ข้ามไปเนื้อหา

อัชเชอร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Usher (singer))
อัชเชอร์
อัชเชอร์ในปี 2016
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อเกิดอัชเชอร์ เรย์มอนด์ที่ 4
(Usher Raymond IV)
เกิด (1978-10-14) ตุลาคม 14, 1978 (46 ปี)
ที่เกิดแอตแลนต้า,จอร์เจีย,สหรัฐอเมริกา
แนวเพลงอาร์แอนด์บี,ป็อป
อาชีพนักร้อง,นักแสดง,นักเต้น
ช่วงปีพ.ศ. 2536 - ปัจจุบัน
ค่ายเพลงRCA
(2012–ปัจจุบัน)
LaFace Records
(1994–2000; 2004–2012)
Arista Records
(2001–2004)
คู่สมรส
  • Tameka Foster (สมรส 2007; หย่า 2009)
  • Grace Miguel (สมรส 2015; หย่า 2018)
  • Jennifer Goicoechea (สมรส 2024)
เว็บไซต์UsherWorld.com

อัชเชอร์ (อังกฤษ: Usher) หรือ ชื่อจริงว่า อัชเชอร์ เรย์มอนด์ที่ 4 (อังกฤษ: Usher Raymond IV) เกิดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2521 เป็นนักร้องชาวอเมริกัน สไตล์อาร์แอนด์บี เจ้าของ 5 รางวัลแกรมมี่ ด้วยยอดขายอัลบั้ม 65 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก ...

ประวัติ

[แก้]

อัชเชอร์เกิดในดัลลัส,เท็กซัส โตในเมืองแชตตานูกา รัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่ออายุ 6 ปี อัชเชอร์เริ่มร้องเพลงในคณะนักร้องในโบสถ์ พออายุ 12 ปี เขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย กับครอบครัว เมื่ออายุ 13 ปี อัชเชอร์ ได้แสดงโชว์ในรายการ "Star Search" ในเมืองแอตแลนต้าผู้บริหารของ “ ลา ฟาส เร็คคอร์ด” (La Face record) ที่ชื่อ "แอล. เอ. รีด" (L.A. Reid) ได้เห็นความสามารถของอัชเชอร์ในการแสดงครั้งนี้ และเสนอการเซ็นสัญญาทำอัลบั้มเพลงแก่เขา ใน พ.ศ. 2537 อัชเชอร์ ได้ออกอัลบั้มแรกในชื่อว่า Usher โดยมี "ฌอน พัฟฟี่ โคมป์ซ" เป็นโปรดิวเซอร์ผู้ร่วมบริหาร อัลบั้มชุดนี้ซึ่งรวมถึง ซิงเกิลแรกที่ชื่อ "Think of You"

หลังจากที่เรียนจบโรงเรียนมัธยมตอนปลาย ใน พ .ศ. 2540 อัชเชอร์ ได้ออกอัลบั้มที่สองที่มีชื่อว่า My Way อัลบั้มชุดนี้ประกอบไปด้วยเพลงทั้งหมด 9 เพลง โดย อัชเชอร์ได้ร่วมเขียนเพลงด้วยถึง 6 เพลง อัลบั้มนี้ได้โปรดิวเซอร์อย่าง "แฌรแมน ดูปรี" (Jermaine Dupri) "เบบี้เฟส" และโคมป์ซมาร่วมงาน ซิงเกิลแรกในงานเพลงชุดนี้ "You Make Me Wanna" ซิงเกิลนี้ได้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งในชาร์ทเพลงแนว อาร์แอนด์บี เป็นเวลาถึง 11 สัปดาห์ และอยู่ในอันดับ 2 ในชาร์ตเพลงแนว เพลงป็อป (Pop) ซิงเกิลถัดมา "Nice & Slow" ก็สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทซิงเกิลในอเมริกาเป็นเวลา 2 อาทิตย์

ใน พ .ศ. 2541 อัชเชอร์ ได้มีผลงานการแสดงครั้งแรก ในภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่ชื่อ The Faculty และนำแสดงในภาพยนตร์แนวชีวิตของนักเรียนมัธยมปลายในเมืองที่ชื่อ Light It Up และยังได้ร่วมแสดงในหนังเรื่อง She's All That ในขณะนั้นอัชเชอร์ได้ออกบันทึกคอนเสิร์ตที่ชื่อว่า "Simply Live"

