โอลาฟ (ดิสนีย์)
โอลาฟ | |
---|---|
ตัวละครใน โฟรเซน | |
ปรากฏครั้งแรก | ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ (2013) |
สร้างโดย | คริส บัก เจนนิเฟอร์ ลี |
ให้เสียงโดย | จอช แกด เจค กรีน (Disney Dreamlight Valley และ Disney Speedstorm) |
ข้อมูลตัวละครในเรื่อง | |
เผ่าพันธุ์ | ตุ๊กตาหิมะ |
เพศ | ชาย |
ครอบครัว | เอลซา (ผู้สร้าง) |
สัญชาติ | อาณาจักรเอเรนเดลล์ |
โอลาฟ (อังกฤษ: Olaf) เป็นตุ๊กตาหิมะจากภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ 53 ของวอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์ เรื่อง ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ (Frozen) ซึ่งฉายในปี 2013
การพัฒนา
[แก้]ต้นนกำเนิดและแนวคิด
[แก้]ดิสนีย์สตูดิโอมีความพยายามที่จะนำเทพนิยาย ราชินีหิมะ ของ Hans Christian Andersen มาสร้างเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 1943 เมื่อวอลต์ ดิสนีย์คิดจะสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของ Andersen[1] อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องและตัวละครนั้นเป็นนามธรรมมากเกินไป[2][3] ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาต่าง ๆ ให้กับดิสนีย์และทีมผู้สร้างภาพเคลื่อนไหว ภายหลังจากนั้น ผู้บริหารของดิสนีย์ก็ยังมีความพยายามที่จะนำเรื่องราวจากบทประพันธ์มาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์อีกครั้ง แต่ความพยายามเหล่านี้ก็ต้องถูกชงักไว้เพราะปัญหาแบบเดียวกัน[1]
ในปี 2008 Chris Buck ได้เสนอเรื่องราวของราชินีหิมะในรูปแบบของเขาเองกับดิสนีย์[4] ชื่อ Anna and the Snow Queen ซึ่งได้มีการวางแผนให้สร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวทั่วไป[5] แต่เรื่องราวนี้แตกต่างจาก ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ อย่างสิ้นเชิง โดยที่บทประพันธ์นี้มีความใกล้เคียงกับเรื่องราชินีหิมะมากกว่า และมีตัวละครโอลาฟที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง[6]
อย่างไรก็ตามในต้นปี 2010 โครงการนี้ก็ได้หยุดชะงักไปอีกครั้ง[5][7] ในวันที่ 22 ธันวาคม 2011 ดิสนีย์ได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ ซึ่งในเวลาต่อมาจะได้ออกฉายในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2013 และยังได้เปลี่ยนทีมสร้างภาพยนตร์ใหม่อีกด้วย[8] บทอันใหม่นั้นมีแนวคิดเหมือนเดิม แต่มีการเขียนใหม่ทั้งหมด[5] ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานของบทประพันธ์ของ Andersen โดยได้ถ่ายทอดความสัมพันธ์ของตัวละคร แอนนาและ เอลซ่า ในฐานะพี่น้อง[9]
การให้เสียง
[แก้]Josh Gad ซึ่งเป็นนักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีและมีชื่อเสียงในการแสดงบรอดเวย์เรื่อง The Book of Mormon[10] ได้เข้ารับเลือกในการพากย์เสียงของโอลาฟ[11][12][13] เขาได้กล่าวในภายหลังว่า การที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ดิสนีย์นั้นเหมือนความฝันที่กลายเป็นจริงสำหรับเขา เนื่องจากเขาเองมีความคลั่งไคล้ในภาพยนตร์และการผลิตภาพเคลื่อนไหวของดิสนีย์อยู่แล้ว[14]
เขากล่าวว่า เขาเติบโตมาในยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองของภาพเคลื่อนไหวของดิสนีย์ครั้งที่สอง ในช่วงที่มีภาพยนตร์ทั้งหมดออกมายอดเยี่ยมหมดเลย ได้แก่ เงือกน้อยผจญภัย (The Little Mermaid) โฉมงามกับเจ้าชายอสูร (Beauty and the Beast) อะลาดินกับตะเกียงวิเศษ (Aladdin) เดอะ ไลอ้อน คิง (The Lion King)[10] ความประทับใจในตัวละครที่มีลักษณะนิสัยตลกอย่างทีโมนและพุมบ้าในเรื่อง เดอะ ไลอ้อน คิง หรือ จีนี่ในเรื่องอะลาดินกับตะเกียงวิเศษทำให้เขาอยากเล่นบทบาทประเภทนี้ตั้งแต่ช่วงหนุ่ม ๆ เขาจำได้ว่า เขาเคยพูดไว้ว่าอยากจะเล่นบทแบบนี้จริง ๆ สักวัน[14][10][15]
การออกแบบตัวละคร
[แก้]บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
