เหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส–พาลีโอจีน
หน้าตา
(เปลี่ยนทางจาก เหตุการณ์การสูญพันธุ์ในยุคครีเทเชียส-พาลิโอจีน)
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
เหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคครีเทเชียส-พาลิโอจีน เกิดขึ้นเมื่อราว 66 ล้านปีก่อน[1] เป็นหนึ่งในการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก การสูญพันธุ์ครั้งนี้เกิดหลังเหตุการณ์การสูญพันธุ์ยุคไทรแอสสิก-จูแรสสิก ในช่วงปลายยุคครีเทเชียส ซึ่งกวาดล้างสิ่งมีชีวิตไปกว่า 70% หรือประมาณ 3 ใน 4 ของสายพันธุ์ทั้งหมดบนโลก[2][1][3]รวมถึงพวกไดโนเสาร์ เทอโรซอร์ และสัตว์เลื้อยคลานใต้ทะเล[ต้องการอ้างอิง] สาเหตุการสูญพันธุ์ในครั้งนี้นั้นได้มีการสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากอุกกาบาตที่พุ่งชนโลกบริเวณคาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก
ทฤษฎีต่าง ๆ ที่อธิบายการสูญพันธุ์
[แก้]- ทฤษฎีอุกกาบาตชนโลก เป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือที่สุด โดยสาเหตุของทฤษฎีนี้ เพราะว่ามีการค้นพบหลุมอุกกาบาต ขนาด 10 กม. ในบริเวณแหลมยูกาตัน ประเทศเม็กซิโก และนอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอิริเดียม ที่พบมากในอุกกาบาต ในบริเวณแหลมยูกาตันด้วย ซึ่งแร่ธาตุอิริเดียม พวกนี้อาจมาจากอุกกาบาตที่พุ่งชนโลก ในบริเวณนั้น
- ทฤษฎีภูเขาไฟระเบิด เป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือเช่นเดียวอุกกาบาตพุ่งชนโลก ซึ่งภูเขาไฟทั่วโลกอาจระเบิดพร้อมกัน ทำให้พืชที่ไดโนเสาร์กินพืชกินนั้นเป็นพิษเมื่อมันกินเข้าไป ทำให้พวกไดโนเสาร์กินพืชต่างล้มตาย และเมื่อพวกกินเนื้อไม่มีอาหารคือพวกกินพืช พวกมันก็ล่ากันเอง จนสูญพันธุ์ในที่สุด
- ทฤษฎีอากาศหนาวขึ้นและการเปลี่ยนแปลงกะทันหันของสภาพแวดล้อม โดยฤดูกาลในโลกอาจเปลี่ยนแปลง ทำให้มีหิมะตก จนอากาศหนาวขึ้น และเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง พวกสัตว์อาจปรับตัวไม่ทันและสูญพันธุ์ในที่สุด
- ทฤษฎีไข่ถูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขโมย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินไข่อาจเพิ่มจำนวนขึ้น และเข้าไปกินไข่ของสัตว์อื่น แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นสัตว์เลื้อยคลานใต้ทะเลพวกอิกธีโอซอร์ ที่ไม่วางไข่บนบกจะไม่สูญพันธุ์ รวมทั้งแอมโมไนต์ ปลาในมหายุคมีโซโสอิคด้วย[ต้องการอ้างอิง]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Renne, Paul R.; Deino, Alan L.; Hilgen, Frederik J.; Kuiper, Klaudia F.; Mark, Darren F.; Mitchell, William S.; Morgan, Leah E.; Mundil, Roland; Smit, Jan (7 February 2013). "Time Scales of Critical Events Around the Cretaceous-Paleogene Boundary" (PDF). Science. 339 (6120): 684–687. Bibcode:2013Sci...339..684R. doi:10.1126/science.1230492. PMID 23393261. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-02-07. สืบค้นเมื่อ 2018-02-20.
- ↑ "International Chronostratigraphic Chart". International Commission on Stratigraphy. 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 30, 2014. สืบค้นเมื่อ 29 April 2015.
- ↑ Fortey, Richard (1999). Life: A Natural History of the First Four Billion Years of Life on Earth. Vintage. pp. 238–260. ISBN 978-0-375-70261-7.
หนังสืออ่านเพิ่ม
[แก้]- Fortey, R (2005). Earth: An Intimate History. Vintage. ISBN 9780375706202.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "The Chicxulub Debate". Princeton University. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-09-20. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- McLean D (1995). "The Deccan Traps Volcanism-Greenhouse Dinosaur Extinction Theory". University of Vermont. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-08-09. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- Kring DA (2005). "Chicxulub Impact Event: Understanding the K–T Boundary". NASA Space Imagery Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-29. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- Cowen R (2000). "The K–T extinction". University of California Museum of Paleontology. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- "What killed the dinosaurs?". University of California Museum of Paleontology. 1995. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- Rincon, P (2004-03-01). "Dinosaur impact theory challenged". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- Lovett RA (2006-10-30). ""Dinosaur Killer" Asteroid Only One Part of New Quadruple-Whammy Theory". National Geographic News. สืบค้นเมื่อ 2007-08-02.
- "BBC—Radio 4 In Our Time—KT Boundary" (RealAudio). BBC News. สืบค้นเมื่อ 2008-03-13.
- Alleyne, Richard (2010-03-04). "Dinosaurs wiped out by asteroid impact that turned earth into a 'hellish' place". London: The Daily Telegraph. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-12-12. สืบค้นเมื่อ 2010-03-05.