ในปลายปี พ.ศ. 2542 เขาได้ออกอัลบั้มที่ชื่อว่า 8701 มีซิงเกิลแรกคือ "Pop Ya Collar" เดิมจะใช้ชื่ออัลบั้มว่า All About U แต่มีเพลงบางเพลงหลุดมาทางอินเทอร์เน็ต และไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีควร จึงได้กลับไปทำใหม่ จนเปลี่ยนชื่อมาเป็น “8701” มีความหมายคือช่วงเวลาในอาชีพของเขา [1987-2001] และวางขายในวัน 8/7/01 สองซิงเกิลแรกขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาคือ "U Remind Me" และ "U Got It Bad"

เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 อัชเชอร์ได้รับรางวัลแกรมมี่ ในสาขา 'Best Male R&B Vocal Performance' ในเพลง "U Remind Me" ปีถัดมาได้รับรางวัลเดียวกันจากเพลง "U Don't Have to Call" ต่อมาอัชเชอร์ได้ร่วมงานกับ P. Diddy ในเพลง "I Need a Girl, Part I"

ในช่วงต้นปี พ. ศ. 2547 ซิงเกิลฮิตของอัชเชอร์ที่ชื่อ "Yeah!" ได้ออกสู่สาธารณชน ซิงเกิลนี้ดังถล่มทลายในคลื่นวิทยุต่างๆ และกลายเป็นเพลงที่ได้รับการเปิดมากที่สุดแห่งปี ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกานานถึง 12 สัปดาห์ ตามมาด้วยอัลบั้มล่าสุดของเขา Confessions ได้ออกมาในเดือนมีนาคม ปีเดียวกัน อัลบั้มชุดนี้ยังคงเป็นอัลบั้มที่มียอดขายดีที่สุดใน พ.ศ. 2547 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ขายได้ 1.1 ล้านแผ่นในสัปดาห์แรกที่วางขาย (ขายได้มากกว่า 20 ล้านแผ่นทั่วโลกสำหรับอัลบั้มนี้) ซิงเกิลที่ 2 และ 3 "Burn" และ "Confessions Part II" ก็ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทซิงเกิลในบิลบอร์ด และสร้างสถิติเป็น 1 ใน 3 ศิลปิน (ถัดจาก เดอะ บีทเทิ้ลส์ และ บีจีส์) ที่มีเพลง Top 10 ในสัปดาห์เดียวกันถึง 3 เพลง เดือนกันยายน พ.ศ. 2547 ออกวางขายเพลง "My Boo" (อยู่ในอัลบั้ม Confessions แบบ Special Edition) ร้องคู่กับ อลิเชีย คียส์ ก็ขึ้นอันดับ 1 ในอเมริกาทางฝั่งชาร์ทซิงเกิลเช่นกัน

พ.ศ. 2548 อัชเชอร์ได้ร่วมร้องกับ Lil' John ในเพลง "Lovers and Friends" สามารถไต่ชาร์ทได้สูงสุดอันดับ 3

พ.ศ. 2549 อัชเชอร์ได้แสดงในละครบรอดเวย์เรื่อง Chicago ในบท Billy Flynn ได้รับเสียงวิจารณ์ในทางที่ดี และเขาได้กลับมาทำผลงานอัลบั้มใหม่ซึ่งคาดว่าจะออกกลางปี พ.ศ. 2550 โดยมีทีมอย่าง The Neptunes, Jermaine Dupri, Jimmy Jam & Terry Lewis, Rich Harrison, Dre & Vidal, Ryan Leslie, Dr. Dre และ Swizz Beatz

หลังจากห่างหายจากการออกอัลบั้มเพลงถึง 4 ปี อัชเชอร์กลับมาในปี พ.ศ. 2551 กับอัลบั้ม Here I Stand แต่โปรดิวเซอร์ของเขา Polow da Don แอบปล่อยซิงเกิลแรก ‘Love In This Club’ มาก่อนซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีสามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ทบิลบอร์ด และเป็นเหตุให้ต้องเลื่อนออกอัลบั้มเร็วขึ้นมาเป็นช่วงกลางปีแทน มิวสิกวิดีโอแรก ‘Love In This Club’ กำกับโดย Brothers Strause (Red Hot chili Peppers, Linkin Park, A Perfect Circle) ซึ่งเคยฝากผลงานไว้ในภาพยนตร์เรื่อง 300 ในส่วนของ animation ทั้งหมด และยังกำกับเพลง ‘Moving Mountains’ ซึ่งจะเป็นซิงเกิลที่ 2 อีกด้วย[1]

