เดอะบอกซ์ทรี
เดอะบอกซ์ทรี คือ ร้านอาหารตั้งอยู่ในเมืองอิลลีย์ เขตยอร์คเชอร์ตะวันตก ในอังกฤษ พ่อครัวไซมอน เกลเลอร์และรีนา ภรรยาของไซมอนเคยเป็นผู้ดูแลกิจการตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ร้านได้ถูกตกแต่งใหม่โดยใช้องค์ประกอบตกแต่งจากเจ้าของร้านดั้ง เดิม มีเสียงตอบรับที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากนักวิจารณ์อาหาร ร้านได้รับ 1 ดาวจากมิชลิน และ 3 กุหลาบจาก เอเอ (สมาคมรถยนต์) โดยพ่อครัวไซมอนได้ตั้งบริษัทในเครือ ชื่อว่า บอกซ์ทรีอีเวนท์ เริ่มแรก ร้านเปิดเป็นร้านน้ำชาในปี ค.ศ. 1962 และกลายเป็นหนึ่งในสี่ร้าน อาหารในอังกฤษที่ได้ 2 ดาวในปี ค.ศ. 1977 หลังจากได้สูญเสียดาวทั้งสองไป ทางร้านก็ได้ 1 ดาวกลับคืนมาในระหว่างปี ค.ศ. 1996 และ ค.ศ. 2001 ซึ่งเจ้าของในขณะนั้นคือ เฮเลย เอวิส ในปี ค.ศ. 2010 อดีตพนักงาน ชื่อว่า มาร์โค ปิแอร์ ไวท์ ได้ถูกว่าจ้างกลับมาอีกครั้ง ร้านอาหารจึงมีอาหารฝรั่งเศสสมัยใหม่ให้บริการ ทำให้ได้รับรางวัล 3 กุหลาบจาก เอเอ และได้ลงรายชื่อในรายการแนะนำร้านอาหารของฮาร์เดน
ลักษณะ
[แก้]เดอะบอกซ์ทรีตั้งอยู่ที่เลขที่ 35-37 ถนนเชิร์ชในเมืองอิลลีย์ตั้งแต่เริ่มเปิดครั้งแรกโดยมาร์คอม รีด และคอลลิน ลองในปี ค.ศ. 1962[1][2] โดยร้านเปลี่ยนมาบริหารโดยไซมอน และรีนา เกลเลอร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 [3] ภายใต้สัญญาการเช่าต่อจากผู้บริหารรายเดิม [4] เกลเลอร์เคยเป็นหัวหน้าพ่อครัวที่ร้านราสคาส[3][5]ที่ได้รับดาวจากมิชลิน ครอบครัวเกลเลอร์ยังได้บริหาร บริษัทในเครือที่ชื่อ บอกซ์ทรีอีเวนท์ ที่รับงานจัดเลี้ยงอีกด้วย[6] หลังจากเกลเลอร์ซื้อร้านมาในปี ค.ศ. 2004 ก็ได้ทำการตกแต่งร้านใหม่ให้ทันสมัยขึ้น ปรับปรุงการตกแต่งที่ทรุดโทรมจากเจ้าของคนก่อนๆ โดยรวมถึงการใช้ไฟและผนังผ้าในการตกแต่ง[3] มีเตาผิงอยู่ที่กลางห้อง และใช้แบบเก้าอี้ไม้แบบสมัยศตวรรษที่ 18 [2] แต่ยังคงองค์ประกอบจากสมัยของรีดและลองอยู่ โดยใช้บาร์และเพดานเดิมๆ ของร้าน[7]
รายการอาหาร
[แก้]รายการอาหารปัจจุบันยังคงรายการเดิมตั้งแต่สมัยเริ่มเปิดร้าน[2] เช่น ลุฟเตอร์เตอมิดอร์(อาหารฝรั่งเศส)และเกราส์[8] พ่อครัวเกลเลอร์ได้สร้างผลงานอาหารฝรั่งเศสสมัยใหม่[9] โดยใช้องค์ประกอบดั้งเดิม รายงานอาหารอื่นๆ รวมถึง ตับบดที่มาพร้อมกับสลัดปลาไหลรมควัน และเจลลี่แอปเปิ้ลและซุปข้นแอปเปิ้ล[10] ตับบดได้ถูกเอาออกจากรายการอาหารชั่วคราวในปี ค.ศ. 2008 เนื่องจากการประท้วงจากนักเคลื่อนไหวสิทธิสัตว์ [11] ต่อมาได้ถูกเพิ่มขึ้นมาใหม่ และได้ถูกรวมในรายการตับบดและเทอรีนเป็ดกับ พิสทาชิโอ[7] เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปีของร้านในปี ค.ศ. 2008 เกลเลอร์ได้เพิ่มรายการอาหารที่เคยมีในปี ค.ศ. 1963 แต่ตัดสินใจที่จะไม่ผลิตอาหารบางชนิด เช่น เชสเสอร์ไก่ หรือ เมล่อนโบท ส่วนอื่นๆในรายการอาหารดั้งเดิม คือ เครป และเกรฟฟรุ๊ทย่าง(ครึ่งหนึ่ง) อาหารที่เลือกได้รวมอยู่ในรายการอาหารชุด6 รายการของทศวรรษ 1960 [12]
ประวัติ
[แก้]ตัวอาคารหินทรายถูกสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1720[10][13] รีดและลองได้ซื้อต่อมาในปี ค.ศ. 1962 เพื่อเปิดเป็นร้านขายน้ำชา [2] (และอาหารเบาๆ) ร้านได้รับ 2 ดาวจากมิชลินในปี ค.ศ. 1977 ในรายการในปีนั้น ร้านเป็นร้านอาหารที่ 1 ที่ได้ 2 ดาวในอังกฤษ (ร้านที่เหลือที่ได้รับ 2 ดาว เช่นกัน ได้แก่ วอเตอร์ไซด์อินน์ เลอเกฟฮอช และ คอนนอกซ์ [14]
