ข้ามไปเนื้อหา

การนั่งยอง ๆ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เด็กเวียดนามนั่งยอง 

การนั่งยอง ๆ บ้างเรียก ยอง หรือ หย่อง เป็นท่าทางที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย น้ำหนักตัวจะอยู่ที่เท้าโดยงอหัวเข่าและสะโพก ส่วนการนั่งธรรมดาจะรับน้ำหนักตัวที่ปุ่มกระดูกก้น (ischial tuberosities) ซึ่งเป็นส่วนของกระดูกเชิงกราน โดยส่วนล่างของก้นจะสัมผัสกับพื้นหรือวัตถุราบ มุมระหว่างขาเมื่อนั่งยอง ๆ เริ่มตั้งแต่ศูนย์องศาไปจนถึงกางออกกว้าง ๆ โดยขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นตัวแปร อีกอย่างคือการเอนลำตัวส่วนบนไปข้างหน้าจากสะโพกการนั่งยอง ๆ อาจเป็นแบบเต็มตัวหรือเพียงบางส่วน

คนพื้นเมืองอเมริกันนั่งย่อตัว

การนั่งย่อตัวก็คล้าย ๆ กับการนั่งยอง ๆ อาจย่อขาข้างหนึ่งโดยคุกเข่าอีกข้างหนึ่ง[1] อาจยกส้นเท้าข้างหนึ่งหรือทัั้งสองขึ้น เด็กเล็ก ๆ มักนั่งยอง ๆ เองตามธรรมชาติ ผู้ใหญ่ชาวจีน[2] ชาวเอเชียอาคเนย์ และชาวยุโรปตะวันออก อาจนั่งยอง ๆ สลับกับนั่งและยืนเป็นปกติ

ศัพท์

[แก้]
การนั่งยอง ๆ ของเด็กกอปนิคที่เรียกว่า การนั่งยอง ๆ แบบสลาฟ (slav squat)

คำภาษาอังกฤษ squatting ที่อาจแปลได้ว่า นั่งยอง ๆ มาจากคำฝรั่งเศสโบราณ esquatir/escatir ซึ่งหมายความว่า "อัด/กดลง"[3] ส่วนการรับน้ำหนักเพื่อออกกำลังกายหรือเพื่อฝึกความแข็งแกร่ง เป็นความหมายที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 1954 [3]

ท่าพัก

[แก้]

การนั่งยอง ๆ แบบเต็มตัวพักน้ำหนักตัวลงบนเท้าโดยวางก้นลงที่ด้านหลังของน่อง อาจใช้เป็นท่าพักผ่อนหรือเพื่อทำงานที่พื้น โดยเฉพาะเมื่อพื้นสกปรกหรือเปียกเกินกว่าจะนั่งหรือคุกเข่าได้[1]

ผู้ที่ไม่สามารถวางส้นเท้าราบกับพื้นเมื่อนั่งยอง ๆ อาจเป็นเพราะเอ็นร้อยหวายสั้น[4][5][6] เนื่องกับนิสัย ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านี้จะนั่งยอง ๆ ได้ไม่นาน เพราะเมื่อยกส้นเท้าขึ้น การนั่งยอง ๆ จะไม่เสถียรเท่ากับเมื่อส้นเท้าอยู่บนพื้น[7]

ในวัฒนธรรมตะวันตก การนั่งยอง ๆ โดยประสานมือเข้าด้วยกันบางครั้งเรียกว่า "การนั่งยอง ๆ แบบนักแร็ป" "ท่าคนคุก" หรือ "ท่าคนในตาราง" ซึ่งมักใช้เป็นท่าถ่ายภาพ[8][9][10]

การออกกำลังกาย

[แก้]
นักเรียนนายร้อยนาวิกโยธินสหรัฐ กำลังย่อตัวเพื่อออกกำลัง

การฝึกความแข็งแรง

[แก้]

