียิปต์โบราณ ผู้หญิงได้คลอดลูกในท่านั่งยอง ๆ บนอิฐคู่หนึ่งที่เรียกว่า "อิฐคลอดบุตร" (birth bricks)[32]
ท่าเพศสัมพันธ์
[แก้]มีท่าเซ็กส์ "คาวเกิร์ล" หลายท่า ซึ่งผู้หญิงนั่งยอง ๆ เหนือผู้ชายที่นอนหงาย มีชื่อภาษาอังกฤษหลายชื่อรวมทั้ง Asian cowgirl (เอเชียนคาวเกิร์ล), frog squat position (ท่ากบนั่ง) และ froggystyle (สไตล์กบ)[33] ผู้หญิงสามารถหันหน้าไปข้างหน้า[34] หรือไปข้างหลัง[35]
ดูเพิ่ม
[แก้]- กอปนิค – เป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อยที่มีพฤติกรรมนั่งยอง ๆ ซึ่งเชื่อว่าเรียนรู้มาจากวัฒนธรรมเรือนจำของรัสเซีย เพื่อหลีกเลี่ยงการนั่งบนพื้นที่เย็น
เชิงอรรถและอ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Hewes, GW (April 1955). "World distribution of certain postural habits". American Anthropologist. 57 (2): 231–44. doi:10.1525/aa.1955.57.2.02a00040. JSTOR 666393.
- ↑ Dobrzynski, Judith H. (2004-10-17). "An Eye on China's Not So Rich and Famous". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-26. สืบค้นเมื่อ 2010-04-07.
- ↑ 3.0 3.1 "squat". Etymology of squat by etymonline. 2023-06-07. สืบค้นเมื่อ 2024-10-28.
- ↑ Kasuyama, Tatsuya; Sakamoto, Masaaki; Nakazawa, Rie (2009). "Ankle Joint Dorsiflexion Measurement Using the Deep Squatting Posture". Journal of Physical Therapy Science. Society of Physical Therapy Science. 21 (2): 195–199. doi:10.1589/jpts.21.195. ISSN 0915-5287.
- ↑ Krause, David A.; Cloud, Beth A.; Forster, Lindsey A.; Schrank, Jennifer A.; Hollman, John H. (2011). "Measurement of Ankle Dorsiflexion: A Comparison of Active and Passive Techniques in Multiple Positions" (PDF). Journal of Sport Rehabilitation. Human Kinetics. 20 (3): 333–344. doi:10.1123/jsr.20.3.333. ISSN 1056-6716. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-06-30.
- ↑ DPT, Bryan Ausinheiler (2012-11-28). "The #1 reason why people find deep squatting difficult". Posture Movement Pain. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-03-03. สืบค้นเมื่อ 2024-10-28.
- ↑ Mauss, Marcel. Les Techniques du corps 1934. Journal de Psychologie 32 (3–4). Reprinted in Mauss, Sociologie et anthropologie, 1936, Paris: PUF.
- ↑ Love, Dylan (2015-06-24). "Everything you need to know about Russian rap squats". The Daily Dot. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-19. สืบค้นเมื่อ 2024-10-29.
- ↑ Millard, Drew (2013-12-27). "Everything You Ever Wanted to Know About Rap Squats but Were Afraid to Ask". Vice. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-15. สืบค้นเมื่อ 2022-03-17.
- ↑ Cabatingan, Lux (2014-09-15). "Trend Alert: Gang Signs are Out, Rap Squats Are In". IX Daily. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-02-21.
- ↑ Lo, Kimberly (2013-10-09). "5 Yoga Tips to Open Up the Hips". elephant journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-09-22.
- ↑ "Garland Pose". Yoga Journal. 2007-08-28. สืบค้นเมื่อ 2009-06-12.
- ↑ 13.0 13.1 L. David Mech; Luigi Boitani (2010-10-01). Wolves: Behavior, Ecology, and Conservation. University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-51698-1.
- ↑ Elbroch, Mark; McFarland, Casey (2019-08-23). Mammal Tracks & Sign: A Guide to North American Species (ภาษาอังกฤษ). Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-8117-6778-1.
- ↑ Muller-Schwarze, D. (2012-12-06). Chemical Signals: Vertebrates and Aquatic Invertebrates (ภาษาอังกฤษ). Springer Science & Business Media. ISBN 978-1-4684-1027-3.
- ↑ "Kidney infection – Treatment". nhs.uk. National Health Service. 2018-01-04. สืบค้นเมื่อ 2019-02-21.
If you have a kidney infection, try not to 'hover' over the toilet seat when you go to the loo because it can result in your bladder not being fully emptied.
