ข้ามไปเนื้อหา

แมงป่องช้าง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แมงป่องช้าง
Heterometrus laoticus ที่พบในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Arthropoda
ชั้น: Arachnida
อันดับ: Scorpiones
วงศ์: Scorpionidae
วงศ์ย่อย: Scorpioninae
สกุล: Heterometrus
Ehrenberg, 1828
ชนิดต้นแบบ
Buthus (Heterometrus) spinifer
Ehrenberg, 1828[1]
ชนิด

ประมาณ 33 ชนิด (ดูในเนื้อหา)

ชื่อพ้อง[2]
  • Palamnaeus Thorell, 1876
  • Heterometrus (Chersonesometrus) Couzijn, 1978
  • Heterometrus (Gigantometrus) Couzijn, 1978
  • Heterometrus (Javanimetrus) Couzijn, 1981
  • Heterometrus (Srilankametrus) Couzijn, 1981

แมงป่องช้าง เป็นแมงป่องที่อยู่ในสกุล Heterometrus ในวงศ์ Scorpionidae

ลักษณะ

[แก้]

มีลักษณะเด่น คือ ลำตัวใหญ่ มีสีเข้ม เช่น สีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำ มีก้ามขนาดใหญ่ แลดูน่าเกรงขาม มีลำตัวเรียว มีขาจำนวน 4 คู่ มีส่วนหัวและอกอยู่รวมกัน มีตาบนหัวหนึ่งคู่ และตาข้างอีก 3 คู่ตรงกลางหลัง และขอบข้างส่วนหน้า ตรงปากมีก้ามขนาดเล็ก ๆ อีก 1 คู่ ส่วนถัดมาเป็นปล้อง ประกอบด้วยปล้อง 7 ปล้อง ซึ่งปล้องที่ 3 มีอวัยวะสำคัญคือ ช่องสืบพันธุ์ และมีอวัยวะพิเศษ 1 คู่ มีรูปร่างคล้ายหวี ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากการสั่นของพื้นดิน ส่วนสุดท้ายคือส่วนหางเรียวยาว ประกอบด้วยปล้อง 5 ปล้องกับปล้องสุดท้าย คือ ปล้องพิษ มีลักษณะพองกลมปลายเรียวแหลม คล้ายรูปหยดน้ำกลับหัว บรรจุต่อมพิษ มีเข็มที่ใช้ต่อย คือ เหล็กใน สำหรับฉีดพิษ เพื่อล่าเหยื่อและป้องกันตัว

แมงป่องช้าง พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนในหลายพื้นที่ในทวีปเอเชีย เช่น กัมพูชา, ลาว, ไทย, เวียตนาม, อินเดีย, ศรีลังกา, เนปาล, จีน และธิเบต[2][3] จนถึงมาเลเซีย, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย[4] โดยมักจะหลบซ่อนในที่ ๆ ไม่มีแสงสว่าง ปราศจากการรบกวน เช่น ใต้ก้อนหิน, ท่อนไม้ หรือใต้ใบไม้ เป็นต้น ออกหากินในเวลากลางคืน ชอบอุณหภูมิแบบร้อนชื้นประมาณ 20-30 องศาเซลเซียส[5]

แมงป่องช้างเป็นสัตว์ดุ[6] กินอาหาร ได้แก่ พวกสัตว์ตัวเล็ก ๆ เช่น แมงมุม, บึ้ง, กิ้งกือ, หนอน และแมลงอื่น ๆ โดยจะกินขณะที่เหยื่อยังไม่ตาย แมงป่องช้างจะใช้ก้ามจับเหยื่อก่อนแล้วใช้หางที่มีเหล็กในต่อยเหยื่ออย่างรวดเร็วซ้ำหลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งเหยื่อตายแมงป่องจึงจะใช้ก้ามเล็ก ๆ 1 คู่ ตัดอาหารออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนที่จะกิน รวมถึงกินพวกเดียวกันเองด้วย แมงป่องช้างตัวเมียจะกินตัวผู้หลังผสมพันธุ์เสร็จ[6]

แมงป่องช้าง แม้จะมีลำตัวขนาดใหญ่ น่าเกรงขาม แต่ทว่าพิษกลับไม่สามารถทำอันตรายมนุษย์ให้ถึงแก่ชีวิตได้[4] หลังการผสมพันธุ์แมงป่องช้างตัวเมียจะตั้งท้อง โดยจะมีการขยายตัวของกล้ามเนื้อที่ยึดระหว่างปล้องที่ 3 ถึงปล้องที่ 7 แม่แมงป่องช้างจะตั้งท้องนานประมาณ 7 เดือนถึง 1 ปี จากนั้นจะออกลูกออกมาเป็นตัวในช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ช่วงฤดูฝนที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์

วงจรชีวิต

[แก้]