ในการฝึกความแข็งแรง ท่านั่งยองเป็นการออกกำลังกายทั่วร่างกาย หลัก ๆ ที่กล้ามเนื้อต้นขา สะโพก และก้น รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก เอ็นยึด และจุดยึดของเส้นเอ็นทั่วร่างกายส่วนล่าง ถือเป็นท่าออกกำลังกายที่สำคัญเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและขนาดของขาและก้น

"pistols squat" (ท่านั่งยองแบบปืนพก) เป็นท่านั่งยองขาเดียวที่พบบ่อยในการออกกำลังกายแบบครอสฟิต โดยขาที่ไม่ได้ใช้จะยกให้ขนานกับพื้น

"burpee" (เบอร์ปี) เป็นการออกกำลังกายทั้งร่างกายที่ฝึกความแข็งแรง รวมทั้งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่มีท่านั่งยองเป็นส่วนประกอบ มีการเคลื่อนไหวพื้นฐาน 4 ท่าที่เรียกว่า เบอร์ปีสี่จังหวะ (four-count burpee)

มาลาสนะหรืออุปเวสาสนะในโยคะ

[แก้]
ท่าโยคะ "มาลาสนะ"

อุปเวสาสนะ (แปลตรงตัวว่า "ท่านั่งลง") หรือที่รู้จักในชื่อ มาลาสนะ ซึ่งแปลว่า "ท่าพวงมาลัย" หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ท่านั่งยองแบบโยคะ เป็นอาสนะอย่างหนึ่งในโยคะ[11] อาสนะนี้เป็นท่านั่งยองโดยวางส้นเท้าแนบกับพื้นและห่างกันเท่ากับสะโพก (หรือกว้างกว่าเล็กน้อยถ้าจำเป็น) โดยปลายเท้าชี้ออกเป็นแนวทแยง ลำตัวโน้มไปด้านหน้าระหว่างต้นขา ข้อศอกยันด้านในของเข่า และพนมมือไว้ด้านหน้าของหน้าอก (ที่เรียกว่าอัญชลีมุทรา)[12]

ไท้เก๊ก

[แก้]

การถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ

[แก้]

การนั่งยองอุจจาระก็คือการนั่งยองให้ก้นใกล้พื้นแล้วถ่าย มีส้วมนั่งยองเช่นนี้ที่พบได้ทั่วไปในที่ต่าง ๆ ในโลก

การนั่งยอง ๆ แบบลอยก้นเพื่อปัสสาวะที่โถส้วมซึ่งอาจปนเปื้อน อาจทำให้ปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ[16] และไม่ดีต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน[17]

สัตว์คล้ายสุนัข (รวมทั้งสุนัข) ในวงศ์ Canidae มักปัสสาวะในท่านั่งยอง แม้ปกติจะยกขาขึ้นเมื่อทำเครื่องหมายอาณาเขตด้วยกลิ่น[13]

สุขภาพ

[แก้]
ส้นเท้าของหญิงชาวยุโรปคนนี้ยกขึ้นจากพื้นเมื่อนั่งยอง ๆ คนผิวขาวมักจะงอปลายเท้าเมื่อคุกเข่าหรือนั่งยอง ๆ ชาวเอเชียตะวันออกมักจะวางเท้าราบกับพื้น[18]

ในวัฒนธรรมเอเชียตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม ท่าที่ต้องงอข้อมาก ๆ รวมถึงการคุกเข่าและการนั่งยอง ๆ มักใช้บ่อยกว่าในชีวิตประจำวัน[19] เทียบกับอเมริกาเหนือ ที่มักคุกเข่าหรือนั่งยอง ๆ น้อยกว่า ยกเว้นเมื่อทำงาน ทำกิจทางศาสนา หรือมีกิจกรรมยามว่าง รูปแบบนิยมของท่าดังกล่าวจะต่าง ๆ กันไปตามกลุ่มชาติพันธุ์ ในขณะที่คนผิวขาวมักจะงอปลายเท้าเมื่อคุกเข่าหรือนั่งยอง ๆ ชาวเอเชียตะวันออกมักจะวางเท้าราบกับพื้น[18]