- ↑ "5 Bathroom Mistakes That Can Lead To Pelvic Floor Dysfunction". HuffPost Canadian version. 2016-07-21. สืบค้นเมื่อ 2019-02-21.
Hovering Over The Toilet
- ↑ 18.0 18.1 Chong, H. (2016). “Do East Asians Achieve Greater Knee Flexion than Caucasian North Americans, and are East Asian Kneeling and Squatting Styles Kinetically Different from North American Norms?”
- ↑ Han, Shuyang; Cheng, Gang; Xu, Peng (2015-01-01). "Three-dimensional lower extremity kinematics of Chinese during activities of daily living". Journal of Back and Musculoskeletal Rehabilitation (ภาษาอังกฤษ). 28 (2): 327–334. doi:10.3233/BMR-140523. ISSN 1053-8127. PMID 25096318.
- ↑ Jensen, L. K. (2008-02-01). "Knee osteoarthritis: influence of work involving heavy lifting, kneeling, climbing stairs or ladders, or kneeling/squatting combined with heavy lifting". Occupational and Environmental Medicine (ภาษาอังกฤษ). 65 (2): 72–89. doi:10.1136/oem.2007.032466. ISSN 1351-0711. PMID 17634247. S2CID 8867823.
- ↑ Liu, CM; Xu, L (February 2007). "[Retrospective study of squatting with prevalence of knee osteoarthritis]". Zhonghua Liu Xing Bing Xue Za Zhi (ภาษาจีน). 28 (2): 177–9. PMID 17649692.
- ↑ 22.0 22.1 Toğrol, E. (2000). "Bilateral peroneal nerve palsy induced by prolonged squatting". Military Medicine. 165 (3): 240–2. doi:10.1093/milmed/165.3.240. PMID 10741091.
- ↑ Macpherson, J M; Gordon, A J (1983-08-13). "Squatter's palsy". BMJ. BMJ. 287 (6390): 496–496. doi:10.1136/bmj.287.6390.496-a. ISSN 0959-8138.
- ↑ Kumaki, DJ (January 1987). "The facts of Kathmandu: squatter's palsy". JAMA. 257 (1): 28. PMID 3783899.
- ↑ Spinks, Rosie (2017-11-09). "The forgotten art of squatting is a revelation for bodies ruined by sitting". Quartz (publication). p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-11-14. สืบค้นเมื่อ 2017-11-14.
- ↑ "Tetralogy of Fallot - Symptoms and causes". Mayo Clinic (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-08-21.
- ↑ Murakami, T (2002). "Squatting: the hemodynamic change is induced by enhanced aortic wave reflection". Am. J. Hypertens. 15 (11): 986–88. doi:10.1016/S0895-7061(02)03085-6. PMID 12441219.
- ↑ Guntheroth, Warren G.; Mortan, Beverly C.; Mullins, Gay L.; Baum, David (1968). "Venous return with knee-chest position and squatting in tetralogy of Fallot". American Heart Journal. Elsevier BV. 75 (3): 313–318. doi:10.1016/0002-8703(68)90087-2. ISSN 0002-8703.
- ↑ BARNETT, CH (October 1954). "Squatting facets on the European talus". J Anat. 88 (4): 509–13. PMC 1244661. PMID 13211471.
- ↑ Trinkaus, Erik (1975). "Squatting among the neandertals: A problem in the behavioral interpretation of skeletal morphology". Journal of Archaeological Science. Elsevier BV. 2 (4): 327–351. doi:10.1016/0305-4403(75)90005-9. ISSN 0305-4403.
- ↑ Russell, JG (1969). "Moulding of the pelvic outlet". J Obstet Gynaecol Br Commonw. 76 (9): 817–20. doi:10.1111/j.1471-0528.1969.tb06185.x. PMID 5823681. S2CID 354336.
- ↑ Wilkinson, Richard H. (2003). The complete gods and goddesses of ancient Egypt. London: Thames & Hudson. pp. 152–53. ISBN 978-0-500-05120-7.
- ↑ "Sexual Positions". HowStuffWorks. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-23. สืบค้นเมื่อ 2010-10-22.
- ↑ "Squatting Cowgirl Sex Position". SexInfo101. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-05-29. สืบค้นเมื่อ 2024-10-31.
- ↑ "Squatting Rodeo Sex Position". SexInfo101. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-05-25. สืบค้นเมื่อ 2024-10-31.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Zhang, Sarah (2018-03-16). "Why Can't Everyone Do the 'Asian Squat'?". The Atlantic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-03-16. สืบค้นเมื่อ 2024-11-01.