ข้ามไปเนื้อหา

แจ็ก เลอ กอฟฟ์

นี่คือบทความคุณภาพ คลิกเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

แจ็ก เลอ กอฟฟ์
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด8 เมษายน ค.ศ. 1931
อาล็องซง จังหวัดออร์น ประเทศฝรั่งเศส
เสียชีวิตกรกฎาคม 24, 2009(2009-07-24) (78 ปี)
โซมูร์ จังหวัดแมเนลัวร์ ประเทศฝรั่งเศส

แจ็ก หลุยส์ โฌแซ็ฟ มารี เลอ กอฟฟ์ (ฝรั่งเศส: Jack Louis Joseph Marie Le Goff; เกิดวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1931 ณ อาล็องซง จังหวัดออร์น ประเทศฝรั่งเศส – เสียชีวิตวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ณ โซมูร์ จังหวัดแมเนลัวร์ ประเทศฝรั่งเศส) เป็นนักกีฬาขี่ม้าชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ฝึกสอนทีมอีเวนติงสามวันของสหรัฐตั้งแต่ ค.ศ. 1970 ถึง 1984 เขาได้ฝึกทีมดังกล่าวในการแข่งชิงแชมป์ระดับนานาชาติหลายรายการโดยได้รับรางวัลระดับนานาชาติ 18 เหรียญ รวมถึงอีกหลายรายการในการแข่งกีฬาโอลิมปิก เลอ กอฟฟ์ เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อโลกแห่งการแข่งอีเวนติงของสหรัฐ และยุคที่เขาเป็นผู้ฝึกสอนได้รับการขนานนามว่าเป็นยุคทองแห่งกีฬาขี่ม้าของสหรัฐ

ก่อนที่จะมาเป็นผู้ฝึกสอนทีมสหรัฐ เลอ กอฟฟ์ ได้รับราชการในกองทัพฝรั่งเศส และเข้าร่วมในการแข่งอีเวนติงสามวันให้แก่ทีมชาติฝรั่งเศส เขาร่วมแข่งกีฬาขี่ม้าในโอลิมปิกฤดูร้อน 1960 โดยได้รับรางวัลเหรียญทองแดงในประเภททีม และโอลิมปิกฤดูร้อน 1964 ซึ่งเขาไม่ได้รับเหรียญรางวัล ต่อมาเขารับหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนให้แก่ทีมอีเวนติง 3 วันของฝรั่งเศส โดยได้รับเหรียญรางวัลระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติหลายรายการ หลังจากเกษียณในฐานะผู้ฝึกสอนทีมสหรัฐ เขาได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของทีมกีฬาขี่ม้าสหรัฐ (USET) สำหรับการพัฒนานักขี่ม้าใหม่, ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกทีมกีฬาขี่ม้าสหรัฐ และเป็นผู้ฝึกสอนให้แก่ทีมชาติแคนาดา เขายังเป็นผู้ตัดสินของสหพันธ์กีฬาขี่ม้านานาชาติ, กรรมการ และผู้ตัดสินคำอุทธรณ์ในโอลิมปิก

ชีวิตส่วนตัวและอาชีพการแข่ง

[แก้]