มีรูปแบบการคุกเข่าสามัญสองอย่างคือ แบบเหยียดปลายเท้าและแบบกระดกปลายเท้าขึ้น ขาข้างที่อยู่ด้านหน้าอาจได้รับแรงหุบเข่าเข้าตรงกลางและแรงงอเข่าที่สูงขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับการเพิ่มน้ำหนักที่ข้อเข่า[20]

ความเสี่ยงโรคข้อเข่าเสื่อม

[แก้]

โรคเข่าเสื่อมเกิดมากขึ้นในผู้ที่นั่งยอง ๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายปี[21] มีหลักฐานว่าการนั่งยอง ๆ เป็นเวลานานอาจก่อภาวะอัมพาตเหตุไขว่ห้าง (peroneal nerve palsy) ทั้งสองข้าง[22] ชื่อทั่วไปสำหรับอาการนี้คือ โรคอัมพาตของผู้นั่งยอง (squatter's palsy) แม้ก็อาจมีสาเหตุอื่นที่ก่ออาการนี้[23][24][22] สำหรับสังคมที่แทบไม่นั่งยอง ๆ การใช้ท่านี้ซึ่งต่างกับปกติอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ[25]

ในโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิด tetralogy of Fallot

[แก้]

เด็กวัยหัดเดินและเด็กโตที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิด tetralogy of Fallot มักจะนั่งยอง ๆ โดยสัญชาตญาณในระหว่างที่มีอาการ คือภาวะที่ผิวหนังเขียวคล้ำอย่างฉับพลัน เนื่องจากระดับออกซิเจนในเลือดลดลง เป็นท่าที่ช่วยให้เลือดไหลไปที่ปอดได้มากขึ้น[26] การนั่งยองช่วยเพิ่มแรงต้านของหลอดเลือดทั่วร่างกายและช่วยให้หัวใจลัดเลือด (shunt) กลับทิศทางชั่วคราว เพราะเพิ่มความดันที่หัวใจห้องซ้าย ทำให้เลือดจากห้องขวาลัดวงจรไปห้องซ้ายลดลง จึงลดปริมาณเลือดที่ขาดออกซิเจนในการเข้าสู่ระบบไหลเวียนทั่วร่างกาย[27][28]

ลักษณะผิวกระดูกของการนั่งยอง 

[แก้]

มีลักษณะเฉพาะของการนั่งยอง ๆ ซึ่งเกิดที่ผิวกระดูกข้อต่อระหว่างกระดูกหน้าแข้งส่วนปลายกับกระดูกข้อเท้าซึ่งพบในซากกระดูก เกิดจากการสัมผัสกันระหว่างกระดูกทั้งสองในขณะที่เท้ากระดกงอขึ้นมากเกินปกติ ซึ่งใช้เป็นตัวบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นนั่งยอง ๆ เป็นประจำหรือไม่[29][30]

ท่าคลอดลูก

[แก้]

การนั่งยอง ๆ เพิ่มความดันในช่องเชิงกรานโดยใช้แรงกล้ามเนื้อน้อยที่สุด ในท่านั่งยอง ช่องคลอดจะเปิดกว้างขึ้น 20–30% ยิ่งกว่าท่าอื่น ๆ จึงเป็นท่าที่แนะนำสำหรับการคลอดบุตรระยะที่สอง[31]

ในอียิปต์โบราณ ผู้หญิงได้คลอดลูกในท่านั่งยอง ๆ บนอิฐคู่หนึ่งที่เรียกว่า "อิฐคลอดบุตร" (birth bricks)[32]

ท่าเพศสัมพันธ์

[แก้]

มีท่าเซ็กส์ "คาวเกิร์ล" หลายท่า ซึ่งผู้หญิงนั่งยอง ๆ เหนือผู้ชายที่นอนหงาย มีชื่อภาษาอังกฤษหลายชื่อรวมทั้ง Asian cowgirl (เอเชียนคาวเกิร์ล), frog squat position (ท่ากบนั่ง) และ froggystyle (สไตล์กบ)[33] ผู้หญิงสามารถหันหน้าไปข้างหน้า[34] หรือไปข้างหลัง[35]

