กรณีพิพาทกู่เต็งนาโย่ง
กรณีพิพาทกู่เต็งนาโย่ง | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
![]() อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
| |||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
![]() ![]() | ไม่ทราบ | ||||||
กำลัง | |||||||
|
| ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
|
|
กรณีพิพาทกู่เต็งนาโย่ง[1] คือปฏิบัติการทางทหารระหว่างกองทัพบกไทยและกองทัพบกพม่า ในพื้นที่ชายแดนไทย–พม่า บริเวณฐานปฏิบัติการปางหนุนต่อเนื่องถึงฐานปฏิบัติการกู่เต็งนาโย่ง ในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงและอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายของประเทศไทย ระหว่างวันที่ 9 - 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544[2]
การปะทะดังกล่าวเป็นการใช้อาวุธหนักของกองทัพไทยกับกองทัพพม่าครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งหลังจากเข้าสู่ยุคปัจจุบัน[3]
สาเหตุ
[แก้]การปฏิบัติการของกองทัพพม่านั้นเกิดมาจากการจัดกำลังของกองทัพพม่าจากกองพันทหารราบเบาที่ 331[4] เพื่อเข้าปฏิบัติการกวาดล้างกองกำลังของกองทัพรัฐฉาน (SSA) ที่เป็นชาวไทใหญ่ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ชายแดนไทย ในพื้นที่ฝั่งพม่าคือดอยก่อวัน ก่อเดือน ก่อคอม ตรงข้ามกับฝั่งไทยคือบ้านปางหัน และบ้านแม่หม้อ ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เนื่องจากความเสียเปรียบด้านภูมิประเทศของทหารพม่าหากจะเข้าตีจากฝั่งประเทศตนเอง ทำให้ทหารพม่าได้นำกำลังประมาณ 200[3] - 500[5] นาย รุกล้ำเขตแดนเข้ามาในประเทศไทยเพื่อเข้าตียึดฐานปฏิบัติการปางหนุนที่เป็นที่ตั้งของกองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 963 และควบคุมตัวทหารพรานในฐานจำนวน 19 นายไว้ เพื่อใช้เป็นฐานในการโจมตีกองกำลังของไทยใหญ่ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544[2] เวลาประมาณ 17.00 น.[3] ประกอบกับมีกองกำลังทหารพม่าเข้ายึดครองบริเวณยอดเนินพิกัด 47 QNC 908600 ที่เรียกว่ากู่เต็งนาโย่งในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายและดัดแปลงเป็นที่มั่นสำหรับตรวจการณ์ทั้งฝั่งพม่าและฝั่งไทย[4]มาตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2543[5]
ยุทธการ
[แก้]กองทัพบกไทย โดยกองทัพภาคที่ 3 ได้จัดกำลังตอบโต้เพื่อเข้าตีและยึดฐานปฏิบัติการปางหนุนกลับคืนพร้อมทั้งช่วยเหลือกำลังพลทั้ง 19 นายจากกองทัพพม่าโดยใช้กำลังเข้าพลักดันกองกำลังของกองทัพพม่าดังกล่าวออกไป พร้อมทั้งจัดกำลังอีกส่วนเข้าตีทหารพม่าจากฐานปฏิบัติการกู่เต็งนาโย่งเข้าไปยังที่ตั้งของทหารพม่าในด้านของฐานนี้เพื่อสร้างอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าต่อกองทัพพม่า เหตุการณ์ดังกล่าวจึงยุติลงด้วยการเจรจาหยุดยิง ยึดฐานปฏิบัติการปางหนุนคืนและช่วยเหลือกำลังพลทหารพรานทั้ง 19 นายได้[2]
สำหรับกำลังพลในการปฏิบัติการนั้น ส่วนของฐานปฏิบัติการกู่เต็งนาโย่งเป็นกำลังจากกองพลทหารม้าที่ 1 จำนวน 1 กองร้อยเตรียมพร้อม พร้อมกับรถถังเบาแบบ 21 เอฟวี101 สกอร์เปียน กำลังจากหมวดลาดตระเวนระยะไกล กองกำลังผาเมือง ส่วนของฐานปฏิบัติการปางหนุนนั้นเป็นกำลังจากทหารพราน เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 120 ม.ม. จากกองร้อยเครื่องยิงหนัก[2] หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารม้าที่ 3 และการปฏิบัติการพิเศษจากกองพันจู่โจม[4] การปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามแผนเผชิญเหตุของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งนโยบายของ พลเอก วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ แม่ทัพภาคที่ 3 ในเวลานั้นคือการตอบโต้ด้วยอัตราส่วน หากยิงมา 1 นัดจะต้องตอบโต้กลับไป 3 นัด[2]
