ข้ามไปเนื้อหา

เจ้าชายอัลเฟรดแห่งบริเตนใหญ่

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจ้าชายอัลเฟรด
พระรูปเขียน วาดโดยทอมัส เกนส์เบรอ
ใน ค.ศ. 1782
ประสูติ22 กันยายน ค.ศ. 1780(1780-09-22)
ปราสาทวินด์เซอร์ วินด์เซอร์ บาร์กเชอร์ ประเทศอังกฤษ
สวรรคต20 สิงหาคม ค.ศ. 1782(1782-08-20) (1 ปี)
โลเวอร์ลอดจ์ วินด์เซอร์เกรตพาร์ก ประเทศอังกฤษ
ฝังพระศพ27 สิงหาคม ค.ศ. 1782
11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1820
ห้องนิรภัยหลวง โบสถ์น้อยเซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์
ราชวงศ์ฮันโนเฟอร์
พระราชบิดาสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร
พระราชมารดาชาร์ล็อทเทอแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์

เจ้าชายอัลเฟรดแห่งบริเตนใหญ่ (22 กันยายน ค.ศ. 1780 – 20 สิงหาคม ค.ศ. 1782)[1] เป็นพระราชโอรสธิดาพระองค์ที่ 14 พระราชโอรสพระองค์ที่ 9 และพระราชโอรสพระองค์เล็กสุดในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร และพระราชินีชาร์ล็อทเทอแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์ เจ้าชายอัลเฟรดซึ่งมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์อยู่แล้วประชวรหลังจากการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษใน ค.ศ. 1782 การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ กอปรกับการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายออกเทเวียสผู้เป็นพระเชษฐาในอีก 6 เดือนต่อมาได้สร้างความโทมนัสแก่พระบรมวงศานุวงศ์เป็นอย่างยิ่ง ในช่วงที่สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 มีพระสติวิปลาสในบั้นปลายพระชนม์ชีพนั้น พระองค์ตรัสคุยกับพระราชโอรสพระองค์เล็กทั้งสองในพระจินตนาการด้วย

พระชนม์ชีพ

[แก้]

เจ้าชายอัลเฟรดประสูติในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1780 ณ ปราสาทวินด์เซอร์[2][3] พระองค์เป็นพระราชโอรสธิดาพระองค์ที่ 14 พระราชโอรสพระองค์ที่ 9 และพระราชโอรสพระองค์เล็กสุดในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร และพระราชินีชาร์ล็อทเทอแห่งเมคเลินบวร์ค-ชเตรลิทซ์[4] ด้วยเหตุนี้จึงทรงเป็นสมาชิกพระองค์หนึ่งของราชวงศ์ฮันโนเฟอร์ ในช่วงที่เจ้าชายอัลเฟรดประสูติ พระเชษฐาพระองค์โตสุดต่างก็มีพระชนมายุใกล้ถึงวัยผู้ใหญ่แล้ว[5] เจ้าชายอัลเฟรดทรงเข้ารับบัพติศมาในห้องเกรตเคาน์ซิล ณ พระราชวังเซนต์เจมส์ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1780 ผู้ประกอบพิธีคือเฟรเดอริก คอร์นวอลลิส อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี ส่วนพระบิดามารดาอุปถัมภ์คือเหล่าพระเชษฐาพระเชษฐภคินี ได้แก่ เจ้าชายจอร์จแห่งเวลส์ เจ้าชายเฟรเดอริก และเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ พระราชกุมารี[3][6][7] การประสูติของเจ้าชายอัลเฟรดได้นำพาความปีติยินดีมาสู่พระบรมวงศานุวงศ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเชษฐภคินีอย่างเจ้าหญิงโซเฟีย เจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระเชษฐภคินีของทั้งสอง ทรงเล่าว่าเจ้าหญิงโซเฟียทรงเรียกทารกว่า "หลานชาย"[8] ตั้งแต่ประสูติ เจ้าชายอัลเฟรดมีพระพลานามัยไม่แข็งแรง พระองค์ทรงต้องทนทุกข์ทรมานจาก "ผื่น" บนพระพักตร์ (ใบหน้า) และจากพระกาสะ (การไอ) ตลอดพระชนม์ชีพ[9]