ดูเพิ่ม

[แก้]
  • กอปนิค – เป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อยที่มีพฤติกรรมนั่งยอง ๆ ซึ่งเชื่อว่าเรียนรู้มาจากวัฒนธรรมเรือนจำของรัสเซีย เพื่อหลีกเลี่ยงการนั่งบนพื้นที่เย็น

เชิงอรรถและอ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Hewes, GW (April 1955). "World distribution of certain postural habits". American Anthropologist. 57 (2): 231–44. doi:10.1525/aa.1955.57.2.02a00040. JSTOR 666393.
  2. Dobrzynski, Judith H. (2004-10-17). "An Eye on China's Not So Rich and Famous". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-26. สืบค้นเมื่อ 2010-04-07.
  3. 3.0 3.1 "squat". Etymology of squat by etymonline. 2023-06-07. สืบค้นเมื่อ 2024-10-28.
  4. Kasuyama, Tatsuya; Sakamoto, Masaaki; Nakazawa, Rie (2009). "Ankle Joint Dorsiflexion Measurement Using the Deep Squatting Posture". Journal of Physical Therapy Science. Society of Physical Therapy Science. 21 (2): 195–199. doi:10.1589/jpts.21.195. ISSN 0915-5287.
  5. Krause, David A.; Cloud, Beth A.; Forster, Lindsey A.; Schrank, Jennifer A.; Hollman, John H. (2011). "Measurement of Ankle Dorsiflexion: A Comparison of Active and Passive Techniques in Multiple Positions" (PDF). Journal of Sport Rehabilitation. Human Kinetics. 20 (3): 333–344. doi:10.1123/jsr.20.3.333. ISSN 1056-6716. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-06-30.
  6. DPT, Bryan Ausinheiler (2012-11-28). "The #1 reason why people find deep squatting difficult". Posture Movement Pain. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-03-03. สืบค้นเมื่อ 2024-10-28.
  7. Mauss, Marcel. Les Techniques du corps 1934. Journal de Psychologie 32 (3–4). Reprinted in Mauss, Sociologie et anthropologie, 1936, Paris: PUF.
  8. Love, Dylan (2015-06-24). "Everything you need to know about Russian rap squats". The Daily Dot. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-19. สืบค้นเมื่อ 2024-10-29.
  9. Millard, Drew (2013-12-27). "Everything You Ever Wanted to Know About Rap Squats but Were Afraid to Ask". Vice. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-15. สืบค้นเมื่อ 2022-03-17.
  10. Cabatingan, Lux (2014-09-15). "Trend Alert: Gang Signs are Out, Rap Squats Are In". IX Daily. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-02-21.
  11. Lo, Kimberly (2013-10-09). "5 Yoga Tips to Open Up the Hips". elephant journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-09-22.
  12. "Garland Pose". Yoga Journal. 2007-08-28. สืบค้นเมื่อ 2009-06-12.
  13. 13.0 13.1 L. David Mech; Luigi Boitani (2010-10-01). Wolves: Behavior, Ecology, and Conservation. University of Chicago Press. ISBN 978-0-226-51698-1.
  14. Elbroch, Mark; McFarland, Casey (2019-08-23). Mammal Tracks & Sign: A Guide to North American Species (ภาษาอังกฤษ). Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-8117-6778-1.
  15. Muller-Schwarze, D. (2012-12-06). Chemical Signals: Vertebrates and Aquatic Invertebrates (ภาษาอังกฤษ). Springer Science & Business Media. ISBN 978-1-4684-1027-3.
  16. "Kidney infection – Treatment". nhs.uk. National Health Service. 2018-01-04. สืบค้นเมื่อ 2019-02-21. If you have a kidney infection, try not to 'hover' over the toilet seat when you go to the loo because it can result in your bladder not being fully emptied.
  17. "5 Bathroom Mistakes That Can Lead To Pelvic Floor Dysfunction". HuffPost Canadian version. 2016-07-21. สืบค้นเมื่อ 2019-02-21. Hovering Over The Toilet
