อันตรกิริยาอย่างอ่อน
แบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์ของอนุภาค |
---|
ในฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค อันตรกิริยาอย่างอ่อน (อังกฤษ: weak interaction) หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแรงอย่างอ่อน (weak force) เป็นหนึ่งในสี่อันตรกิริยาพื้นฐานที่เป็นที่รู้กันในปัจจุบัน โดยอันตรกิริยาอีกสามอย่างที่เหลือนั้นประกอบด้วย แรงแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetism), อันตรกิริยาอย่างเข้ม (strong interaction) และแรงโน้มถ่วง (gravitation) ปฏิสัมพันธ์อย่างอ่อนเป็นกลไกของการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างอนุภาคย่อยของอะตอมที่มีบทบาทสำคัญต่อการสลายตัวของสารกัมมันตรังสี (radioactive decay) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเกิดปฏิกิริยาการแยกนิวเคลียส (nuclear fission) และการหลอมนิวเคลียส (nuclear fusion) ทฤษฎีที่ใช้อธิบายพฤติกรรมและผลกระทบของอันตรกิริยาอย่างอ่อนนั้นในบางครั้งเรียกว่าควอนตัมเฟลเวอร์ไดนามิกส์ (quantum flavordynamics หรือ QFD) อย่างไรก็ตาม คำว่า QFD ไม่ค่อยถูกนำไปใช้งานเท่าใดนัก เนื่องจากอันตรกิริยาอย่างอ่อนนั้นสามารถเข้าใจได้ดีกว่าผ่านทฤษฎีแรงไฟฟ้าอ่อน (electroweak theory หรือ EWT) ซึ่งเป็นกรอบทฤษฎีที่ครอบคลุมอันตรกิริยาแม่เหล็กไฟฟ้าและอันตรกิริยาอย่างอ่อนเข้าด้วยกัน[1]
ระยะส่งผลของอันตรกิริยาอย่างอ่อนนั้นถูกจำกัดอยู่ที่ระดับเล็กกว่าอะตอม ซึ่งมีค่าน้อยกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของโปรตอน[2]
ภูมิหลัง
[แก้]แบบจำลองมาตรฐานของฟิสิกส์อนุภาค (Standard Model of particle physics) เป็นกรอบทฤษฎีที่รวมเอาอันตรกิริยาแม่เหล็กไฟฟ้า, อันตรกิริยาอย่างอ่อน และอันตรกิริยาอย่างเข้มเข้าด้วยกันในลักษณะที่เป็นเอกภาพ ซึ่งอันตรกิริยาเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่ออนุภาคสองตัว (โดยทั่วไปคือเฟอร์มิออนที่มีสปินเป็นครึ่งจำนวนเต็ม แต่ไม่จำเป็นเสมอไป) มีการแลกเปลี่ยนโบซอนซึ่งเป็นอนุภาคที่มีสปินเป็นจำนวนเต็ม เฟอร์มิออนที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนดังกล่าวอาจเป็นอนุภาคมูลฐาน (เช่น อิเล็กตรอนหรือควาร์ก) หรืออนุภาคประกอบ (เช่น โปรตอนหรือนิวตรอน) ถึงแม้ว่าในระดับที่ลึกที่สุด นั้นอันตรกิริยาอย่างอ่อนทั้งหมดจะเกิดขึ้นระหว่างอนุภาคมูลฐานเท่านั้น
ในระหว่างที่มีอันตรกิริยาอย่างอ่อนนั้นเฟอร์มิออนสามารถแลกเปลี่ยนอนุภาคสื่อแรงได้สามชนิด ได้แก่ โบซอน W⁺, W⁻ และ Z โบซอน โดยมวลของโบซอนเหล่านี้มีค่ามากกว่ามวลของโปรตอนหรือ นิวตรอนอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับระยะการส่งผลที่สั้นของแรงอย่างอ่อน ทั้งนี้ แรงดังกล่าวถูกเรียกว่า "แรงอย่างอ่อน" เนื่องจากความเข้มของสนามแรงในระยะทางใด ๆ มักจะมีค่าต่ำกว่าความเข้มของแรงแม่เหล็กไฟฟ้าหลายอยู่หลายขั้น และแรงแม่เหล็กไฟฟ้าเองก็มีความเข้มต่ำกว่าแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มอีกหลายขั้นเช่นกัน
อันตรกิริยาอย่างอ่อนเป็นอันตรกิริยาพื้นฐานเพียงชนิดเดียวที่ละเมิดสมมาตรพาริตี (parity symmetry) และในทำนองเดียวกัน แม้จะเกิดขึ้นได้ยากกว่ามาก แต่อันตรกิริยาชนิดนี้ยังเป็นอันตรกิริยาเพียงชนิดเดียวที่ละเมิดสมมาตรประจุ-พาริตี (charge–parity symmetry) อีกด้วย