แจ็ก เลอ กอฟฟ์ เกิดใน ค.ศ. 1931 พ่อของเขาเป็นนายทหารม้าชาวฝรั่งเศส แจ็กเริ่มขี่ม้าเร็วกว่าปกติ และในช่วงวัยรุ่นของเขาได้แข่งในฐานะจอกกีการแข่งม้าวิ่งข้ามสิ่งกีดขวาง เช่นเดียวกับการแสดงในศิลปะการบังคับม้า, กีฬาขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง และอีเวนติง เมื่ออายุสิบเจ็ดปี หลังจากการเสียชีวิตของพ่อเขา เลอ กอฟฟ์ ได้เข้าร่วมกองทัพฝรั่งเศสและเริ่มขี่ม้าให้กับกาเดรอนัวร์ ซึ่งเป็นสถาบันการขี่ม้าแห่งชาติ หลังจากการฝึก เขากลายเป็นครูผู้สอนด้านการขี่ม้าที่โรงเรียนและเขายังคงอยู่ในตำแหน่งนี้เป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ[1] ในฐานะทหารฝรั่งเศส เขาได้ต่อสู้ในสงครามแอลจีเรียหลังจากปรากฏตัวในกีฬาโอลิมปิก ค.ศ. 1960 เลอ กอฟฟ์ ร่วมแข่งในโอลิมปิกสองครั้งใน ค.ศ. 1960 และ 1964 โดยใน ค.ศ. 1960 ที่โรมาเกมส์ เขาจบด้วยอันดับที่หกในประเภทบุคคล และช่วยให้ฝรั่งเศสได้รับรางวัลเหรียญทองแดงในประเภททีม ส่วนในการแข่งโอลิมปิกฤดูร้อน 1964 ที่โตเกียว เขาจบด้วยอันดับที่ยี่สิบสามในประเภทบุคคล ในขณะที่ทีมฝรั่งเศสของเขาได้อันดับแปด นอกจากนี้ เขายังเป็นแชมป์อีเวนติงแห่งประเทศฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1956 และ 1964[2] เขามีชีวิตอยู่กับลูกสามคนของเขา ได้แก่ มาร์ทีน, ดอมีนิก และซีรีล ร่วมกับโปลีน คาลีเสค, ลูกสองคน ได้แก่ ฟลอเรนซ์, กอรีน ร่วมกับมารี-มาดแลน จีโร, หลานห้าคนและเหลนห้าคน ร่วมกับซูซาน สมิธ ซึ่งเป็นสหายที่คบกันมายาวนานของเขา

อาชีพผู้ฝึกสอน

[แก้]

หลังจากกลับมาจากแอลจีเรียและการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ค.ศ. 1964 เลอ กอฟฟ์ กลายเป็นผู้ฝึกสอนทีมอีเวนติงของฝรั่งเศส ซึ่งยังคงอยู่เช่นนี้ผ่านโอลิมปิกฤดูร้อน 1968 ในตำแหน่งนี้ เขาได้เป็นผู้ฝึกสอนกีฬาขี่ม้าพลเรือนคนแรกที่รับตำแหน่งผู้นำ ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพบก ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง นักขี่ม้าชาวฝรั่งเศสได้รับรางวัลเหรียญทองในการแข่งโอลิมปิกฤดูร้อน 1968 รวมถึงเยาวชนชิงแชมป์ยุโรป 1967 และ 1968[1]

หลังจากการแข่งกีฬาโอลิมปิกในประเทศเม็กซิโก เขาได้รับการคัดเลือกให้ไปสหรัฐ และกลายเป็นผู้ฝึกสอนการแข่งอีเวนติงของทีมกีฬาขี่ม้าสหรัฐ เขาได้ฝึกสอนให้แก่ทีมผ่านการแข่งชิงแชมป์ระดับนานาชาติแปดรายการ รวมถึง ค.ศ. 1970 จนถึงโอลิมปิก ค.ศ. 1984 ทีมของเขาได้รับรางวัลระดับนานาชาติ 18 เหรียญ[2] โดยเฉพาะอย่างยิ่งรางวัลเหรียญทองในประเภททีมและรางวัลเหรียญเงินในประเภทบุคคลที่ลอสแอนเจลิสใน ค.ศ. 1984

