โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพฝาง
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพฝาง | |
---|---|
บ่อน้ำพุร้อนฝาง อยู่ในบริเวณติดกันกับโรงไฟฟ้า | |
ประเทศ | ไทย |
ที่ตั้ง | อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ |
พิกัด | 19°57′52″N 99°09′19″E / 19.96444°N 99.15528°E |
สถานะ | ใช้งานอยู่ |
เริ่มโครงการ | ธันวาคม 2532 |
เจ้าของ | การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย |
โรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพ | |
ประเภท | ระบบสองวงจร |
อุณหภูมิต่ำสุดแหล่งน้ำ | 130 °C (266 °F) |
จำนวนบ่อ | 13 |
บ่อลึกสูงสุด | 100 เมตร (330 ฟุต) |
อัตราไหลน้ำร้อน | 16.5 ลิตร/วินาที |
ความสามารถในการผลิตไฟฟ้า | |
Units operational | 0.30 เมกะวัตต์ |
กำลังการผลิตติดตั้งรวม | 300 กิโลวัตต์ไฟฟ้า |
โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพฝาง (อังกฤษ: Fang Geothermal Power Plant) เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพเพียงแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทย[1]
ประวัติ
[แก้]โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพฝาง เกิดขึ้นจากการสำรวจร่วมกันของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมทรัพยากรธรณี และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการหาพื้นที่มีศักยภาพในการพัฒนาแหล่งพลังงานความร้อนจากใต้พิภพในพื้นที่อำเภอสันกำแพงและอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 โดยความช่วยเหลือทางวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากประเทศฝรั่งเศส[1] คือองค์การฝรั่งเศสเพื่อการจัดการด้านพลังงาน (AFME) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524[2] และกรมป่าไม้ได้ประกาศพื้นที่เป็นวนอุทยานชื่อว่า "วนอุทยานบ่อน้ำร้อนฝาง" และถูกยกระดับขึ้นเป็นอุทยานลำดับที่ 97 ของประเทศไทย ชื่อว่า อุทยานแห่งชาติแม่ฝาง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2549 และเปลี่ยนชื่อเป็น อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปกในวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551[3]
ผลการศึกษา
[แก้]จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2524 พบว่าหลุมเจาะระดับตื้นในแหล่งฝางนั้นมีคุณสมบัติที่จะสามารถนำมาผลิตไฟฟ้าได้ ทำให้ในปี พ.ศ. 2531 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจึงได้จัดซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าระบบสองวงจร มีขนาดกำลังผลิต 300 กิโลวัตต์ ติดตั้งเป็นโรงไฟฟ้าสาธิตที่ใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นที่แรก ใช้น้ำร้อนจากหลุมขุดเจาะระดับตื้นมีอุณหภูมิอยู่ที่ 130 องศาเซลเซียส อัตราปริมาณการไหลอยู่ที่ 16.5 ถึง 22 ลิตรต่อวินาที เพื่อมาถ่ายเทความร้อนให้กับสารทำงาน สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณปีละ 1.2 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง และป้อนเข้าสู่ระบบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค[1]
ส่วนน้ำร้อนหลังจากผ่านกระบวนการผลิตไฟฟ้าจะมีอุณหภูมิลดลงเหลือ 77 องศาเซลเซียส สามารถใช้ในการอบแห้งหรือใช้งานสำหรับห้องเย็นในการรักษาผลิตผลทางการเกษตร และบางส่วนสามารถปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้โดยไม่ต้องบำบัด[1]
รายละเอียด
[แก้]ข้อมูลจากการศึกษาและดำเนินการ โรงไฟฟ้ากำลังผลิต 300 กิโลวัตต์ไฟฟ้า เป็นรูปแบบวงจรกังหันแรงคืน (Organic Rankine Cycle Turbine) มีคุณสมบัติ[2] ดังนี้
- อัตราการไหลน้ำร้อน 16.5 ลิตร / วินาที (ร้อยละ 75 ของอัตราไหลสูงสุด)
- อุณหภูมิน้ำร้อนเฉลี่ยขาเข้า 115 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิในท่อลดลง 2 องศาเซลเซียส)
- อุณหภูมิน้ำร้อนไหลออก 77 องศาเซลเซียส
- อัตรการไหลของน้ำเย็น 72.2 ลิตร / วินาที
- อุณหภูมิน้ำเย็นเฉลี่ยเข้า 20 องศาเซลเซียส
- กำลังผลิตสูงสุด 300 กิโลวัตต์ไฟฟ้า
- กำลังผลิตสุทธิ 200 กิโลวัตต์ไฟฟ้า
การวิพากษ์วิจารณ์
[แก้]นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารมติชนรายสัปดาห์ว่า รัฐบาลควรจะส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนในประเทศให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะพลังงานความร้อนใต้พิภพ เนื่องจากยังไม่มีการพัฒนาในประเทศด้านนี้มากเท่าที่ควร จากแหล่งน้ำร้อนธรรมชาติกว่า 112 แห่งที่มีศักยภาพอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการใช้พลังงานฟอสซิลนั้น โรงไฟฟ้าพลังความร้อนจะมีต้นทุนต่ำกว่าพลังงานฟอสซิลถึง 8 เท่า[4]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 "Geothermal electricity in Thailand การผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศไทย". iEnergyGuru. 2015-09-24.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ 2.0 2.1 โครงการเอนกประสงค์พลังงานความร้อนใต้พิภพ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2529.
- ↑ เชียงใหม่นิวส์ (2019-05-27). "น้ำพุร้อนฝาง แหล่งพลังงานไฟฟ้าใต้พิภพแห่งเดียวของไทย". Chiang Mai News.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "จดหมายจากฮาร์วาร์ด | 3 สิ่งใหม่ที่ได้เรียนรู้ จากคนไทยในบอสตัน (และโอกาสสำหรับเศรษฐกิจไทย) - มติชนสุดสัปดาห์". มติชนสุดสัปดาห์. สืบค้นเมื่อ 2024-10-21.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)