จากการที่เป็นมนุษย์หิมะที่แอนนาและเอลซ่าได้ปั้นขึ้นมาด้วยกันในวัยเด็ก โอลาฟแสดงถึงความรักที่บริสุทธิ์และความสุขที่ทั้งสองพี่น้องเคยมีในวัยเยาว์ก่อนที่พวกเข้าจะแยกจากกัน โอลาฟไม่ได้เป็นตัวละครที่ตลกเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวแทนความรักบริสุทธิ์ในความกลัวที่แฝงด้วยความรัก [16] ตัวละครตัวนี้ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก จนกระทั่งมันมีความหมายกับสองพี่น้องคู่นี้[16] โอลาฟถูกสร้างขึ้นเพื่อที่จะผสานความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่หายไป[17] ในวัยเด็กของแอนนาและเอลซ่า ก่อนที่พลังของเอลซ่าจะทำร้ายแอนนา สองพี่น้องคู่นี้เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน และมีการปั้นมนุษย์หิมะขึ้นมาโดยตั้งชื่อว่า โอลาฟ และ โอลาฟก็ชอบอ้อมกอดที่อบอุ่น จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นลักษณะของโอลาฟขึ้นมา และในช่วงของภาพพยนต์ที่เอลซ่าได้ร้องเพลง “Let it Go” ก็เป็นช่วงที่ทำให้เอลซ่าได้นึกถึงช่วงเวลาครั้งสุดท้ายที่ตัวเองมีความสุข และมันก็คือช่วงเวลาที่เอลซ่าได้ปั้นมนุษย์หิมะกับน้องสาวนั้นเอง และโอลาฟก็เป็นตัวแทนของความรักที่แสดงออกระหว่างความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่ นี้นั่นเอง โอลาฟจะมีลักษณะนิสัยของแอนนาในวัยเด็กเนื่องจากที่โอลาฟมีชีวิตขึ้นมาได้ นั้นเป็นเพราะในขณะที่เอลซ่าใช้พลังสร้างโอลาฟขึ้นมา เธอได้นึกถึงคนที่เธอรักที่สุด นั่นก็คือแอนนานั่นเอง
ในช่วงเริ่มต้นของการผลิตภาพยนตร์ โอลาฟถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อให้เป็นหนึ่งในคนคุ้มกันปราสาทของเอลซ่า เพราะในเวลานั้นยังมีแนวคิดที่จะให้เอลซ่ามีกองกำลังทหารมนุษย์หิมะที่กราดเกรี้ยวอยู่ในเรื่องอยู่[17][18] Buck ได้กล่าวถึงเอลซ่าไว้ว่า เธอพยายามที่จะเรียนรู้พลังของตัวเองซึ่งเขาได้เปรียบเทียบกับแพนเค้ก เมื่อแพนเค้กมีการไหม้เกิดขึ้นข้างล่างจนไม่สามารถทานได้ เราจึงต้องทิ้งมัน โอลาฟก็เปรียบเสมือนแพนเค้กชิ้นแรกของเอลซ่า[18] และเพื่อไม่เป็นการสร้างความซับซ้อนให้กับตัวละครนี้ ผู้กำกับจึงอยากให้ตัวละครตัวนี้คงความเป็นเด็กบริสุทธิ์ไว้[17] Jennifer Lee ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าวไว้ว่า เมื่อคุณเป็นเด็กรูปร่างแปลกๆต่างๆที่นำมาปั้นเป็นมนษย์หิมะจะไม่มีทางเพ อร์เฟค และนั่นจึงเป็นที่มาของความคิดที่ว่าเด็กๆจะนึกถึงมนุษย์หิมะในหน้าตาแบบไหน[17][18]
Gad เองก็ได้มีการปรับลักษณะของตัวละครโอลาฟเองในระหว่างทำการอัดเสียง และผู้กำกับเองก็พยายามที่จะระมัดระวังไม่ให้ตัวละครนี้ทำหน้าเป็นตัวละคร หลักในการดำเนินเรื่องมากเกินไป [18] โอลาฟถูกสร้างขึ้นมาในระดับนึงจนกระทั่งได้ Josh Gad มาพากษย์เสียงให้ และเสียงของ Gad แสดงให้เห็นถึงลักษณะพิเศษบางอย่างรวมถึงการมองโลกของเขา การแสดงในห้องอัดเสียงของ Gad ถูกบันทึกเป็นวีดิโอและผู้สร้างภาพเคลื่อนไหวได้นำเอาสีหน้า ท่าทางของเขาไปสร้างเป็นตัวละครเคลื่อนไหวขึ้นมา"[19] "It was a lot funnier than I expected, thanks largely to Josh Gad's surprisingly well-written deluded snowman character" (Del Vecho).[20] Gad's studio performance was videotaped, and animators used his facial expressions and physical moves as a reference for animating the character.[16]
ผู้สร้างภาพยนตร์ ได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ขึ้นมาชื่อว่า Spaces เพื่อที่จะสร้างโอลาฟขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของภาพเคลื่อนไหว[21][22] Buck กล่าวว่า ความสนุกของตัวละครนี้คือการค้นพบว่าโอลาฟสามารถถูกแยกชิ้นส่วนของตัวเองออก มาได้และนั่นคือจุดเด่นของตัวละครนี้ โอลาฟเป็นตัวละครที่ผู้สร้างภาพเคลื่อนไหวมีความสนุกในขณะที่กำลังสร้าง[19] Del Vecho ให้ความเห็นว่า โอลาฟเป็นตัวละครที่สามารถโยนลงเขาในขณะที่ตัวแยกเป็นชิ้นๆในระหว่างที่ร่วงลงมาแต่ยังสามารถมีชีวิตรอดและมีความสุขได้ [20]
สิ่งที่ขัดแย้งกันในตัวโอลาฟคือการเป็นมนุษย์หิมะที่มีความคิดในการรักฤดูร้อน[20]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Jim Hill (October 18, 2013). "Countdown to Disney "Frozen" : How one simple suggestion broke the ice on the "Snow Queen"'s decades-long story problems". The ลอสแอนเจลิสไทมส์. สืบค้นเมื่อ February 21, 2014.