ปฏิบัติการทางทหาร
[แก้]ในคืนวันที่ 9 ต่อเนื่องกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 กองทัพบกได้มีคำสั่งการให้กองพันจู่โจม หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จัดกำลังจำนวน 1 กองร้อยจู่โจมเพื่อปฏิบัติการพิเศษยึดฐานปางหนุนคืนจากฝ่ายพม่า[4] โดยเป็นหน่วยปฏิบัติการในแนวหน้า และสนับสนุนการเข้าตีโดยกองกำลังทหารพรานจากองทัพภาคที่ 3 พร้อมทั้งมีการเตรียมพร้อมกำลังขนาดใหญ่ของทหารราบและทหารม้าเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจลุกลาม[3]
จากนั้นเวลา 03.40 น. ของวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 หน่วรบพิเศษได้เคลื่อนกำลังเข้าไปยังฐานปางหนุนเพื่อช่วยเหลือทหารพรานที่ถูกคุมตัวไว้ทั้ง 19 นาย โดยใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงได้ช่วยเหลือทหารพรานทั้งหมดออกจากฐานดังกล่าวได้[3] และได้ดำเนินการทางการทูตกับประเทศพม่าและมีมติร่วมกันจากการหารือที่ท่าขี้เหล็กของทั้งสองประเทศ ให้พม่าถอนทหารออกจากฐานปางหนุนก่อนเวลา 17.00 น. ของวันที่ 10 กุมภาพันธ์ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ ยังคงมีการคงทหารไว้ในฐานต่อไป[5]
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 เวลา 03.00 น. กองร้อยจู่โจมได้ปฏิบัติการเคลื่อนกำลังเข้าไปยังเป้าหมายและได้ปะทะรวมถึงซุ่มยิงกองกำลังทหารพม่าจากบริเวณพื้นที่ตรงข้ามเป้าหมาาย[4] เวลา 05.45 น. กองกำลังผาเมืองได้ปฏิบัติการเข้าตีทหารพม่า โดยแม่ทัพภาคที่ 3 ได้สั่งการให้ยิงถล่มไปยังฐานปฏิบัติการปางหนุนซึ่งเหลือแค่เพียงทหารพม่าที่ยึดครองอยู่ ทำให้ฝ่ายพม่าเกิดการสูญเสียอย่างหนัก และระดมกำลังเสริมจากเชียงตุง พร้อมด้วยรถถังแบบ ที-52 จากเมืองเชียงตุง และฝ่ายไทยสามารถรับรู้การเคลื่อนกำลังจากข่าวกรองในพื้นที่ จึงได้เสริมกำลังเพื่อตอบโต้ประกอบไปด้วย ปืนใหญ่ขนาด 105 ม.ม. เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 120 ม.ม. รถถังเบาแบบ 21 เอฟวี101 สกอร์เปียน พร้อมทั้งยิงสนับสนุนไปยังฐานปฏิบัติการปางหนุน โดยเกิดการปะทะกันตลอดแนวชายแดนไทยพม่าประมาณ 30 กิโลเมตร จากฐานปฏิบัติการปางหนุน ไปจนถึงฐานปฏิบัติการกู่เต็งนาโย่งในปัจจุบัน ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีการตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารของไทยบริเวณนั้น เนื่องจากอยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิของทั้งสองประเทศ และระดมยิงไปยังฐานของทหารพม่าในฝั่งประเทศพม่า ทำให้ที่ตั้งของที่บัญชาการทางยุทธวิธี (Tactical Command Post) ของทหารพม่าละลายทั้งฐาน และนายทหารยศพันโทของพม่าเสียชีวิตพร้อมกับผู้ใต้บังคับบัญชาประมาณ 10 นาย
เวลา 12.00-14.00 น. พม่าตอบโต้ด้วยการยิงเครื่องยิงลูกระเบิด (ปืน ค.)[3] และปืนใหญ่[5] เข้าใส่ตลาดแม่สาย[3] วัดถ้ำผาจม วัดเวียงพาน บ้านป่าเหมือด หลังโรงพยาบาลแม่สาย และหลังวัดพระธาตุดอยวาวในฝั่งไทย[5] จนทำให้มีราษฎรชาวไทยเสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บอีก 8 ราย[3] ทหารไทยบาดเจ็บ 9[5] - 11[4] นาย รถยนต์เสียหาย 1 คัน[5] และเกิดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของทั้งสองฝ่ายว่าทหารพม่าจะบุกเข้าโจมตีแม่สาย และทหารไทยจะบุกเข้ายึดครองเมืองท่าขี้เหล็กและลึกไปจนถึงเชียงตุง พร้อมทั้งมีการเสริมกำลังในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายและท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า