  18. 18.0 18.1 Chong, H. (2016). “Do East Asians Achieve Greater Knee Flexion than Caucasian North Americans, and are East Asian Kneeling and Squatting Styles Kinetically Different from North American Norms?”
  19. Han, Shuyang; Cheng, Gang; Xu, Peng (2015-01-01). "Three-dimensional lower extremity kinematics of Chinese during activities of daily living". Journal of Back and Musculoskeletal Rehabilitation (ภาษาอังกฤษ). 28 (2): 327–334. doi:10.3233/BMR-140523. ISSN 1053-8127. PMID 25096318.
  20. Jensen, L. K. (2008-02-01). "Knee osteoarthritis: influence of work involving heavy lifting, kneeling, climbing stairs or ladders, or kneeling/squatting combined with heavy lifting". Occupational and Environmental Medicine (ภาษาอังกฤษ). 65 (2): 72–89. doi:10.1136/oem.2007.032466. ISSN 1351-0711. PMID 17634247. S2CID 8867823.
  21. Liu, CM; Xu, L (February 2007). "[Retrospective study of squatting with prevalence of knee osteoarthritis]". Zhonghua Liu Xing Bing Xue Za Zhi (ภาษาจีน). 28 (2): 177–9. PMID 17649692.
  22. 22.0 22.1 Toğrol, E. (2000). "Bilateral peroneal nerve palsy induced by prolonged squatting". Military Medicine. 165 (3): 240–2. doi:10.1093/milmed/165.3.240. PMID 10741091.
  23. Macpherson, J M; Gordon, A J (1983-08-13). "Squatter's palsy". BMJ. BMJ. 287 (6390): 496–496. doi:10.1136/bmj.287.6390.496-a. ISSN 0959-8138.
  24. Kumaki, DJ (January 1987). "The facts of Kathmandu: squatter's palsy". JAMA. 257 (1): 28. PMID 3783899.
  25. Spinks, Rosie (2017-11-09). "The forgotten art of squatting is a revelation for bodies ruined by sitting". Quartz (publication). p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-11-14. สืบค้นเมื่อ 2017-11-14.
  26. "Tetralogy of Fallot - Symptoms and causes". Mayo Clinic (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-08-21.
  27. Murakami, T (2002). "Squatting: the hemodynamic change is induced by enhanced aortic wave reflection". Am. J. Hypertens. 15 (11): 986–88. doi:10.1016/S0895-7061(02)03085-6. PMID 12441219.
  28. Guntheroth, Warren G.; Mortan, Beverly C.; Mullins, Gay L.; Baum, David (1968). "Venous return with knee-chest position and squatting in tetralogy of Fallot". American Heart Journal. Elsevier BV. 75 (3): 313–318. doi:10.1016/0002-8703(68)90087-2. ISSN 0002-8703.
  29. BARNETT, CH (October 1954). "Squatting facets on the European talus". J Anat. 88 (4): 509–13. PMC 1244661. PMID 13211471.
  30. Trinkaus, Erik (1975). "Squatting among the neandertals: A problem in the behavioral interpretation of skeletal morphology". Journal of Archaeological Science. Elsevier BV. 2 (4): 327–351. doi:10.1016/0305-4403(75)90005-9. ISSN 0305-4403.
  31. Russell, JG (1969). "Moulding of the pelvic outlet". J Obstet Gynaecol Br Commonw. 76 (9): 817–20. doi:10.1111/j.1471-0528.1969.tb06185.x. PMID 5823681. S2CID 354336.
  32. Wilkinson, Richard H. (2003). The complete gods and goddesses of ancient Egypt. London: Thames & Hudson. pp. 152–53. ISBN 978-0-500-05120-7.
  33. "Sexual Positions". HowStuffWorks. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-23. สืบค้นเมื่อ 2010-10-22.
  34. "Squatting Cowgirl Sex Position". SexInfo101. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-05-29. สืบค้นเมื่อ 2024-10-31.
  35. "Squatting Rodeo Sex Position". SexInfo101. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-05-25. สืบค้นเมื่อ 2024-10-31.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]