- ↑ White, Cindy (October 11, 2013). "Inside Disney's Frozen: Q&A with the Directors". Geek Mom. สืบค้นเมื่อ 21 February 2014.
- ↑ Wright, Gary (November 24, 2013). "Frozen in Time: Disney's Adaptation of a Literary Classic". Rotoscoper. สืบค้นเมื่อ 21 February 2014.
- ↑ Giardina, Carolyn (November 27, 2013). "Oscars: With 'Frozen,' Disney Invents a New Princess (and Secret Software)". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ February 21, 2014.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Weintraub, Steve (November 25, 2013). "Josh Gad Talks FROZEN, His History with the Project, the Songs, the Status of TRIPLETS, Playing Sam Kinison, and More". Collider.comn. เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ 0:33. สืบค้นเมื่อ February 21, 2014.
- ↑ Hill, Jim (December 2, 2013). "How Josh Gad Almost Missed Out on the Chance to Voice Olaf the Snowman for Disney's Frozen". Huffington Post. สืบค้นเมื่อ 21 February 2014.
- ↑ Chmielewski, Dawn C.; Eller, Claudia (March 9, 2010). "Disney restyles 'Rapunzel' to appeal to boys". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ April 6, 2010.
- ↑ Sciretta, Peter (December 22, 2011). "Walt Disney Animation Gives 'The Snow Queen' New Life, Retitled 'Frozen' – But Will It Be Hand Drawn?". SlashFilm. สืบค้นเมื่อ December 22, 2011.
- ↑ Lowman, Rob (November 19, 2013). "Unfreezing 'Frozen:' The making of the newest fairy tale in 3D by Disney". Los Angeles Daily News. สืบค้นเมื่อ February 21, 2014.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 Schneller, Johanna (December 6, 2013). "For Josh Gad, playing an animated snowman is a serious job". The Globe and Mail. สืบค้นเมื่อ May 9, 2014.
- ↑ Nachman, Brett (August 16, 2012). "Disney In Depth: The Future Of Disney Animation (Frozen, Paperman, & Wreck-It Ralph) - A Recap Of D23's Destination D Event". Geeks of Doom. สืบค้นเมื่อ August 17, 2012.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Sarto, Dan (February 21, 2013). "Oscar® Tour SoCal Day 2 Continues at Disney Feature Animation". Animation World Network. สืบค้นเมื่อ February 28, 2013.
- ↑ Snetiker, Marc (June 18, 2013). "Santino Fontana and Josh Gad Join Disney's Frozen, Starring Jonathan Groff & Idina Menzel". Broadway.com. สืบค้นเมื่อ June 18, 2013.
- ↑ 14.0 14.1 Pock Ross, Adam (September 25, 2013). "Josh Gad Talks Disney's 'Frozen' and Being the Hottest Snowman Around". Yahoo! Movies. สืบค้นเมื่อ 19 March 2014.
- ↑ Crouse, Richard (November 28, 2013). "Disney's Frozen: The story of actor Josh Gad, who never gave up on his Disney dreams". Metronews. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-09. สืบค้นเมื่อ May 9, 2014.
- ↑ 16.0 16.1 P. Means, Sean (November 26, 2013). "Preview: Finding the warm heart of Disney's 'Frozen'". The Salt Lake Tribune. สืบค้นเมื่อ 26 February 2014.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 Richard Chavez and Rebecca Murray (September 27, 2013). "'Frozen' Directors Chris Buck and Jennifer Lee Discuss the Animated Film - Behind the Scenes of Disney's 'Frozen'". About.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-07. สืบค้นเมื่อ 26 February 2014.
- ↑ 19.0 19.1 Pock Ross, Adam (July 11, 2013). "'Frozen' Directors Put Next Animated Disney Classic On Ice". Yahoo! Movies. สืบค้นเมื่อ 26 February 2014.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อbleedingcool
- ↑ Coyle, Emily (December 3, 2013). "6 Facts You Didn't Know About Disney's 'Frozen'". Wall St. Cheat Sheet. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-14. สืบค้นเมื่อ 26 February 2014.
- ↑ Failes, Ian (December 2, 2013). "The tech of Disney's Frozen and Get a Horse!". FX Guide. สืบค้นเมื่อ 26 February 2014.