การสิ้นพระชนม์และผลสืบเนื่อง

[แก้]
Portrait titled The Apotheosis of Prince Octavius. It depicts Prince Octavius and several angels on clouds, the largest of whom is motioning the prince towards his brother Alfred. Painted by Benjamin West in 1783.
การยกเจ้าชายออกเทเวียสเสมอเหมือนพระเจ้า ใน ค.ศ. 1783 โดยเบนจามิน เวสต์ เจ้าชายอัลเฟรด (ซ้าย) รับเสด็จพระเชษฐาออกเทเวียส (ขวา) สู่สวรรค์

ในสมัยของเจ้าชายอัลเฟรด ไข้ทรพิษเป็นโรคที่ทั้งราชวงศ์และสามัญชนต่างหวาดกลัว[10] และเนื่องจากการแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้า โรคนี้จึงมักเป็นอันตรายถึงชีวิต[11] พระราชินีชาร์ล็อทเทอ พระราชมารดาของเจ้าชายอัลเฟรด ทรงสนับสนุนการปลูกฝีมาตลอดพระชนม์ชีพและยังทรงให้พระโอรสธิดาเข้ารับการปลูกฝีด้วย[12] วิธีการปลูกฝีในช่วงแรกที่เรียกว่า "การปลูกฝีดาษ" (variolation) ได้รับความนิยมในบริเตนหลังจากที่บรรดาพระราชธิดาในพระเจ้าจอร์จที่ 2 (ขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์) ทรงเข้ารับการปลูกฝีด้วยวิธีนี้ใน ค.ศ. 1721

ใน ค.ศ. 1782 เจ้าชายอัลเฟรดทรงเข้ารับการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ การปลูกฝีนี้ส่งผลเสียต่อพระพลานามัยของเจ้าชาย พระพักตร์และหนังพระเนตร (หนังตา) ของพระองค์มีผื่นขึ้นจากการปลูกฝี และพระอุระ (หน้าอก) ก็อยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นกัน[13] ในเดือนมิถุนายน พระองค์เสด็จไปประทับที่ดีลพร้อมกับเลดีชาร์ลอตต์ ฟินช์ พระอาจารย์ส่วนพระองค์ และมิสซิสเชเวลีย์ พยาบาลประจำพระองค์ เพื่อทรงพักฟื้นพระวรกาย[14][9] คณะแพทย์หวังว่าอากาศชายทะเล การอาบน้ำทะเล และการขี่ม้าจะช่วยฟื้นฟูพระพลานามัยได้[13][15] เลดีชาร์ลอตต์เขียนจดหมายถึงแมรี แฮมิลตัน ผู้เป็นสหายไว้ว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการอาบน้ำทะเลนั้นเป็นผลดีต่อพระองค์ [เจ้าชายอัลเฟรด]... และความอยากพระกระยาหารก็มีมากจนพระอาการต้องดีขึ้นแน่"[16] ในช่วงที่ประทับอยู่ที่นี่ พระเสน่ห์และพระอัธยาศัยที่ดีของเจ้าชายอัลเฟรดทำให้ทรงเป็นที่รักใคร่ของผู้คนจำนวนมาก[13] ถึงกระนั้นตามพระวรกายก็ยังมีผื่นปะทุขึ้นเรื่อย ๆ และพระอาการของพระอุระก็ยังคงรบกวนพระองค์[13] ต้นเดือนกรกฎาคม เลดีชาร์ลอตต์รายงานว่าเจ้าชายอัลเฟรดทรงเริ่มฟื้นพระองค์ แต่ต่อมาในเดือนนั้น พระอาการก็แย่ลงจนถึงกับทรงพระดำเนิน (เดิน) ไม่ได้[16] ในเดือนสิงหาคม เจ้าชายอัลเฟรด เลดีชาร์ลอตต์ และมิสซิสเชเวลีย์เดินทางกลับสู่ปราสาทวินด์เซอร์เนื่องจากพระอาการทรุดหนักลงอีก เมื่อเสด็จกลับมาแล้ว บรรดาแพทย์ได้ประชุมกันเพื่อหารือเกี่ยวกับพระพลานามัยของเจ้าชาย และสรุปว่าพระองค์จะมีพระชนม์ชีพอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากที่ทรงพระปรอท (มีไข้) เป็นระยะ ๆ และเกิดปัญหาเกี่ยวกับพระอุระอย่างต่อเนื่อง[17] เจ้าชายอัลเฟรดก็สิ้นพระชนม์ในเวลาระหว่างสี่โมงถึงห้าโมงเย็นของวันที่ 20 สิงหาคม[18][19][20]โลเวอร์ลอดจ์ วินด์เซอร์เกรตพาร์ก ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนถึงวันคล้ายวันประสูติครบสองปี[21]

