เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง
เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง | |
---|---|
เจ้านายฝ่ายเหนือ | |
ประสูติ | 2 ตุลาคม พ.ศ. 2446 คุ้มหลวงนครลำปาง จังหวัดลำปาง |
พิราลัย | 26 มีนาคม พ.ศ. 2532 (85 ปี) คุ้มสี่แยกกลางเวียง จังหวัดเชียงใหม่ |
พระราชทานเพลิง | 27 มกราคม พ.ศ. 2533 เมรุชั่วคราว วัดสวนดอก |
สวามี | เจ้าฟ้าสิริสุวรรณราชยสสรพรหมลือ (สมรส 2465; เสียชีวิต 2498) |
พระบุตร | เจ้าวรเดช ณ เชียงตุง เจ้าพรหมทิพ ณ เชียงตุง เจ้าวิลาวรรณ ณ เชียงตุง เจ้าวรวงศ์ ณ เชียงตุง เจ้าพิไลลักษณ์ ณ เชียงตุง เจ้าหอมนวล ณ เชียงตุง เจ้าวรจักร ณ เชียงตุง |
ราชสกุล | ณ ลำปาง (ประสูติ) ณ เชียงตุง (เสกสมรส) |
ราชวงศ์ | ทิพย์จักร (ประสูติ) มังราย (เสกสมรส) |
พระบิดา | เจ้าไชยสงคราม (น้อยเบี้ย ณ ลำปาง) |
พระมารดา | เจ้าฝนห่าแก้ว ณ ลำปาง |
ศาสนา | เถรวาท |
อาชีพ | ช่างไม้ |
เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง ไทยถิ่นเหนือ: (ราชสกุลเดิม ณ ลำปาง; 2 ตุลาคม พ.ศ. 2446 – 26 มีนาคม พ.ศ. 2532) พระธิดาในเจ้าไชยสงคราม (น้อยเบี้ย ณ ลำปาง) กับเจ้าฝนห่าแก้ว ณ ลำปาง และเป็นราชนัดดาในเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต กับแม่เจ้าเมืองชื่น ณ ลำปาง และเจ้าทิพวรรณได้เสกสมรสกับเจ้าฟ้าสิริสุวรรณราชยสสรพรหมลือ[1]
ประวัติ
[แก้]เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง เป็นธิดาของเจ้าไชยสงคราม (น้อยเบี้ย ณ ลำปาง) กับเจ้าฝนห่าแก้ว ณ ลำปาง (ราชธิดาในเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย กับแม่เจ้าเมืองชื่นราชเทวี) ประสูติเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2446 ณ คุ้มหลวงของเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต มีพี่สาวทั้งหมด 4 คน เนื่องจากเจ้าทิพวรรณกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่วัยเยาว์จึงได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ผู้เป็นตา และได้รับการศึกษาอบรมเป็นอย่างดีร่วมกับเจ้านายองค์อื่น ๆ ภายในคุ้มหลวง
หมั้นและเสกสมรส
[แก้]เมื่อเจ้าทิพวรรณอายุได้ 17 ปี ได้พบรักกับเจ้าฟ้าพรหมลือ ราชโอรสในเจ้าฟ้าก้อนแก้วอินแถลง เจ้าผู้ครองนครเชียงตุง ซึ่งได้เสด็จเยือนนครลำปาง และได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติจากเจ้าผู้ครองนครลำปาง แต่การที่เจ้าต่างนครจะเสกสมรสกันได้ จะต้องได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสียก่อน และเนื่องจากขณะนั้นเชียงตุงอยู่ในบังคับของอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่าจะมีปัญหาระหว่างประเทศได้ จึงไม่ทรงอนุญาต แต่ต่อมาก็ได้มีการหมั้นกันไว้ก่อน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2465 เมื่อเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิตถึงแก่พิราลัย เจ้าฟ้าพรหมลือได้เสด็จมาเคารพพระศพ และถือโอกาสนี้เข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าทิพวรรณ จากนั้นทั้งสองก็เดินทางกลับนครเชียงตุง
โอรส-ธิดา
[แก้]เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง มีโอรสธิดา 7 คน ได้แก่
- พันเอก(พิเศษ) เจ้าวรเดช ณ เชียงตุง สมรสกับหม่อมอัสนี ณ เชียงตุง มีบุตร 4 คน ได้แก่
- เจ้าจุลเดชเทพประสิทธิ์ ณ เชียงตุง
- ร้อยเอก เจ้าวรดิษฐหฤทัยชิตร ณ เชียงตุง
- ร้อยเอกหญิง เจ้าเฟื้องทิพย์วรรณี ณ เชียงตุง