ควาร์กอันเป็นองค์ประกอบของอนุภาคประกอบ เช่น นิวตรอนและโปรตอน มีทั้งหมดหก "เฟลเวอร์" (flavour) ได้แก่ อัพ (up), ดาวน์ (down), ชาร์ม (charm), สเตรนจ์ (strange), ท็อป (top) และ บอตทอม (bottom) ซึ่งเฟลเวอร์เหล่านี้เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของอนุภาคประกอบที่ควาร์กประกอบขึ้น อันตรกิริยาอย่างอ่อนมีลักษณะเฉพาะตัวที่สามารถทำให้ควาร์กเปลี่ยนเฟลเวอร์ของตนเป็นแบบอื่นได้ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นผ่านการแลกเปลี่ยนโบซอนสื่อแรง เช่น ในกระบวนการสลายตัวแบบเบตาลบ (beta-minus decay) อนุภาคดาวน์ควาร์กในนิวตรอนเปลี่ยนเป็นอัพควาร์กทำให้นิวตรอนเปลี่ยนเป็นโปรตอน และส่งผลให้มีการปล่อยอิเล็กตรอนและอิเล็กตรอนแอนตินิวตริโนออกมา
อันตรกิริยาอย่างอ่อนมีความสำคัญต่อกระบวนการหลอมไฮโดรเจนเป็นฮีเลียมในดาวฤกษ์ เนื่องจากอันตรกิริยาชนิดนี้สามารถเปลี่ยนโปรตอน (ไฮโดรเจน) ให้เป็นนิวตรอนเพื่อสร้างดิวเทอเรียม ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้กระบวนการหลอมนิวเคลียสดำเนินต่อไปจนก่อให้เกิดฮีเลียม การสะสมตัวของนิวตรอนยังช่วยให้เกิดการสร้างนิวเคลียสหนักขึ้นภายในดาวฤกษ์อีกด้วย[3]
อนุภาคเฟอร์มิออนส่วนใหญ่จะสลายตัวผ่านอันตรกิริยาอย่างอ่อนเมื่อเวลาผ่านไป การสลายตัวนี้ทำให้เกิดเทคนิคการหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี (radiocarbon dating) เนื่องจากคาร์บอน-14 จะสลายตัวเป็นไนโตรเจน-14 ผ่านอันตรกิริยาอย่างอ่อน อันตรกิริยานี้ยังสามารถก่อให้เกิดการเรืองแสงจากสารกัมมันตรังสี (radioluminescence) ซึ่งถูกนำไปใช้ในกระบวนการสร้างแสงด้วยทริเทียม (tritium luminescence) และในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับบีตาโวลตาอิกส์ (betavoltaics)[4] อย่างไรก็ตาม การเรืองแสงนี้ไม่เหมือนกับการเรืองแสงจากเรเดียม (radium luminescence)
แรงไฟฟ้าอ่อนได้รับการเชื่อว่าได้แยกตัวออกเป็นแรงแม่เหล็กไฟฟ้าและแรงอย่างอ่อนในยุคควาร์ก (quark epoch) ของจักรวาลยุคเริ่มต้น
ประวัติ
[แก้]ในปี ค.ศ. 1933 เอนรีโก แฟร์มี (Enrico Fermi) ได้เสนอทฤษฎีแรกเกี่ยวกับอันตรกิริยาอย่างอ่อน ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "ปฏิสัมพันธ์ของแฟร์มี" (Fermi's interaction) โดยเขาเสนอว่ากระบวนการการสลายตัวแบบบีตาสามารถอธิบายได้ด้วยปฏิสัมพันธ์หรืออันตรกิริยาระหว่างเฟอร์มิออนสี่ตัวที่เกิดขึ้นผ่านแรงสัมผัส (contact force) ซึ่งไม่มีระยะการกระทำ[5][6]
ในช่วงกลางทศวรรษ 1950 เฉินหนิง หยาง (Chen-Ning Yang) และจางเต๋า ลี (Tsung-Dao Lee) ได้เสนอแนวคิดว่าทิศทางของสปินของอนุภาคในอันตรกิริยาอย่างอ่อนอาจละเมิดกฎการอนุรักษ์หรือสมมาตร ต่อมาในปี ค.ศ. 1957 เจิ้งชง อู๋ (Chien Shiung Wu) และคณะได้ยืนยันการละเมิดสมมาตรดังกล่าวผ่านการทดลอง[7]
ในทศวรรษ 1960 เชลดอน กลาชาว (Sheldon Glashow), อับดุส ซาลาม (Abdus Salam) และสตีเวน ไวน์เบิร์ก (Steven Weinberg) ได้รวมแรงแม่เหล็กไฟฟ้าและอันตรกิริยาอย่างอ่อนเข้าด้วยกัน โดยแสดงให้เห็นว่าแรงทั้งสองเป็นมุมมองที่ต่างกันของแรงเดียวกัน ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่าแรงไฟฟ้าอ่อน (electroweak force)[8][9]
การมีอยู่ของโบซอน W และ Z ยังไม่ได้รับการยืนยันโดยตรงจนกระทั่งปี ค.ศ. 1983[10](หน้าที่ 8)
คุณสมบัติ
[แก้]อันตรกิริยาอย่างอ่อนที่มีประจุไฟฟ้ามีลักษณะเฉพาะหลายประการ ดังนี้:
- เป็นอันตรกิริยาเพียงชนิดเดียวที่สามารถเปลี่ยนเฟลเวอร์ของควาร์กและเลปตอน (เช่น เปลี่ยนควาร์กชนิดหนึ่งให้กลายเป็นอีกชนิดหนึ่ง)[เชิงอรรถ 1]
- เป็นอันตรกิริยาเพียงชนิดเดียวที่ละเมิดสมมาตรพาริตี (P หรือ parity symmetry) รวมถึงเป็นปฏิสัมพันธ์เดียวที่ละเมิดสมมาตรประจุ-พาริตี (charge–parity หรือ CP symmetry)