พ.ศ. 2553 อัชเชอร์ ทำอัลบั้มในระยะเวลาที่เร็วขึ้น เพียง 2 ปี เป็นสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 6 อัลบั้ม Raymond v. Raymond ได้ลำดับที่ 1 US ด้วยยอดขาย 329,000 ในสัปดาห์แรก และมียอดขาย 1.3 ล้านก๊อปปี้ในสหรัฐ (2 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก) ซึ่งมีเพลง Papers และ There Goes My Baby ที่ได้ลำดับที่ 1 US R&B/Hip-Hop Chart ตามด้วย Hey Daddy (Daddy's Home) และ Lil Freak ได้ Nicki Minaj มาแจมด้วย หลังจากนั้นมีซิงเกิลที่ได้ลำดับที่ 1 US Chart นั้นคือ OMG หรือ Oh My God ได้ will.i.am จาก The Black Eyed Peas มาโปรดิวเซอร์และเขียนเพลง และมียอดดาวน์โหลดถึง 7 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก หลังจากนั้น อัชเชอร์ได้ปล่อย EP ที่ชื่อว่า Versus ตามติดกัน หรือ Raymond v. Raymond (Deluxe edition) มีซิงเกิลสุดเจ็งเอาใจสาวกแดนซ์อย่าง DJ Got Us Fallin' in Love ได้แร็ปเปอร์เชื้อสายลาตินอย่าง Pitbull มาแจม ได้โปรดิวเซอร์ป๊อปตลอดกาลอย่าง Max Martin (Backstreet Boys, Britney Spears, Pink และ Katy Perry) และประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และตามด้วย Hot Tottie ได้ Jay-Z มาแจม และ Polow da Don มาโปรดิวเซอร์ แถมด้วย Ester Dean มาร่วมเขียนเพลงนี้ด้วย และต่อด้วยซิ้งเกิลพิเศษ นั้นคือ More ซึ่งความจริง RedOne โปรดิวแล้ว แต่ยังไม่สะใจพอ Jimmy Joker ขออาสารีมิกซ์เพลงนี้ และประสบความสำเร็จทั่วโลกในเวลาต่อมา

พ.ศ. 2554 ในวันที่ 7 ตุลาคม 2554 RCA Music Group ประกาศยุบกิจการ Jive Records รวมไปถึง Arista Records และ J Records ทำให้ อัชเชอร์ รวมถึงศิลปินคนอื่นๆที่มีสัญญาใน 3 บริษัทนี้ ได้ถูกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้ RCA Records ในเครือข่าย โซนี่ มิวสิก

อัชเชอร์ร่วมงานกับศิลปินอินเตอร์หลายคน เช่น Enrique Iglesias ในเพลง Dirty Dancer และอยู่ใน Versus (EP) ได้ RedOne มาโปรดิวเซอร์ ด้วย ตามด้วย หนุ่มลาติน อย่าง Romeo Santos ในเพลง Promise ได้ Rico Love มาโปรดิวเซอร์ และเพลงที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก ที่ทำให้เอาใจสาวกแดนซ์ทั่วโลกนั้นคือ Without You เป็นเพลงบรรเลงของ David Guetta และเขียนเพลงร่วมกับ Taio Cruz, Rico Love และเติมน้ำเสียงของอัชเชอร์ไปด้วย ทำให้เพลงนี้ทะลุหัวใจขาแดนซ์ทั่วโลกอย่างล้นหลาม

พ.ศ. 2555 อัชเชอร์ กับสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 7 ภายใต้การควบคุมของ RCA Records ในชื่อว่า Looking 4 Myself อัลบั้มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแนว Electronic เกือบทั้งอัลบั้ม และได้โปรดิวเซอร์มีโปรอย่าง Rico Love, Jim Jonsin, will.i.am, Salaam Remi, Pharrell, Danja, Empire of The Sun, Swedish House Mafia มาโปรดิวในอัลบั้มนี้ได้ลำดับที่ 1 US ด้วยยอดขาย 128,000 ในสัปดาห์แรก ซึ่งยอดขายหายไปครึ่งต่อครึ่ง อย่างน่าตกใจมาก เนื่องจาก อัลบั้ม 21 ของ อะเดล ขายที่สุดในและทำได้ 22 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก และ วงการเพลงที่ไม่มั่นคง เป็นสาเหตุที่ให้หลาย ๆ อัลบั้ม ยอดขายขาดไปเยอะมาก ทุกศิลปิน ตามติดกัน ซิงเกิลเปิดตัวทั่วโลกคือ Climax ได้โปรดิวเซอร์อย่าง Diplo (M.I.A., Chris Brown) เป็นเพลงรูปแบบ R&B Quiet storm ผสมผสานกับดนตรี Electronic อย่างลงตัว สามารถทำเนื้อร้องเพลงของอัชเชอร์ ที่เขียนร่วมกับ Ariel Rechtshaid, Redd Stylez บวกกับดนตรีของ Diplo เองผสมผสานเป็นเรื่องราวได้ และขึ้นลำดับที่ 1 US R&B/Hip-Hop Chart หลังจากนั้นปล่อยซิ้งเกิลที่ 2 ในแนวแดนซ์ คือ Scream ที่ได้ Max Martin มาโปรดิวเซอร์ให้และประสบความสำเร็จทั่วโลก และตามติดด้วยซิงเกิลที่ 3 Lemme See ได้รับความไว้วางใจ Jim Jonsin มาโปรดิวให้ หลังจากเพลง There Goes My Baby ที่ได้ลำดับที่ 1 US R&B/Hip-Hop Chart และมีแร็พเปอร์สุดฮอต จากค่าย Def Jam อย่าง Rick Ross (ค่าย Maybach Music Group) แร็พเปอร์ที่ให้ DJ Khaled ประสบความสำเร็จ และตัว Rick Ross ไปแจมร่วมกับ R&B แถวหน้าอย่าง Monica, T-Pain, Keri Hilson, Estelle, Jennifer Hudson, Ne-Yo, Mary J. Blige, Omarion และส่วนของอัชเชอร์ก็เคยร่วมงานในเพลง Fed Up (DJ Khaled) และ Looking for Love ที่เขียนให้ ฌอน คอมบ์ส (Diddy) และ Rick Ross ขอร่วมงานกับ อัชเชอร์เอง ในซิงเกิลอย่างเป็นทางการชื่อว่า Touch'N You ได้ Rico Love มาโปรดิวเซอร์ ในอัลบั้ม God Forgives, I Don't ตามลำดับ