รวมทั้งฝ่ายไทยได้เสริมกำลังทหารปืนใหญ่ซึ่งนำโดย พันโท ศุภฤกษ์ สถาพรผล กองพันทหารม้าที่ 18 ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองพันทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง ไปยังพื้นที่ดอยเวา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จำนวน 4 กองร้อยทหารปืนใหญ่ ซึ่งมีภูมิประเทศที่ได้เปรียบเชิงยุทธวิธีเหนือกว่าพม่า และสังเกตเห็นที่ทำการทางยุทธวิธีของทหารพม่าชัดเจน[3] รวมถึงได้เข้าผลักดันทหารออกจากพื้นที่สำนักสงฆ์กู่เต็งนาโย่ง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งทหารพม่าได้เข้ามายึดครองในพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่ธันวาคม พ.ศ. 2543[5]
ด้วยอำนาจในการรบที่สูงและรุนแรงกว่าโดยเฉพาะด้านการยิงทำให้เวลา 19.00 น. ทหารพม่าจึงได้ขอเจรจาหยุดยิง และมีทหารพม่าถูกทหารไทยจับกุมได้ 1 นาย[2] ในขณะที่มีทหารไทยถูกทหารพม่าจับกุม 1 นาย[4]เช่นกัน[3]
ปฏิบัติการทางการทูต
[แก้]ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศได้มีการเปิดเผยบันทึกช่วยจำที่ได้ยื่นต่อเอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 โดย หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญอู ลา หม่อง เอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทยมาเข้าพบ และได้ระบุรายละเอียดส่วนของเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งการเจรจาทางการทูต และปฏิบัติการทางทหารของประเทศพม่า ซึ่งส่วนของทางการทูต ประกอบไปด้วย[5]
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 หลังจากทหารพม่าได้ยึดฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 963 (ฐานฯ ปางหนุน) แล้ว รัฐบาลไทยพยายามแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ผ่านการประสานงานผ่านผู้ช่วยทูตทหารไทยประจำย่างกุ้ง และผู้ช่วยทูตทหารพม่าประจำประเทศไทย รวมไปถึงได้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-พม่าส่วนท้องถิ่น หรือ TBC ในเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า และได้มติว่าทหารพม่าจะถอนกำลังออกจากฐานปฏิบัติการปางหนุนภายในเวลา 17.00 น. ของวันเดียวกัน แต่ทหารพม่าไม่ได้ถอนกำลังออกจากฐานแต่อย่างใด ทำให้ประเทศไทยตัดสินใจเปิดปฏิบัติการทางทหารเพื่อผลักดันทหารพม่าออกจากพื้นที่ประเทศไทยบริเวณฐานปางหนุน และเกิดการยิงปืนใหญ่เข้าใส่พื้นที่พลเรือนในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายจนมีประชาชนเสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 8 ราย บ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนได้รับความเสียหาย ไทยถือว่าพม่าได้ละเมิดอธิปไตยของไทยและไม่อาจยอมรับได้ จึงได้มีการยื่นข้อเรียกร้องทางการทูต 3 ข้อ ได้แก่[5]
- ให้ทางการพม่ายุติการดำเนินการที่ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยดินแดนไทย รวมไปถึงการยั่วยุอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
- ชดใช้ค่าเสียหายให้กับประชาชนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมไปถึงค่าเสียหายที่เกิดต่อพลเรือนไทยในกรณีดังกล่าว
- เรียกร้องให้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-พม่า (Regional Border Committee: RBC) ครั้งที่ 18 อย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนร่วมกันป้องกันปัญหาในอนาคต
ผลที่ตามมา
[แก้]ทหารไทยและทหารพม่าชาตละ 1 นายที่ถูกจับกุมจากฝ่ายตรงข้ามในปฏิบัติการดังกล่าว ได้รับการปล่อยตัวภายหลังจากการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศหลังจากถูกคุมขังเป็นระยะเวลาเกือบปี[3]
ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวยังถือเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้มีการตกลงเส้นเขตแดนที่ชัดเจน เนื่องจากการถือแผนที่คนละฉบับและอัตราส่วนต่างกัน ทำให้มีการถือแนวสันปันน้ำตามข้อตกลงคนละส่วนกัน จึงมีการวางกำลังทหารของทั้งสองประเทศเผชิญหน้ากันอยู่ในส่วนของทางทหาร แต่ความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ ในพื้นที่ยังอยู่ในระดับดี[2]
วาสนา นาน่วม นักหนังสือพิมพ์และนักข่าวสายทหารของไทย ได้ออกมาระบุในคลิปวีดีโอบนยูทูบของตนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2566 ว่าการปะทะและปฏิบัติการดังกล่าวถือว่าเป็นการปฏิบัติการครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของกองทัพไทยและเป็น "สงครามที่กอบกู้ศักดิ์ศรีของทหารไทย เนื่องจากทหารพม่าได้บุกเข้ามายึดฐานปางหนุนของฝ่ายไทยก่อน"[3]
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งปฏิบัติการที่ไม่ถูกพูดถึงอย่างเป็นทางการในช่วงแรกหลังเหตุการณ์ เนื่องจากยังถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ทำให้มีกระแสข่าวลือในเหตุการณ์ดังกล่าวในรูปแบบที่หลากหลาย[3] จนกระทั่งปัจจุบันกองทัพบกจึงได้มีการเปิดเผยเรื่องราวการปะทะในปฏิบัติการดังกล่าวต่อสี่อมวลชนในการบรรยายสรุปที่ฐานปฏิบัติการกู่เต็งนาโย่ง[2] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 หลังจากผ่านไปกว่า 22 ปี[3]
การเข้าใจผิด
[แก้]เนื่องจากการปะทะดังกล่าวถูกเก็บเป็นความลับและไม่มีการให้ข้อมูลอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 หลังจากปฏิบัติการ ทำให้มีผู้พยายามรวบรวมข้อมูลและนำมาสรุปเพื่อเผยแพร่ ทำให้มีข้อมูลหลายส่วนที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และข้อมูลหลายส่วนไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยจนเป็นหัวข้อในเว็บบอร์ดพันทิป.คอมคือเรื่องชื่อเรียกของเนิน เนื่องจากมีการเรียกเนินตามความสูงที่ผิดจากความเป็นจริง คือการเรียกฐานปฏิบัติการปางหนุนว่าเป็นเนิน 9631 ซึ่งเป็นคำเรียกระดับความสูงจากน้ำทะเลของการทหาร แต่ในความเป็นจริงแล้วฐานปฏิบัติการดังกล่าวอยู่ในระดับความสูงเพียง 1,430 เมตร ซึ่งคาดว่าผิดเพี้ยนมาจากหมายเลขของหน่วยทหารพรานที่ประจำการอยู่ที่ฐานดังกล่าวคือกองร้อยทหารพรานที่ 963[5] และ 1 คาดว่ามาจากจำนวนทหารที่ประจำการอยู่คือ 1 หมวด[6]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ เกียรติยศจักรดาว 2562 (PDF). โรงเรียนเตรียมทหาร. p. 75.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 ร้อยเอก อิสรพล ศรีชมชื่น, การบรรยายสรุปของกำลังพลที่ฐานปฏิบัติการกู่เต็งนาโย่ง ถึงเหตุการณ์ในปี พ.ศ. 2544, กองทัพบก, ไทยอาร์มฟอร์ซ.คอม
- ↑ 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 3.10 3.11 3.12 3.13 สัมภาษณ์, เปิดลับ! 22ปีไทย รบพม่า เบื้องหลังปฏิบัติการ กู้แผ่นดิน ฐานปางหนุน-กู่เต็งนาโย่ง กู้ศักดิ์ศรีทหารไทย. วาสนา นาน่วม
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 กาลานุกรม หน่วยรบพิเศษ กองทัพบกไทย จากอดีตสู่ปัจจุบัน. หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ. p. 108.
- ↑ 5.00 5.01 5.02 5.03 5.04 5.05 5.06 5.07 5.08 5.09 5.10 "กระทรวงการต่างประเทศเชิญเอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทยเข้าพบเพื่อยื่นบันทึกช่วยจำ". ryt9.com. กระทรวงการต่างประเทศ.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "เนิน 9631 ไม่มีนะครับ...ฐานปฏิบัติการปางหนุน เนินสูง 1,430 ม." Pantip.