- ทั้งอันตรกิริยาที่มีประจุไฟฟ้าและไม่มีประจุไฟฟ้าเกิดขึ้นผ่านการส่งผ่านของอนุภาคนำพาแรงที่มีมวลมาก ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากอันตรกิริยาพื้นฐานอื่น ๆ โดยแบบจำลองมาตรฐานได้อธิบายลักษณะนี้ผ่านกลไกฮิกส์
เนื่องจากการที่มันมีมวลมาก (ประมาณ 90 GeV/c²[11]) โบซอนตัวนำพาแรงที่มีชื่อเรียกว่า W และ Z จึงมีอายุสั้นมาก โดยมีช่วงอายุการสลายตัวต่ำกว่า 10-24 วินาที[12] อันตรกิริยาอย่างอ่อนมีค่าคงที่การเชื่อมต่อ (coupling constant) (ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความถี่ของการเกิดอันตรกิริยา) อยู่ในช่วง 10-7 ถึง 10-6 เมื่อเทียบกับค่าคงที่การเชื่อมต่อของแรงแม่เหล็กไฟฟ้าที่ประมาณ 10-2 และแรงอย่างเข้มที่ประมาณ 1[13] ทำให้แรงอย่างอ่อนนี้มีความ "อ่อน" ในแง่ของความเข้มที่ต่ำกว่าแรงพื้นฐานอื่น[14] อันตรกิริยาอย่างอ่อนนั้นมีระยะการส่งผลที่สั้นมาก โดยมีช่วงระยะการส่งผลอยู่ที่ประมาณ 10-17 ถึง 10-16 เมตร (0.01 ถึง 0.1 เฟมโตเมตร)[เชิงอรรถ 2][14][13] โดยที่ระยะประมาณ 10-18 เมตร (0.001 เฟมโตเมตร) อันตรกิริยาอย่างอ่อนนั้นจะมีความเข้มใกล้เคียงกับแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ความเข้มนี้จะลดลงในอัตราที่เพิ่มขึ้นแบบเอ็กซ์โพเนนเชียลเมื่อระยะทางเพิ่มขึ้น หากเพิ่มระยะออกไปประมาณ 1.5 ลำดับขั้นของขนาด (orders of magnitude) ที่ระยะประมาณ 3 × 10-17 เมตร อันตรกิริยาอย่างอ่อนจะอ่อนแอลงจนเหลือเพียง 1/10,000 ของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า[15]
อันตรกิริยาอย่างอ่อนมีผลต่อเฟอร์มิออนทั้งหมดในแบบจำลองมาตรฐาน รวมถึงฮิกส์โบซอนด้วย สำหรับนิวทริโนนั้นอันตรกิริยาที่มีผลต่อมันคือแรงโน้มถ่วงและอันตรกิริยาอย่างอ่อนเท่านั้น อันตรกิริยาอย่างอ่อนไม่ก่อให้เกิดสถานะจำกัดขอบเขต (bound states) และไม่มีพลังงานยึดเหนี่ยว (binding energy) ซึ่งแตกต่างจากแรงโน้มถ่วงที่ก่อให้เกิดการยึดเหนี่ยวในระดับดาราศาสตร์, แรงแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำหน้าที่ในระดับโมเลกุลและอะตอม และแรงนิวเคลียร์อย่างเข้มที่มีผลเฉพาะในระดับอนุภาคย่อยภายในนิวเคลียส[16]
ผลกระทบที่เด่นชัดที่สุดของอันตรกิริยาอย่างอ่อนมาจากคุณสมบัติเฉพาะที่สำคัญที่สุด คือการเปลี่ยนเฟลเวอร์ผ่านอันตรกิริยาอย่างอ่อนที่มีประจุไฟฟ้า ตัวอย่างเช่น นิวตรอนซึ่งมีมวลมากกว่าโปรตอน (นิวคลีออนคู่ของมัน) สามารถสลายตัวไปเป็นโปรตอนได้โดยการเปลี่ยนเฟลเวอร์ (ชนิด) ของดาวน์ควาร์กหนึ่งในสองตัวให้เป็นอัพควาร์ก ทั้งอันตรกิริยาอย่างเข้มและแรงแม่เหล็กไฟฟ้าไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนเฟลเวอร์ได้ ดังนั้นกระบวนการนี้จึงเกิดขึ้นได้เฉพาะวิธีการที่ผ่านการสลายตัวแบบอ่อนเท่านั้น หากไม่มีการสลายตัวแบบอ่อน คุณสมบัติของควาร์ก เช่น ความเป็นสเตรนจ์ (strangeness) และความเป็นชาร์ม (charm) ซึ่งเกี่ยวข้องกับสเตรนจ์ควาร์กและชาร์มควาร์ก จะยังคงถูกอนุรักษ์ไว้ในทุกอันตรกิริยา
อนุภาคเมซอนทั้งหมดไม่เสถียรเนื่องจากการสลายตัวแบบอ่อน[10](หน้าที่ 29)[เชิงอรรถ 3] ในกระบวนการที่เรียกว่าการสลายตัวแบบบีตานั้นอนุภาคดาวน์ควาร์กในนิวตรอนสามารถเปลี่ยนเป็นอัพควาร์กได้โดยการปล่อยโบซอน W— เสมือน ซึ่งจะสลายตัวต่อไปเป็นอิเล็กตรอนและอิเล็กตรอนแอนตินิวทริโน[10](หน้าที่ 28) อีกตัวอย่างหนึ่งคือการจับอิเล็กตรอน (electron capture) ซึ่งเป็นรูปแบบทั่วไปของการสลายตัวกัมมันตรังสี โดยในกระบวนการนี้นั้นโปรตอนและอิเล็กตรอนภายในอะตอมจะทำปฏิกิริยากันและเปลี่ยนเป็นนิวตรอน (อัพควาร์กเปลี่ยนเป็นดาวน์ควาร์ก) พร้อมทั้งปล่อยอิเล็กตรอนนิวทริโนออกมา