พ.ศ. 2556 อัชเชอร์ ได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขาเพลงบันทึกเสียง R&B ดีที่สุดจากเพลง Climax, อัชเชอร์ ได้กลับมาร่วมงานกับ Jermaine Dupri ในรอบ 5 ปีและ Young Jeezy อีกครั้ง ในอัลบั้มชุดใหม่ ที่คาดว่าจะเสร็จในปี พ.ศ. 2557

พ.ศ. 2557 อัชเชอร์ ได้ปล่อยซิงเกิล Good Kisser โปรดิวเซอร์โดย Andrew “Pop” Wansel และ Warren “Oak” Felder หรือรู้จักกันในนาม Pop และ Oak ส่วนมิวสิกวีดีโอ ได้แดนเซอร์ และนางแบบ มาสร้างสีสัน ส่วนท่าเต้นก็ได้รับอิทธิพลจากซุปเปอร์สตาร์ตลอดกาล ไมเคิล แจ็คสัน[2] อัชเชอร์ได้ร่วมงานกับคริส บราวน์และริกโรส ในซิงเกิลที่ 5 ของคริส "New Flame" ซึ่งก่อนหน้านั้น ซิงเกิลนี้หลุดออกมาในอินเทอร์เน็ต ก่อนที่อัชเชอร์จะได้มาบันทึกเสียงใหม่ ในซิงเกิลนี้และปล่อยดาว์นโหลดในวันที่ 29 มิถุนายน 2557 ทั่วโลก[3][4] 2 กรกฎาคม ดิสโคสชัวส์ (Disclosure) 2 พี่น้องหน้าใหม่ของวงการ DJ จากอังกฤษ (กาย และ โฮวาร์ด โรวแรนซ์) ได้รีมิกซ์ซิงเกิล Good Kisser[5] อัชเชอร์ ได้ร่วมงานกับ นิกกี มินาจ อีกครั้ง หลังจากร่วมงานในซิงเกิล "Lil Freak" ในอัลบั้ม Raymond v. Raymond มาครั้งนี้ได้ ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ มาโปรดิวให้ในซิงเกิล "She Came To Give It To You" เป็นซิงเกิลที่ 2 อย่างเป็นทางการ และปล่อยดาวน์โหลดในวันที่ 8 กรกฎาคม 2014[6] อัชเชอร์ ได้ร่วมงานกับ ไม วิล เมค-อิด และทีมนักแต่งเพลงอย่าง ร๊อก ซิตี้ ในซิงเกิลโปรโมต Believe Me ก่อนซิงเกิล Don't Mind ร่วมกับ Juicy J ที่รั่วในอินเตอร์เน็ท และปล่อยอย่างเป็นทางวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557

9 กันยายน 2557 อัชเชอร์ได้ร่วมงานกับ คิด อิง (Kid Ink) ในซิงเกิล Body Language ในอัลบัมใหม่ของ คิด อิง และร่วมงานกับศิลปินหน้าใหม่ Tinashe (ทิน่าชี [2 On])

17 มีนาคม 2558 อัชเชอร์ได้ร่วมงานกับ มาร์ติน การ์ริซ (Martin Garrix) ดีเจหน้าใหม่ไฟแรงจากเพลง ในซิงเกิล Don't Look Down

ผลงานเพลง

[แก้]

ผลงานการแสดง

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]