- ว่าที่ร้อยตรี เจ้าสุรสีห์เด่นดวง ณ เชียงตุง สมรสกับหม่อมภัทรรังษี ณ เชียงตุง (ธิดาของประภาพันธุ์ กรโกสียกาจ)
- เจ้าพรหมทิพ ณ เชียงตุง
- เจ้าวิลาวรรณ ณ เชียงตุง
- เจ้าวรวงศ์ ณ เชียงตุง
- เจ้าพิไลลักษณ์ ณ เชียงตุง
- เจ้าหอมนวล ณ เชียงตุง
- เจ้าวรจักร ณ เชียงตุง อดีตอาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และผู้ริเริ่มก่อตั้งคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นนายกสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ในยุคสงครามมหาเอเชียบูรพา
[แก้]ต่อมาไม่นานเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในนครเชียงตุง ทำให้เจ้าฟ้าพรหมลือถูกส่งตัวไปช่วยราชการที่ตองยี และเมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้นก็ถูกส่งไปควบคุมตัวที่เมืองโหม่วหยั่ว แต่ภายหลังเจ้าฟ้าพรหมลือก็ได้พาครอบครัวหนีการควบคุมของอังกฤษเข้าหาฝ่ายไทย ที่ตำบลท่าก้อ ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้การต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ และเมื่อรัฐบาลประกาศให้รวมแคว้นสหรัฐไทยเดิมเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าฟ้าพรหมลือเป็นเจ้านครเชียงตุง และให้เป็นผู้ช่วยข้าหลวงปกครองฝ่ายทหาร ช่วยราชการสนามนครเชียงตุงด้วย ซึ่งท่านก็ได้สนับสนุนและช่วยเหลือกองทัพไทยเป็นอย่างมาก
กลับสู่ดินแดนไทย
[แก้]เมื่อสงครามสิ้นสุดลง เจ้าฟ้าพรหมลือได้อพยพครอบครัวเข้ามาลี้ภัยในประเทศไทย โดยประทับที่จังหวัดลำปางก่อน จากนั้นจึงได้เสด็จย้ายมาอยู่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2488 หลังจากเจ้าฟ้าพรหมลือเสด็จถึงแก่พิราลัย เมื่อ พ.ศ. 2498 เจ้าทิพวรรณ ได้ประกอบอาชีพทำไม้สัก และโรงเลื่อย โดยได้รับสัมปทานป่าไม้จากรัฐบาล
พิราลัย
[แก้]คุณหญิง เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง ถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2532 ณ คุ้มสี่แยกกลางเวียง (ปัจจุบันคือ ศาลาธนารักษ์ เชียงใหม่) ถนนราชดำเนิน อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ รวมอายุได้ 86 ปี[2] มีพิธีบำเพ็ญกุศลศพ ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร โดยงานพระราชทานเพลิงพระศพ เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง มีขึ้นเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2533 ณ วัดสวนดอก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจัดให้เป็นพิธีพระศพแบบโบราณของล้านนา[3] โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธาน[4]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้]- พ.ศ. 2519 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 3 ตติยจุลจอมเกล้า (ต.จ.) (ฝ่ายใน)[5]
พงศาวลี
[แก้]พงศาวลีของเจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุง | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
[แก้]- ↑ ประวัติเจ้าแม่ทิพวรรณ ณ เชียงตุง และรูปงานพระราชทานเพลิงศพ[ลิงก์เสีย]
- ↑ "เจ้าทิพวรรณ ณ เชียงตุงผู้สานสัมพันธ์สองนครรัฐ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-09. สืบค้นเมื่อ 2010-01-25.
- ↑ ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 11 ฉบับที่ 5 ;มีนาคม 2533 หน้า 44-57
- ↑ http://www.youtube.com/watch?v=u1abhgaktuY&feature=related
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 93 ตอนที่ 80 วันที่ 1 มิถุนายน 2519 หน้า 1355