เนื่องจากโบซอน W มีมวลมาก ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงหรือการสลายตัวของอนุภาค (เช่น การเปลี่ยนเฟลเวอร์) ที่ขึ้นอยู่กับอันตรกิริยาอย่างอ่อนจึงมักเกิดขึ้นช้ากว่าการเปลี่ยนแปลงหรือการสลายตัวที่ขึ้นอยู่กับอันตรกิริยาอย่างเข้มหรือแรงแม่เหล็กไฟฟ้า[เชิงอรรถ 4] ตัวอย่างเช่น ไพออนเป็นกลาง (neutral pion) ที่สลายตัวผ่านแรงแม่เหล็กไฟฟ้า จะทำให้มีอายุเพียงประมาณ 10-16 วินาที ในขณะที่ไพออนมีประจุ (charged pion) ที่สลายตัวได้โดยอันตรกิริยาอย่างอ่อนเท่านั้น ซึ่งจะทำให้มีอายุยาวนานถึงประมาณ 10-8 วินาที หรือยาวนานกว่าไพออนเป็นกลางถึงหนึ่งร้อยล้านเท่า[10](หน้าที่ 30) ตัวอย่างที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือการสลายตัวแบบอ่อนของนิวตรอนอิสระ (free neutron) ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 นาที[10](หน้าที่ 28)
ไอโซสปินอย่างอ่อนและไฮเปอร์ชาร์จอย่างอ่อน
[แก้]รุ่นที่ 1 | รุ่นที่ 2 | รุ่นที่ 3 | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เฟอร์มิออน | สัญลักษณ์ | ไอโซสปินอย่างอ่อน | เฟอร์มิออน | สัญลักษณ์ | ไอโซสปินอย่างอ่อน | เฟอร์มิออน | สัญลักษณ์ | ไอโซสปินอย่างอ่อน |
อิเล็กตรอนนิวทริโน | ν e |
+12 | มิวออนนิวทริโน | ν μ |
+12 | ทาวนิวทริโน | ν τ |
+12 |
อิเล็กตรอน | e− |
−12 | มิวออน | μ− |
−12 | ทาว | τ− |
−12 |
อัพควาร์ก | u |
+12 | ชาร์มควาร์ก | c |
+12 | ท็อปควาร์ก | t |
+12 |
ดาวน์ควาร์ก | d |
−12 | สเตรนจ์ควาร์ก | s |
−12 | บ็อตทอมควาร์ก | b |
−12 |
อนุภาคถนัดซ้าย (ปกติ) ที่อยู่บนตารางทั้งหมดนั้นมีคู่ปฏิอนุภาคที่ถนัดขวาเป็นของตนเอง ซึ่งมีไอโซสปินอย่างอ่อนที่เท่ากันและตรงข้ามกัน | ||||||||
อนุภาคถนัดขวา (ปกติ) และปฏิอนุภาคที่ถนัดซ้ายนั้นมีไอโซสปินอย่างอ่อนที่เท่ากับ 0 |
อนุภาคทุกชนิดมีคุณสมบัติที่เรียกว่าไอโซสปินอย่างอ่อน (weak isospin) ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็น T3 โดยไอโซสปินนี้เป็นจำนวนควอนตัมเชิงบวกที่จำกัดวิธีที่อนุภาคสามารถทำปฏิสัมพันธ์กับโบซอน W± ของอันตรกิริยาอย่างอ่อน ไอโซสปินอย่างอ่อนทำหน้าที่ในอันตรกิริยาอย่างอ่อนกับอนุภาค W± เช่นเดียวกับที่ประจุไฟฟ้าทำหน้าที่ในแรงแม่เหล็กไฟฟ้า และประจุสีในอันตรกิริยาอย่างเข้ม นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติที่เรียกว่าประจุอ่อน (weak charge) อันจะกล่าวต่อไปด้านล่าง ซึ่งใช้สำหรับการปฏิสัมพันธ์กับอนุภาค Z0 เฟอร์มิออนที่ถนัดซ้ายทั้งหมดมีค่าไอโซสปินแบบอ่อนเท่ากับ +12 หรือ −12 ในขณะที่เฟอร์มิออนที่มีสปินขวาทั้งหมดมีค่าไอโซสปินเท่ากับ 0 ตัวอย่างเช่น อัพควาร์กมีค่าไอโซสปินเท่ากับ +12 และดาวน์ควาร์กมีค่าเท่ากับ −12 ควาร์กจะไม่สลายตัวผ่านอันตรกิริยาอย่างอ่อนให้เป็นควาร์กที่มีค่า T3 เท่ากันได้ ควาร์กที่มีค่า +12 จะสลายตัวเป็นควาร์กที่มีค่า −12 เท่านั้น รวมถึงในทางกลับกัน
ในทุกปฏิสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับแรงอย่างเข้ม, แรงแม่เหล็กไฟฟ้า หรือแรงอย่างอ่อนนั้นค่าไอโซสปินอย่างอ่อนจะถูกอนุรักษ์ไว้[เชิงอรรถ 5] ซึ่งหมายความว่าผลรวมของค่าไอโซสปินอย่างอ่อนของอนุภาคที่เข้าสู่ปฏิสัมพันธ์นี้จะเท่ากับผลรวมของค่าไอโซสปินอย่างอ่อนของอนุภาคที่ออกจากปฏิสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น ไพออนมีประจุ (
π+
) ซึ่งเป็นเฟอร์มิออนถนัดซ้ายและมีค่าไอโซสปินอย่างอ่อนเท่ากับ +1 มักจะสลายตัวเป็นนิวตริโนมิวออน (
ν
μ) ซึ่งมีค่า T3 = +12 และมิวออนประจุบวก (
μ+
) ซึ่งเป็นปฏิอนุภาคถนัดขวาและมีค่าเท่ากับ +12[10](หน้าที่ 30)