ร้านกลายเป็นร้านยอดนิยม ของบรรดาผู้คนที่มีชื่อเสียง มีจอห์นนี่ เมทธิสเป็นลูกค้าประจำ และทั้งเชอรี่ บาสซี่และมาร์กาเรต แทตเชอร์ก็เคยมาเป็นลูกค้าของร้าน[2] ในปี ค.ศ. 1979 พ่อครัวมาร์โค ปีแอร์ ไวท์ (ซึ่งต่อมาได้เป็นพ่อครัวดาวมิชลินหลายครั้ง)ได้มาทำงานที่เดอะบอกซ์ทรี ขณะนั้นอายุ 17 เค้าได้รับการฝึกที่ร้านภายใต้การ ดูแลของรีดและลอง[15][16] ต่อมา เค้ายังได้เขียนในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า ไวท์ฮีท(ความร้อนสีขาว) ว่า ร้านทำให้เค้าลุ่มหลงกับอาหาร และยังคงเชื่อว่า ร้านนี้เป็นที่พักพิงแห่งจิตวิญญาณ[15][17]
หลังจากได้ 2 ดาวมิชลินจนถึงปี ค.ศ. 1988 และเหลือแค่ 1 ดาวในปี ค.ศ. 1991[9] ในปี ค.ศ. 1992 ทางร้านถูกเข้าพิทักษ์ทรัพย์และถูกซื้อโดยเฮเลน เอวิส ภายใต้การดูแลของพ่อครัวเทียรี่ ลูพราท-กราเน ร้านอาหารได้รับ 1 ดาวมิชลินกลับมาในปี ค.ศ. 1996 ไวท์ได้กลับมาเป็นที่ปรึกษาให้กับร้านในปี ค.ศ. 1996[18] เป็นเวลา 2 เดือนแต่ก็จบลงในศาล โดยเขาต้องจ่ายเงินให้กับร้านจำนวน 880 ปอนด์สำหรับค่าเพดานที่เสียหาย[19][20]
ลูพราท-กราเนลาออกในปี ค.ศ. 2001 โดยมีโทบี้ ฮิลล์ พ่อครัวที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับดาวมิชลินเข้ามาเป็นพ่อครัวแทน การเปลี่ยนพ่อครัวทำให้รูปแบบอาหารเปลี่ยนไปเป็น “แนวเมดิเตอริเนียน” [21] แต่เขาก็อยู่คุมครัวได้แค่ 7 เดือน เชน กู๊ดเวย์เข้ามาแทนที่ฮิลล์ในปี ค.ศ. 2002 และเปลี่ยนรูปแบบเป็นอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับ[22][23] ร้านได้สูญเสียดาวมิชลินไปในปี 2003 และไม่ได้ถูกรวมทั้งในคู่มือร้าน อาหาร เอเอ หรือ คู่มืออาหารอร่อย [9][24] กู๊ดเวย์ลาออกหลังจากร้านได้เสียดาวมิชลินไปไม่นาน และกล่าวว่า การตัดสินใจมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว[25]
ครอบครัวเกลเลอร์ได้เช่าร้านจากเอวิส ในปี ค.ศ. 2004 หลังจากกลับมาเปิดใหม่แค่ 5 เดือนร้านก็ได้รับดาวมิชลิน หนึ่งปีหลังจากนั้น เจ้าของได้เสนอขายร้านในขณะที่ สัญญาเช่ากับเกลเลอร์มีถึงปี 2017[4] มาร์โค ปิแอร์ ไวท์ที่เป็นเพื่อนกับไซมอน เกลเลอร์ตั้งแต่ทั้งคู่เป็นวัยรุ่น,[26]ได้กลับมาทำที่ร้านอีกครั้งเพื่อที่จะถ่ายทำภาพยนตร์สำหรับ ITV1 รายการโทรทัศน์เรียลลิตี้โชว์เกี่ยวกับการปรุงอาหารที่ชื่อ ครัวของนรก [27] ในปี ค.ศ. 2010 ไวท์ได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนของร้าน[28] และในปี ค.ศ. 2012 ได้ช่วนในการฉลองครบรอบ 15 ปี[15][26]ของร้าน ไวท์มีความปรารถนาที่จะทำงานร่วมกับเกลเลอร์เพื่อนำพาให้เดอะบอกซ์ทรีกลับเป็นร้าน อาหารระดับ 2 ดาวของมิชลินเช่นเดิม[15][26] White has aspirations to work with Gueller to return the Box Tree to its former status as a two-Michelin-starred restaurant.[29]
การตอบรับ