แมงป่องช้างตัวผู้จะมีลักษณะเรียว หางยาวและก้ามใหญ่ แถบข้างลำตัวสีขาวอมเทา เมื่อถูกบุกรุกจะชูก้าม ชูหางข่มคู่ต่อสู้ ส่วนตัวเมียส่วนท้องจะอ้วนและโตกว่า แถบข้างลำตัวสีขาวอมเทา [5]

ก่อนตกลูก แม่แมงป่องจะซ่อนตัวในที่ปลอดภัย ลูกแมงป่องเกิดใหม่จะคลานไปมาบริเวณใต้ท้องแม่ ส่วนแม่แมงป่องจะงอขาคู่แรกรองรับลูกบางตัวเอาไว้ และกางอวัยวะคล้ายหวี ออกเต็มที่เพื่อให้ช่องสืบพันธุ์อยู่พ้นจากพื้นดินให้มากที่สุด หากอวัยวะคล้ายหวีส่วนนั้นสัมผัสพื้นจะไม่ยอมคลอด เพราะลูกอาจมีอันตราย

แมงป่องช้างตกลูกครั้งละประมาณ 7–28 ตัว ด้วยอัตราประมาณ 1 ตัว/1 ชั่วโมง ดังนั้นแม่แมงป่องจึงใช้เวลาตกลูกแต่ละครอกนานมาก ตั้งแต่ 12–24 ชั่วโมง ลูกแมงป่องเกิดใหม่จะปีนขึ้นไปเกาะกลุ่มเป็นก้อนสีขาวยั้วเยี้ยบนหลังแม่แมงป่อง ซึ่งระยะนี้แม่แมงป่องจะกินอาหารและน้ำน้อยมาก และไม่เคลื่อนย้ายไปไหนหากไม่จำเป็น เพราะต้องคอยระวังภัยให้ลูก ส่วนลูกแมงป่องจะอยู่บนหลังแม่นานถึงสองสัปดาห์โดยไม่กินน้ำและอาหารเลย

ลูกแมงป่องช้างแรกเกิดมีสีขาวล้วน ยกเว้นตาที่เป็นจุดดำสองจุด ตามลำตัวอาจมีจุดสีดำหรือน้ำตาล ตัวอ่อนนุ่มนิ่ม อ้วนกลมเป็นปล้อง ๆ ส่วนหางสั้น ลำตัวเมื่อยืดหางออกเต็มที่ยาว 1.3 เซนติเมตร และหนัก 0.2 กรัม ในสามวันแรกลักษณะภายนอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด ส่วนใหญ่ลูกแมงป่องจะเกาะกลุ่มกันอยู่นิ่ง ๆ กระทั่งหลังวันที่ 5 สีของลูกแมงป่องช้างจะเข้มขึ้น จากสีขาวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน เมื่ออายุ 7 วัน ลูกแมงป่องช้างมีขนาด 1.7 เซนติเมตร หนัก 0.18 กรัม เคลื่อนไหวมากขึ้น และอาจไต่ไปมาบนหลังแม่

ในช่วงที่อยู่บนหลังแม่นี้ ลูกแมงป่องช้างได้พลังงานและน้ำจากการสลายไขมันที่สะสมอยู่ในลำตัวที่อ้วนกลม จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่แรกเกิดกระทั่งถึงระยะนี้ และไม่พบการเรืองแสง

ลูกแมงป่องช้างจะลอกคราบครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 11 วัน หลังลอกคราบลักษณะภายนอกจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากลำตัวอวบอ้วนสีขาวเปลี่ยนเป็นลำตัวผอมเพรียวสีน้ำตาลเข้ม เริ่มเคลื่อนไหวรวดเร็ว ลูกแมงป่องบางตัวจะขึ้น ๆ ลง ๆ จากหลังแม่ และเริ่มสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ยังคงไม่กินอะไรทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ลักษณะสำคัญที่เห็นได้ชัดคือเริ่มมีการเรืองแสงตามก้ามและขา ยกเว้นส่วนหลังและท้อง กระทั่งเข้าสู่วันที่ 14 แม้สีของลูกแมงป่องไม่ต่างจากตอนลอกคราบใหม่ ๆ นัก แต่กลับพบว่ามีการเรืองแสงเพิ่มมากขึ้น เมื่อลูกแมงป่องมีอายุประมาณ 15 วัน จะลงจากหลังแม่จนหมด และมีการเรืองแสงทั่วทั้งตัว ลำตัวยาว 2.7 เซนติเมตร น้ำหนัก 0.14 กรัม พร้อมแสดงท่าทางการยกหาง