สำหรับการพัฒนาทฤษฎีแรงไฟฟ้าอ่อนนั้นได้มีการกำหนดคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาเรียกว่าไฮเปอร์ชาร์จอย่างอ่อน (weak hypercharge) ซึ่งนิยามดังนี้:
โดยที่ YW คือไฮเปอร์ชาร์จอย่างอ่อนของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า Q (ในหน่วยประจุพื้นฐาน) และ T3 คือไอโซสปินแบบอ่อน ไฮเปอร์ชาร์จอย่างอ่อนเป็นตัวสร้างองค์ประกอบของ U(1) ในกลุ่มเกจของแรงไฟฟ้าอ่อน ทั้งนี้ แม้ว่าอนุภาคบางชนิดจะมีค่าไอโซสปินอย่างอ่อนเท่ากับศูนย์ แต่อนุภาคที่มีค่าสปินเท่ากับ 12 ทุกชนิดที่ทราบในปัจจุบันนั้นมีค่าไฮเปอร์ชาร์จอย่างอ่อนที่ไม่เป็นศูนย์[เชิงอรรถ 6]
รูปแบบของอันตรกิริยา
[แก้]อันตรกิริยาอย่างอ่อนมีอยู่สองประเภท (เรียกว่าจุดยอดหรือ vertex พหูพจน์: vertices) ประเภทแรกเรียกว่า "อันตรกิริยากระแสมีประจุ" (charged-current interaction) เนื่องจากเฟอร์มิออนที่มีอันตรกิริยาอย่างอ่อนจะสร้างกระแสที่มีประจุไฟฟ้ารวมไม่เป็นศูนย์ ประเภทที่สองเรียกว่า "อันตรกิริยากระแสเป็นกลาง" (neutral-current interaction) เนื่องจากเฟอร์มิออนที่มีอันตรกิริยาอย่างอ่อนสร้างกระแสที่มีประจุไฟฟ้ารวมเป็นศูนย์ ซึ่งอันตรกิริยาประเภทนี้เป็นสาเหตุของการเบี่ยงเบน (ที่เกิดขึ้นได้ยาก) ของนิวทริโน อันตรกิริยาทั้งสองประเภทนี้มีเกณฑ์การคัดเลือกที่แตกต่างกัน การตั้งชื่ออันตรกิริยาทั้งสองนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเกี่ยวข้องกับประจุไฟฟ้าของโบซอน W และ Z อย่างไรก็ตาม การตั้งชื่อนี้เกิดขึ้นก่อนแนวคิดเรื่องโบซอนตัวกลาง และชัดเจนว่า (อย่างน้อยในแง่ของชื่อ) หมายถึงประจุของกระแส (ที่เกิดจากเฟอร์มิออน) ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับโบซอนเสมอไป[เชิงอรรถ 7]
อันตรกิริยากระแสมีประจุ
[แก้]ในอันตรกิริยากระแสมีประจุประเภทหนึ่ง เลปตอนที่มีประจุไฟฟ้า (เช่น อิเล็กตรอนหรือมิวออน ซึ่งมีประจุเท่ากับ -1) สามารถดูดซับโบซอน W+ (อนุภาคที่มีประจุเท่ากับ +1) และถูกเปลี่ยนเป็นนิวทริโนที่สอดคล้องกัน (ซึ่งมีประจุเท่ากับ 0) โดยชนิด ("เฟลเวอร์") ของนิวทริโน (เช่น อิเล็กตรอนนิวทริโน νe, มิวออนนิวทริโน νμ, หรือทาวนิวทริโน ντ) จะเหมือนกับชนิดของเลปตอนในปฏิสัมพันธ์นั้น ตัวอย่างเช่น:
ในทำนองเดียวกัน ควาร์กประเภทดาวน์ (d, s, or b ซึ่งมีประจุเท่ากับ −13) สามารถถูกแปลงเป็นควาร์กประเภทอัพ (u, c หรือ t ซึ่งมีประจุเท่ากับ +23) ได้ โดยการปล่อยโบซอน W– หรือโดยการดูดซับโบซอน W+ หากว่าโดยละเอียดแล้วนั้นควาร์กประเภทดาวน์จะเกิดการซ้อนทับควอนตัม (quantum superposition) กับควาร์กประเภทอัพ กล่าวคือ มันมีโอกาสที่จะกลายเป็นควาร์กประเภทอัพชนิดใดชนิดหนึ่งจากสามชนิดก็ได้ โดยที่ความน่าจะเป็นของแต่ละกรณีถูกกำหนดโดยเมทริกซ์ CKM และในทางกลับกัน ควาร์กประเภทอัพสามารถปล่อยโบซอน W+ หรือดูดซับโบซอน W– และถูกเปลี่ยนใฟ้เป็นควาร์กประเภทดาวน์ได้ ตัวอย่างเช่น:
อนุภาคโบซอน W นั้นไม่เสถียร ซึ่งจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็วโดยมีอายุขัยที่สั้น ตัวอย่างเช่น:
การสลายตัวของโบซอน W ที่ให้ผลผลิตแบบอื่นนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่หลากหลาย[18]
ในกระบวนการที่เรียกว่าการสลายตัวให้อนุภาคบีตาของนิวตรอน (ดูภาพประกอบด้านบน) ดาวน์ควาร์กภายในนิวตรอนจะปล่อยโบซอนเสมือน W– ออกมา และถูกเปลี่ยนเป็นอัพควาร์ก ส่งผลให้นิวตรอนถูกเปลี่ยนเป็นโปรตอน เนื่องจากพลังงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการนี้มีจำกัด (กล่าวคือ พลังงานถูกจำกัดโดยความแตกต่างของมวลระหว่างดาวน์ควาร์กและอัพควาร์ก) โบซอนเสมือน W– จึงทำได้เพียงนำพาพลังงานที่เพียงพอสำหรับการสร้างอิเล็กตรอนและอิเล็กตรอนแอนตินิวทริโน ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีมวลต่ำสุดในบรรดาผลผลิตที่เป็นไปได้ของการสลายตัวของมัน[19] ในระดับควาร์กนั้นกระบวนการนี้สามารถแสดงได้เป็นสมการดังนี้:
อันตรกิริยากระแสเป็นกลาง
[แก้]ในอันตรกิริยากระแสเป็นกลาง อนุภาคควาร์กหรือเลปตอน (เช่น อิเล็กตรอนหรือมิวออน) จะปลดปล่อยหรือดูดซับอนุภาคโบซอน Z ที่ไม่มีประจุ ตัวอย่างเช่น:
เช่นเดียวกันกับอนุภาคโบซอน W± ตัวอนุภาค Z0 จะสลายตัวไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน[18] ตัวอย่างเช่น:
อันตรกิริยาชนิดนี้ต่างจากอันตรกิริยากระแสมีประจุ ซึ่งกฎการคัดสรรนั้นจะถูกจำกัดอย่างเข้มงวดโดยไครัลลิตี, ประจุไฟฟ้า และ/หรือไอโซสปินอย่างอ่อน อันตรกิริยากระแสเป็นกลางที่เกิดจากโบซอน Z0 สามารถทำให้เฟอร์มิออนใด ๆ ในแบบจำลองมาตรฐานสองตัวเกิดการหักเหได้ อันตรกิริยานี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับอนุภาคและปฏิอนุภาค ไม่ขึ้นกับชนิดของประจุไฟฟ้า และสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับอนุภาคที่มีไครัลลิตีซ้าย (left-chirality) และขวา (right-chirality) แม้ว่าความแรงของปฏิสัมพันธ์จะแตกต่างกันไปก็ตาม[เชิงอรรถ 8]
เลขควอนตัมประจุอ่อน (Qw) ทำหน้าที่ในปฏิสัมพันธ์กระแสเป็นกลางกับอนุภาค Z⁰ ในลักษณะเดียวกับที่ประจุไฟฟ้า (Q, ไม่มีดัชนี) ทำหน้าที่ในปฏิสัมพันธ์ทางแม่เหล็กไฟฟ้า: มันเป็นตัวกำหนดส่วนเวกเตอร์ของปฏิสัมพันธ์นั้น ค่า Qw นั้นถูกกำหนดโดย:[20]
เนื่องด้วยมุมผสมอ่อนคือ , นิพจน์ในวงเล็บคือ , โดยที่ค่าของมันเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามความแตกต่างของโมเมนตัม (เรียกว่า "การวิ่ง") ระหว่างอนุภาคที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น:
เนื่องด้วยโดยทั่วไปแล้วนั้น , และสำหรับเฟอร์มิออนทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับอันตรกิริยาอย่างอ่อนแล้วนั้น ประจุอ่อนของอนุภาคเลปตอนมีประจุจะมีค่าใกล้เคียงศูนย์ ดังนั้นอนุภาคเหล่านี้โดยส่วนใหญ่จึงมีอันตรกิริยากับอนุภาคโบซอน Z ผ่านการจับคู่ของแกน (axial coupling)
ทฤษฎีแรงไฟฟ้าอ่อน
[แก้]แบบจำลองมาตรฐานในฟิสิกส์ของอนุภาคได้ให้คำอธิบายต่ออันตรกิริยาแม่เหล็กไฟฟ้าและอันตรกิริยาอย่างอ่อนไว้ว่าเป็นสองแง่มุมที่แตกต่างกันของอันตรกิริยาไฟฟ้าอ่อนที่เป็นแรงอย่างเดียวกัน ทฤษฎีนี้ได้รับการพัฒนาราวปี 1968 โดย เชลดอน กลาชาว, อับดุส ซาลาม และ สตีเวน ไวน์เบิร์ก ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1979 สำหรับผลงานของพวกเขา[21] กลไกของฮิกส์ให้คำอธิบายเกี่ยวกับการมีอยู่ของเกจโบซอนที่มีมวลจำนวนสามตัว (W+, W–, Z0 ซึ่งเป็นอนุภาคพาหะของอันตรกิริยาอย่างอ่อน) และโฟตอน ( ซึ่งเป็นเกจโบซอนไร้มวลที่ทำหน้าที่เป็นอนุภาคพาหะของอันตรกิริยาแม่เหล็กไฟฟ้า)[22]
การฝ่าฝืนสมมาตร
[แก้]อ่านเพิ่มเติม
[แก้]เชิงอรรถ
[แก้]- [เชิงอรรถ 1] เนื่องจากความสามารถพิเศษของอันตรกิริยาอย่างอ่อนในการเปลี่ยนแปลงเฟลเวอร์ของอนุภาค การวิเคราะห์อันตรกิริยานี้จึงถูกเรียกในบางครั้งว่าควอนตัมเฟลเวอร์ไดนามิกส์ (quantum flavour dynamics - QFD) ซึ่งเป็นการตั้งชื่อโดยอุปมาอุปไมยกับควอนตัมโครโมไดนามิกส์ (quantum chromodynamics, QCD) ที่ใช้สำหรับแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม
- [เชิงอรรถ 2] เปรียบเทียบกับรัศมีประจุของโปรตอนที่ 8.3×10−16 เมตร ~ 0.83 เฟมโตเมตร
- [เชิงอรรถ 3] อย่างไรก็ตาม ไพออนเป็นกลาง (
π0