ในช่วงเวลาที่เขาเป็นผู้ฝึกสอน เลอ กอฟฟ์ สามารถควบคุมทีมอีเวนติงของสหรัฐได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงการคัดเลือก, การฝึก และการจับคู่ม้ากับผู้ขี่ เขาบอกว่าเขาสามารถ "ปิดตาระบุม้าอีเวนต์ของทีมได้ เพียงแค่เอามือลูบขาเท่านั้น"[3] แม้ว่าอำนาจนี้จะถูกพรากไปจากผู้ฝึกสอนอีเวนติงของสหรัฐและระบบการเลือกเป้าหมายที่มากขึ้น แต่ความสามารถของเลอ กอฟฟ์ ในด้านนี้ทำให้ทีมสหรัฐได้รับเหรียญรางวัลจำนวนมากในขณะที่เขาเป็นผู้ฝึกสอน[3] ในตำแหน่งผู้ฝึกสอนทีมอเมริกัน เจนนิเฟอร์ ไบรอันต์ ซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ทีมกีฬาขี่ม้าสหรัฐได้ขนานนามให้เขาเป็น "หนึ่งในผู้ฝึกสอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์การแข่งอีเวนติงสามวัน"[4] ในขณะที่เขาสร้างทีมที่ได้รับรางวัลหลายเหรียญจากม้าและนักกีฬาขี่ม้าที่ไม่รู้จักมาก่อน[1]

หลังจากเกษียณในฐานะผู้ฝึกสอนทีมอเมริกัน เขาใช้เวลาห้าปีที่แฮมิลตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ในตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ฝึกทีมกีฬาขี่ม้าสหรัฐ (USET)[5] เขายังคงทำงานพาร์ตไทม์ในการพัฒนาเหล่านักขี่ม้าหน้าใหม่ให้แก่ทีมอเมริกัน ตลอดจนงานฝึกสอนพาร์ตไทม์แก่ทีมแคนาดาในโอลิมปิกฤดูร้อน 1992 นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งสมาชิกของคณะกรรมการการแข่งอีเวนติงสามวันสหพันธ์กีฬาขี่ม้านานาชาติ (FEI) รวมถึงทำหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินการแข่งอีเวนติงสามวันโดยมีตำแหน่ง "โอ" ซึ่งหมายถึงนานาชาติอย่างเป็นทางการ[6] เลอ กอฟฟ์ ได้เป็นกรรมการตัดสินในการแข่งอีเวนติงของเวิลด์อีเควสเทรียนเกมส์ 1994, โอลิมปิกฤดูร้อน 1996 และการแข่งชิงแชมป์ยุโรปหลายรายการ[5][7] ในการแข่งโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 เขาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการแข่งอีเวนติงสามวันของสหพันธ์กีฬาขี่ม้านานาชาติและเป็นตัวแทนของคณะกรรมการอุทธรณ์ โดยให้ความช่วยเหลือกำกับดูแลการแข่งกีฬาขี่ม้าในเกมดังกล่าว[8] หลังจากเกษียณจากการฝึกสอนและการตัดสิน เขาได้ย้ายไปอยู่ระหว่างบ้านในรัฐเพนซิลเวเนีย, รัฐแอริโซนา และประเทศฝรั่งเศส กระทั่งเสียชีวิตที่ฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. 2009[2]

สิ่งสืบทอด

[แก้]

ใน ค.ศ. 1983 เลอ กอฟฟ์ ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนักขี่ม้าแห่งปีโดยสมาคมการแสดงม้าอเมริกัน (ซึ่งมีอยู่ก่อนสมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งสหรัฐ)[5] ส่วนใน ค.ศ. 1999 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เข้าสู่หอเกียรติยศของสมาคมอีเวนติงแห่งสหรัฐ[9] ตามด้วยการได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งใน 50 นักขี่ม้าที่มีอิทธิพลมากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบจากนิตยสารโครนิเคิลออฟเดอะฮอร์ส ใน ค.ศ. 2002[10] ครั้นใน ค.ศ. 2009 หลังจากที่เขาเสียชีวิต ทีมกีฬาขี่ม้าสหรัฐได้ประกาศจัดตั้งกองทุนอนุสรณ์แจ็ก เลอ กอฟฟ์ เพื่อมอบทุนการเดินทางให้แก่นักขี่ม้าจากสหรัฐที่เข้าแข่งขันในอีเวนติงเวิลด์คัพไฟนอลของสหพันธ์กีฬาขี่ม้านานาชาติ[11]