แม้ว่าราชสำนักจะไม่ได้ไว้ทุกข์ (เนื่องจากไม่มีธรรมเนียมกำหนดไว้สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีพระชันษาน้อยกว่าเจ็ดปี)[21] แต่พระราชบิดาและพระราชมารดาของเจ้าชายอัลเฟรดก็เสียพระราชหฤทัยอย่างรุนแรง เลดีชาร์ลอตต์เล่าว่าราชินีชาร์ล็อทเทอ "ทรงพระกันแสง (ร่ำไห้) อย่างหนัก" และ "ทรงเจ็บปวดอย่างยิ่งจากการสูญเสียครั้งนั้น เช่นกันกับพระเจ้าอยู่หัว"[21] ต่อมาในเดือนสิงหาคมนั้นเอง พระราชินีได้พระราชทานล็อกเกตชิ้นหนึ่งที่ทำจากไข่มุกและแอเมทิสต์แก่เธอ ในนั้นบรรจุปอยพระเกศา (ปอยผม) ของเจ้าชายอัลเฟรดเอาไว้[21] โดยตรัสว่า "รับสิ่งนี้ไว้ ... เพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับการดูแลอย่างห่วงใยใกล้ชิดต่อเทวดาอัลเฟรดตัวน้อยผู้เป็นที่รักของฉัน และห้อยผมที่อยู่ในนี้ไว้ ไม่เพียงเพื่อรำลึกถึงเจ้าชายตัวน้อยผู้เป็นที่รักเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องหมายแห่งความยกย่องจากราชินีผู้เป็นที่รักของท่านด้วย"[22] พระศพของเจ้าชายถูกฝังที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม[2][23] ภายหลังจึงมีการย้ายพระศพไปยังห้องนิรภัยหลวงในโบสถ์น้อยเซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1820[24][25] หกเดือนหลังจากที่เจ้าชายอัลเฟรดสิ้นพระชนม์ เจ้าชายออกเทเวียส พระเชษฐาผู้มีพระชันษาห่างกันสี่ปี ก็สิ้นพระชนม์จากเชื้อฝีดาษภายหลังการปลูกฝีเช่นกัน ยังความเศร้าโศกแก่พระราชบิดายิ่งขึ้นไปอีก[26][27][28] แม้พระองค์จะเสียพระราชหฤทัยกับการสิ้นพระชนม์ของพระราชโอรสพระองค์หลังมากกว่าก็ตาม[29][30] ฮอเรซ วอลโพล เล่าให้เซอร์ฮอเรซ แมนน์ ฟังว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเคยประกาศไว้ว่า "ฉันเสียใจมากจริง ๆ กับอัลเฟรด แต่หากเป็นออกเทเวียส ฉันคงตายตามไปด้วย"[31][32] พระราชบิดาของเจ้าชายอัลเฟรดยังฝังพระราชหฤทัยอยู่กับการสิ้นพระชนม์ของพระราชโอรสทั้งสอง และการทอดพระเนตรเห็นพระรูปเขียนของเจ้าชายอัลเฟรดที่ทอมัส เกนส์เบรอ วาดขึ้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชาย ยังทำให้พระเชษฐภคินีทั้งสามถึงกับหลั่งน้ำพระเนตร ส่วนพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีก็สะเทือนพระราชหฤทัยอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน[33][34] ในช่วงหนึ่งที่พระเจ้าจอร์จที่ 3 มีพระสติวิปลาสใน ค.ศ. 1812 พระองค์ตรัสคุยกับพระราชโอรสพระองค์เล็กทั้งสองในพระจินตนาการ[26][note 1]