) สลายตัวผ่านอันตรกิริยาแม่เหล็กไฟฟ้า ในขณะที่เมซอนอื่นหลายชนิด (หากเลขควอนตัมของพวกมันอนุญาต) มักจะสลายตัวผ่าน อันตรกิริยานิวเคลียร์อย่างเข้มเป็นหลัก - [เชิงอรรถ 4] ข้อยกเว้นที่ชัดเจนและอาจเป็นกรณีเดียวของกฎนี้คือการสลายตัวของท็อปควาร์ก (top quark) ซึ่งมีมวลมากกว่าผลรวมของมวลบ็อตทอมควาร์ก (bottom quark) และโบซอน W+ ที่เป็นผลผลิตจากการสลายตัว ดังนั้นจึงไม่มีข้อจำกัดด้านพลังงานที่ทำให้การเปลี่ยนสถานะของมันช้าลง ความเร็วในการสลายตัวของท็อปควาร์กผ่านแรงอ่อนนั้นสูงมาก จนกระทั่งแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม (หรือ "แรงสี") ไม่มีเวลามากพอที่จะจับมันรวมกับควาร์กตัวอื่นได้ ทำให้มันเป็นควาร์กตัวเดียวที่ไม่สามารถสร้างฮาดรอน (hadron) ได้
- [เชิงอรรถ 5] มีเพียงอันตรกิริยาที่กระทำต่อฮิกส์โบซอนเท่านั้นที่จะละเมิดการอนุรักษ์ไอโซสปินอย่างอ่อน และดูเหมือนจะละเมิดโดยสมบูรณ์ ดังนี้:
- [เชิงอรรถ 6] เฟอร์มิออนในสมมติฐานบางชนิด เช่น นิวทริโนสเตอไรล์ (sterile neutrinos) จะมีค่าไฮเปอร์ชาร์จอย่างอ่อนเป็นศูนย์ – แต่โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีประจุเกจของแรงพื้นฐานที่รู้จักใด ๆ เลยที่เป็นศูนย์ การมีอยู่ของอนุภาคเหล่านี้ยังคงเป็นประเด็นในการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อค้นหาว่ามีอนุภาคดังกล่าวอยู่จริงหรือไม่
- [เชิงอรรถ 7] การแลกเปลี่ยนโบซอน W เสมือนสามารถพิจารณาได้ในลักษณะเดียวกัน เช่น การปล่อย W⁺ หรือการดูดกลืน W⁻ กล่าวคือ หากพิจารณาแกนเวลาในแนวตั้ง โบซอน W⁺ สามารถมองว่าเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวา หรือในทางกลับกัน โบซอน W⁻ สามารถมองว่าเคลื่อนที่จากขวาไปซ้ายได้เช่นเดียวกัน
- [เชิงอรรถ 8] เฟอร์มิออนเพียงชนิดเดียวที่โบซอน Z0 ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์ด้วยได้เลยคือ นิวทริโนสเตอไรล์อันเป็นอนุภาคในสมมติฐาน ซึ่งได้แก่ ปฏินิวทริโนที่มีไครัลซ้าย (left-chiral anti-neutrinos) และนิวทริโนที่มีไครัลขวา (right-chiral neutrinos) นิวทริโนเหล่านี้ถูกเรียกว่า "สเตอไรล์" หรือ "เป็นหมัน" (sterile) เนื่องจากพวกมันไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับอนุภาคใด ๆ ในแบบจำลองมาตรฐานได้ ยกเว้นอาจเป็นไปได้กับฮิกส์โบซอน อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน นิวทริโนประเภทนี้ยังคงเป็นเพียงสมมติฐาน และ ณ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2021 ยังไม่มีหลักฐานยืนยันการมีอยู่จริงของอนุภาคเหล่านี้
"MicroBooNE ได้ทำการสำรวจอย่างครอบคลุมผ่านอันตรกิริยาหลายประเภท และด้วยเทคนิคการวิเคราะห์และการสร้างภาพใหม่ที่หลากหลาย" บอนนี เฟลมิง (Bonnie Fleming) จากมหาวิทยาลัยเยล (Yale) ซึ่งเป็นผู้ร่วมโฆษกของโครงการกล่าว "ทุกวิธีการให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน ซึ่งทำให้เรามั่นใจอย่างมากในข้อสรุปของเราว่าเราไม่พบสัญญาณใด ๆ ที่บ่งชี้ถึงการมีอยู่ของนิวทริโนสเตอไรล์"[23]
"นิวตริโนสเตอไรล์ที่มีขนาดพลังงานในระดับ eV ดูเหมือนไม่มีแรงจูงใจทางการทดลองอีกต่อไป และไม่เคยช่วยแก้ปัญหาใด ๆ ที่ค้างคาอยู่ในแบบจำลองมาตรฐาน" มิคาอิล ชาโปชนิกอฟ (Mikhail Shaposhnikov) นักทฤษฎีจาก EPFL กล่าว "แต่นิวทริโนสเตอไรล์ที่มีขนาดพลังงานตั้งแต่ GeV จนถึง keV ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อเฟอร์มิออนมาโจรานา (Majorana fermion) นั้นมีแรงจูงใจทางทฤษฎีที่ดี และไม่ขัดแย้งกับการทดลองใด ๆ ที่มีอยู่"[23]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Griffiths, David (2009). Introduction to Elementary Particles. pp. 59–60. ISBN 978-3-527-40601-2.