[แก้]แจน มัวร์ ได้วิจารณ์ร้านในปี ค.ศ. 2004 ในหนังสือพิมพ์เดอะเดลี่เทเลกราฟ หลังจากที่เกลเลอร์เข้าบริหารกิจการและปรับปรุงร้านได้ไม่นาน เธอกล่าวชื่นชมรูปแบบอาหารที่นุ่มนวลขึ้นภายใต้การดูแลของพ่อครัวคนให้ และถึงแม้ว่า ในตอนแรก เธอจะกังวลที่พนักงานบริการเสนอให้เธอลองลูกนกพิราบ เธอบรรยายถึงอาหารจานนี้ว่า “ได้ผ่านการจัดเตรียมอย่างดี” และเป็นจานที่ดีที่สุดที่เธอลอง[17] เธอคิดว่า พ่อครัวเก่งแต่ยังต้องการเวลาที่ จะปรับให้เข้าที่เข้าทาง และยังบรรยายถึงภรรยา คือ รีนา ที่ดูแลส่วนหน้าร้านว่า “เป็นธรรมชาติสมบูรณ์แบบ” [17] เจย์ เรย์เนอร์ได้มาลองอาหารที่ร้านในปี ค.ศ. 2005 ก่อนที่ร้านจะได้รับดาวมิชลิน เขากล่าวว่ายังมีปัญหาเกี่ยวกับราคาอาหารที่ไม่ตรงกันในเว็บไซต์กับที่แจ้งที่ร้าน เค้าคิดว่า หอยเชลล์ยังปรุงไม่สุก และ ขนมปังบริยอช ที่เสิร์ฟพร้อมกับเนื้อสันอมน้ำมากไป เขากล่าวว่า อาหาร “แสดงถึงระดับความเข้าใจในเรื่องพื้นฐาน” แต่ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจง[3] ในปี ค.ศ. 2012 จิล เทอร์ตันได้ไปลองอาหารที่ร้าน เพื่อลงวิจารณ์ใน เดอะ “ยอร์คเชอร์โพสต์” สำหรับวันครบรอบ 15 ปีของร้าน และบรรยายอาหารบางจานเช่น หน่อไม้ฝรั่ง และไข่ต้มแบบนุ่มที่ต้มในหม้อ ตุ๋นว่า “สมบูรณ์แบบ” [7] เธอบรรยายว่า อาหารมื้อนี้โดยรวม “ยอดเยี่ยม”[7] แต่บอกว่า ชอคโกแลตบราวนี่ที่เธอสั่ง เป็นของหวานที่ไม่ยากที่จะทำ[7]
ฮาร์เดน คู่มือร้านอาหารของอังก ฤษได้บรรยายว่า อาหารที่ร้านนี้ “เบาและอร่อย” และการปรุงอาหารเป็น “แบบอย่าง”[1] ในระบบการวิจารณ์ของฮาร์เด้น เขาให้คะแนนอาหารว่าเป็นหนึ่งจากห้า (หนึ่งเป็นระดับที่สูงสุดที่มี) และทั้งการให้บริการและบรรยากาศได้คะแนนระดับสองจากห้า[1] ลำดับ สมาคมยานยนต์ได้ให้รางวัลกับร้านเดอะบอกซ์ทรี 3 กุหลาบจาก เอเอ [10]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 "The Box Tree". Harden's. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 "Star turn". Telegraph and Argus. 26 January 2012. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Rayner, Jay (6 February 2005). "Cottage industry". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ 4.0 4.1 Murphy, Lizzie (29 September 2005). "Restaurant row leads to £1m sale" (Subscription required). The Yorkshire Post. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
- ↑ Bozec, Louise (7 November 2001). "Rascasse to join Simply Heathcotes chain after revamp". Caterer and Hotelkeeper. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Michelin-starred restaurant launches new website". 10 October 2007. Easier Lifestyle. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 Turton, Jill (25 June 2012). "Restaurant Review: Box Tree, Ilkley". Yorkshire Post. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
- ↑ Rayner, Jay (10 October 2004). "Food Turning Over a New Leaf" (Subscription required). The Observer. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 "Restaurant regains coveted star in Wharfedale double". Ilkley Gazette. 27 January 2005. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 "Box Tree Restaurant". The AA. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ Langan, Paul (23 May 2008). "Cruelty claim puts paté off Ilkley menu". Ilkley Gazette. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ Sutcliffe, Robert (13 November 2008). "Top restaurant marks milestone... by pushing the melon boat out" (Subscription required). The Yorkshire Post. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