นักขี่ม้าโอลิมปิกของสหรัฐผู้ช่ำชอง เช่น ไมเคิล เพจ และไมค์ ฮิวเบอร์ ได้สดุดีต่อเลอ กอฟฟ์ ว่ามีอิทธิพลอย่างมากต่อการแข่งอีเวนติงของชาวอเมริกัน[12] ส่วนไมเคิล พลัมบ์ ซึ่งเป็นนักขี่ม้าโอลิมปิกของสหรัฐอีกคนหนึ่ง ได้กล่าวถึงเลอ กอฟฟ์ ว่า "เขาเป็นคนที่มีระเบียบวินัย เขาเข้มงวดมาก และเขาก็เป็นผู้ฝึกสอนให้แก่ทีม ผมคิดว่าเราเสียดายแนวทางของเขา เขาสามารถขี่ม้าตัวใดก็ได้ที่นำเข้ามาในทีม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบศิลปะบังคับม้า หรือการขี่ม้าทางวิบาก หรือครอสคันทรี"[13] ทั้งนี้ คริสต์ทศวรรษ 1960, คริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นที่รู้จักกันในนาม "ยุคทองกีฬาขี่ม้า" ของสหรัฐ[14] โดยเลอ กอฟฟ์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในสนามกีฬาการแข่งอีเวนติง[14] ส่วนเดนนี อีเมอร์สัน นักขี่ม้าอีเวนติงชั้นนำอีกคนหนึ่งของสหรัฐ ได้กล่าวว่าเลอ กอฟฟ์ เป็น "นักกลยุทธ์, ผู้สร้างฉันทามติ, นักขี่ม้าที่สมบูรณ์, คนเจ้าชู้อุกอาจ, ผู้เล่าเรื่องตลกร้าย, ผู้ก่อการ, พ่อครัวใหญ่, พ่อ, ชาวประมง และน่าจะเป็นตัวกำหนดตัวตนที่สำคัญที่สุดของทั้งหมด ก็คือความมีชีวิตชีวาของชายชาวฝรั่งเศสที่เป็นแก่นสาร"[15]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 Bryant, pp. 115–116
  2. 2.0 2.1 2.2 "Jack Le Goff". sports-reference.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-16. สืบค้นเมื่อ 2011-11-12.
  3. 3.0 3.1 Bryant, pp. 41–42
  4. Bryant, p. 114
  5. 5.0 5.1 5.2 "Equestrian Safety Program". Equestrian Medical Safety Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-04-21. สืบค้นเมื่อ 2012-02-08.
  6. Bryant, p. 120
  7. "Jack LeGoff". United States Eventing Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-08-11. สืบค้นเมื่อ 2012-02-08.
  8. Bryant, p. 237
  9. "Hall of Fame". United States Eventing Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-11-11. สืบค้นเมื่อ 2012-02-08.
  10. Church, Stephanie L. (October 11, 2002). "Most Influential Horsemen Announced". The Horse. สืบค้นเมื่อ 2012-02-08.
  11. Wood, Jennifer (July 31, 2009). "USET Foundation Announces Jack Le Goff Memorial Fund for Eventing Riders". United States Equestrian Team Foundation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-01-06. สืบค้นเมื่อ 2012-02-08.
  12. Strickland, Charlene (May 1, 2001). "The Educated Equestrian". The Horse. สืบค้นเมื่อ 2012-02-08.
  13. Bryant, p. 127
  14. 14.0 14.1 Bryant, p. 155
  15. Emerson, Denny (August 21, 2009). "Remembering Jack Le Goff". Chronicle of the Horse. สืบค้นเมื่อ 2012-02-08.

อ้างอิง

[แก้]