เจ้าชายอัลเฟรดเป็นพระราชโอรสธิดาพระองค์แรกในพระเจ้าจอร์จที่ 3 และพระราชินีชาร์ล็อทเทอที่สิ้นพระชนม์[23][35] พระองค์สิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1782 ในขณะที่เจ้าหญิงแมรี พระเชษฐภคินีผู้เป็นพระราชโอรสธิดาพระองค์สุดท้ายที่ยังทรงพระชนม์ชีพของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี สิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1857[36] เจ้าชายอัลเฟรดทรงแตกต่างจากพระราชโอรสธิดา 14 พระองค์แรกของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีในแง่ที่ว่าพระองค์ไม่เคยเป็นพระเชษฐาในขณะที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ เนื่องจากพระราชโอรสธิดาเพียงพระองค์เดียวที่มีพระชันษาน้อยกว่าประสูติหลังจากที่เจ้าชายสิ้นพระชนม์ไปแล้ว[37]

ฐานันดรและพระอิสริยยศ

[แก้]

ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ เจ้าชายอัลเฟรดทรงได้รับการสถาปนาเป็น ฮิสรอยัลไฮเนสเดอะพรินซ์อัลเฟรด (His Royal Highness The Prince Alfred) โดยมีพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแห่งบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์[18]

พงศาวลี

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. เจเรมี แบล็ก ระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1812 แต่เคนเนท แพนตัน เชื่อว่าเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1811[23]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Curzon 2020, p. XII.
  2. 2.0 2.1 Weir 2008, p. 300.
  3. 3.0 3.1 Hall 2010, p. 236.
  4. Hedley 1975, p. 344.
  5. Hadlow 2014, p. 192.
  6. Sheppard 1894, p. 59.
  7. Watkins 1819, p. 276.
  8. Fraser 2004, p. 65.
  9. 9.0 9.1 Hadlow 2014, p. 291.
  10. Riedel, Stefan (January 2005). "Edward Jenner and the History of Smallpox and Vaccination". Proceedings (Baylor University. Medical Center). Baylor University Medical Center. 18 (1): 21–25. doi:10.1080/08998280.2005.11928028. PMC 1200696. PMID 16200144.
  11. Koplow 2003, p. 9.
  12. Hedley 1975, p. 99.
  13. 13.0 13.1 13.2 13.3 Fraser 2004, p. 71.
  14. Watkins 1819, p. 282.
  15. Hadlow 2014, pp. 291–292.
  16. 16.0 16.1 Hadlow 2014, p. 292.
  17. Fraser 2004, pp. 72–73.
  18. 18.0 18.1 "No. 12324". The London Gazette. 20 August 1782. p. 1.
  19. Hedley 1975, p. 126.
  20. Holt 1820, p. 251.
  21. 21.0 21.1 21.2 21.3 Fraser 2004, p. 72.
  22. "RA GEO/ADD/15/443a-b – Letter from Queen Charlotte to Lady Charlotte Finch, probably August 1782". Georgian Papers Project. Royal Collection Trust. สืบค้นเมื่อ 3 February 2017.
  23. 23.0 23.1 23.2 Panton 2011, p. 39.
  24. "Royal Burials in the Chapel since 1805". College of St. George. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2011.
  25. "Royal Burials in the Chapel by location". College of St. George. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 January 2010.
  26. 26.0 26.1 Black 2006, p. 156.
  27. Fraser 2004, pp. 74–77.
  28. Hedley 1975, p. 127.
  29. Black 2006, p. 256.
  30. Curzon 2020, p. 86.
  31. Walpole & Cunningham 1891, p. 363.
  32. Hadlow 2014, p. 293.
  33. Fraser 2004, p. 73.
  34. Hadlow 2014, p. 296.
  35. Hibbert 2000, p. 99.
  36. Fraser 2004, pp. xii–xiii, 399.
  37. Fraser 2004, pp. xii–xiii, 74–75.
  38. von Ammon 1768, p. 5.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]