- ↑ "Box Tree". Via Michelin. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-05. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ Dixon, Rachel (24 January 2008). "Q&A: Michelin stars". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 15.3 "Chef Marco Pierre White cooks up Box Tree deal". Telegraph and Argus. 6 October 2010. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ "Ilkley restaurant celebrates 50th anniversary". Ilkey Gazette. 22 March 2012. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ 17.0 17.1 17.2 Moir, Jan (23 October 2004). "Are you ready to order? This week: Box Tree Restaurant". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ Greaves, Amanda (13 May 2010). "Box Tree's Madame Avis dies, aged 81". Ilkley Gazette. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ Murray, John (21 February 1994). "Pembroke: The chef went through the roof". The Independent. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
- ↑ Petre, Jonathan (4 May 1993). "Chef Marco White quits the Box Tree" (Subscription required). The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.
- ↑ "Star chef joins the Box Tree". Ilkley Gazette. 18 May 2001. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ Bozec, Louise (7 November 2001). "Hill to quit Box Tree after seven months". Caterer and Hotelkeeper. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "New chef is restoring the French taste". Ilkley Gazette. 25 January 2002. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ "Ripe old bust-up in clementine chaos". Ilkley Gazette. 3 October 2003. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ Gledhill, Bob (30 January 2003). "Shane Goodway to leave Box Tree". Caterer and Hotelkeeper. สืบค้นเมื่อ 21 July 2012.[ลิงก์เสีย]
- ↑ 26.0 26.1 26.2 "Chef Marco Pierre White and Friends Celebrate 50 Years of the Box Tree in Ilkley". Yorkshire Life. May 2012. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.[ลิงก์เสีย]
- ↑ McKiernan, Jennifer (26 July 2007). "Top chefs stir up a flavour of their past in Ilkley". Ilkley Gazette. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ McKiernan, Jennifer (26 July 2007). "Top chefs stir up a flavour of their past in Ilkley". Ilkley Gazette. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.
- ↑ "Top chef Marco returns to "spiritual home" in Ilkley". BBC News. 5 October 2010. สืบค้นเมื่อ 19 July 2012.