- ↑ Schwinger, Julian (1957-11). "A theory of the fundamental interactions". Annals of Physics (ภาษาอังกฤษ). 2 (5): 407–434. doi:10.1016/0003-4916(57)90015-5.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ "HyperPhysics Concepts". web.archive.org. 2023-04-02.
- ↑ "The Nobel Prize in Physics 1979". NobelPrize.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ Fermi, E. (1934-03). "Versuch einer Theorie der ?-Strahlen. I". Zeitschrift f�r Physik (ภาษาเยอรมัน). 88 (3–4): 161–177. doi:10.1007/BF01351864. ISSN 1434-6001.
{{cite journal}}
: replacement character ใน|journal=
ที่ตำแหน่ง 14 (help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Wilson, Fred L. (1968-12-01). "Fermi's Theory of Beta Decay". American Journal of Physics (ภาษาอังกฤษ). 36 (12): 1150–1160. doi:10.1119/1.1974382. ISSN 0002-9505.
- ↑ "The Nobel Prize in Physics". NobelPrize.org. Nobel Media. 1957. Retrieved 26 February 2011.
- ↑ "Steven Weinberg, Weak Interactions, and Electromagnetic Interactions". web.archive.org. 2016-08-09.
- ↑ "The Nobel Prize in Physics 1979". web.archive.org. 2014-07-06.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 10.5 Cottingham, W. N.; Greenwood, D. A. (2001) [1986]. An introduction to nuclear physics (2nd ed.). Cambridge University Press. p. 30. ISBN 978-0-521-65733-4.
- ↑ al, W-M Yao et (2006-07-01). "Review of Particle Physics". Journal of Physics G: Nuclear and Particle Physics. 33 (1): 1–1232. doi:10.1088/0954-3899/33/1/001. ISSN 0954-3899.
- ↑ Watkins, Peter (1986). Story of the W and Z. Cambridge: Cambridge University Press. p. 70. ISBN 978-0-521-31875-4.
- ↑ 13.0 13.1 "Coupling Constants for the Fundamental Forces". hyperphysics.phy-astr.gsu.edu.
- ↑ 14.0 14.1 Christman, J. (2001). "The Weak Interaction" (PDF). Physnet. Michigan State University. Archived from the original (PDF) on 20 July 2011
- ↑ "The Particle Adventure". www.particleadventure.org.
- ↑ Greiner, Walter; Müller, Berndt (2009). Gauge Theory of Weak Interactions. Springer. p. 2. ISBN 978-3-540-87842-1.
- ↑ Baez, John C.; Huerta, John (2010). "The algebra of grand unified theories". Bulletin of the American Mathematical Society. 0904 (3): 483–552. arXiv:0904.1556. Bibcode:2009arXiv0904.1556B. doi:10.1090/s0273-0979-10-01294-2. S2CID 2941843. สืบค้นเมื่อ 15 October 2013.
- ↑ 18.0 18.1 Nakamura, K (2010-07-01). "Review of Particle Physics". Journal of Physics G: Nuclear and Particle Physics. 37 (7A): 075021. doi:10.1088/0954-3899/37/7A/075021. ISSN 0954-3899.
- ↑ Nakamura, K (2010-07-01). "Review of Particle Physics". Journal of Physics G: Nuclear and Particle Physics. 37 (7A): 075021. doi:10.1088/0954-3899/37/7A/075021. ISSN 0954-3899.
- ↑ Dzuba, V.A.; Berengut, J.C.; Flambaum, V.V.; Roberts, B. (2012). "Revisiting parity non-conservation in cesium". Physical Review Letters. 109 (20): 203003. arXiv:1207.5864. Bibcode:2012PhRvL.109t3003D. doi:10.1103/PhysRevLett.109.203003. PMID 23215482. S2CID 27741778.
- ↑ "Nobel Prize in Physics 1979". NobelPrize.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ Amsler, C.; Doser, M.; Antonelli, M.; Asner, D.M.; Babu, K.S.; Baer, H.; Band, H.R.; Barnett, R.M.; Bergren, E.; Beringer, J.; Bernardi, G. (2008-09). "Review of Particle Physics". Physics Letters B (ภาษาอังกฤษ). 667 (1–5): 1–6. doi:10.1016/j.physletb.2008.07.018.
{{cite journal}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ 23.0 23.1 cern (2021-10-28). "MicroBooNE sees no hint of a sterile neutrino". CERN Courier (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).