หลังจากนี้เป็นต้นไป สีผิวของลูกแมงป่องจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น จะเคลื่อนไหวรวดเร็ว และชอบซุกตัวอยู่ตามซอกหิน ใต้ใบไม้ ลูก ๆ ที่เป็นอิสระจากแม่แล้วจะยังคงอาศัยอยู่ร่วมกันกับแม่ เนื่องจากยังล่าเหยื่อไม่ได้ก็จะคอยกินเศษอาหารที่เหลือจากแม่ จนกว่าจะสามารถล่าเหยื่อเองได้จึงจะแยกไปอยู่ตามลำพัง ลูกแมงป่องช้างเจริญเติบโตช้ามาก อายุ 1 เดือนมีขนาดราว 3.3 เซนติเมตร หนัก 0.32 กรัม อายุ 1 ปี มีขนาดราว 6 เซนติเมตร และหนักราว 2 กรัม ต้องใช้เวลาอีกนานนับปีและลอกคราบอีกหลายครั้งจึงจะโตเป็นตัวเต็มวัย โดยทั่วไปแมงป่องช้างจะมีอายุราว 3–5 ปี[7]

และบางครั้งหลังการผสมพันธุ์และคลอดลูก แมงป่องช้างตัวเมียจะจับตัวผู้หรือลูก ๆ กินเป็นอาหาร[5]

ความสำคัญ

[แก้]

แมงป่องช้าง เป็นสัตว์ที่บางพื้นที่นิยมจับมากินเป็นอาหาร โดยให้โปรตีนเช่นเดียวกับสัตว์อื่น ๆ ปัจจุบันมีบางพื้นที่นิยมเพาะเลี้ยงกันในบ่อปูนซีเมนต์เป็นสัตว์เศรษฐกิจ เพื่อการบริโภค มีราคาซื้อขายกันในราคาที่สูง อีกทั้งบางเชื้อชาติ เช่น ชาวจีน, ชาวญี่ปุ่น เชื่อว่าอาจรับประทานแมงป่องช้างแล้ว มีสรรพคุณทางยาหลายอย่าง[7] โดยการเลี้ยงเพื่อการบริโภคใช้เวลาประมาณ 8–12 เดือน หรือ 1 ปี[8] รวมถึงมีผู้นิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลินเช่นเดียวกับ บึ้ง ด้วย [5][4] ซึ่งแมงป่องช้างที่เพาะเลี้ยงออกมาซึ่งการเลี้ยงจะใช้เวลานานกว่าแบบที่เพาะเลี้ยงเพื่อการบริโภค[8]

การจำแนก

[แก้]

จำแนกได้ประมาณ 33 ชนิด (พบในประเทศไทย 6 ชนิด[9]) ได้แก่

อ้างอิง

[แก้]
  1. Karsch, F. (1879). "Skorpionologische Beiträge I.". Mitteilungen des Münchener Entomologischen Vereins (ภาษาเยอรมัน). 3: 6–22.
  2. 2.0 2.1 Kovařík, F. (2004). "A review of the genus Heterometrus Ehrenberg, 1828, with descriptions of seven new species (Scorpiones, Scorpionidae)" (PDF). Euscorpius. 15: 1–60.
  3. Lourenço, W.O.; Qi, J.-X.; Zhu, M.-S. (2005). "Description of two new species of scorpion from China (Tibet) belonging to the genera Mesobuthus Vachon (Buthidae) and Heterometrus Ehrenberg (Scorpionidae)" (PDF). Zootaxa. 985: 1–16.
  4. 4.0 4.1 4.2 พิสุทธิ์ เอกอำนวย, คู่มือคนรักแมลง 2 การเลี้ยงด้วง (มีนาคม พ.ศ. 2552). หน้าที่ 254. 255 หน้า ISBN 978-974-660-832-9.
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 "'แมงป่องช้าง'ลงทุนน้อย-ตลาดรับไม่อั้น". คมชัดลึก. 24 พฤษภาคม 2013.
  6. 6.0 6.1 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : แมงป่องช้าง. ช่อง 7. 1 กันยายน 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2015. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2015.
  7. 7.0 7.1 แมลงและแมงกินได้ที่พบมากในเดือนกุมภาพันธ์. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช.
  8. 8.0 8.1 สารคดีเกษตร : เปิดพิสดาร “แมงป่องช้างทอด”. ช่อง 7. 1 กันยายน 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (Flash)เมื่อ 1 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2015.
  9. "Species : Heterometrus laoticus". siamensis.org. 4 ตุลาคม 2011.
  10. Manny Rubio (2000). "Commonly Available Scorpions". Scorpions: Everything About Purchase, Care, Feeding, and Housing. Barron's Educational Series. pp. 26–27. ISBN 978-0-7641-1224-9. The emperor scorpion can reach an overall length of more than 8 inches (20 cm). It is erroneously claimed to be the largest living scorpion in the world. However, some species of Forest Scorpions are its equal. [...] Emperor scorpions have the same venom as a bee.The Guinness Book of Records claims a Forest Scorpion native to rural India, Heterometrus swammerdami, to be the largest scorpion in the world (9 inches [23 cm]).

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]