เคียวราคุ ชุนซุย
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
ตัวละคร เทพมรณะ | |
---|---|
เคียวราคุ ชุนซุย (เคียวราคุ จิโร โซโซซะ ชุนซุย) | |
อาชีพ | ยมทูต หัวหน้าหน่วยที่ 1 |
วันเกิด | 11 กรกฎาคม |
สีผม | สีดำ |
สีตา | สีน้ำตาล |
ส่วนสูง | 192 เซนติเมตร |
น้ำหนัก | 87 กิโลกรัม |
ดาบฟันวิญญาณ | กะเท็นเคียวคตสึ |
พากย์เสียงโดย | อากิโอะ โอสึกะ |
เคียวราคุ ชุนซุย (ญี่ปุ่น: 京樂 春水; โรมาจิ: Kyōraku Shunsui) ตัวละครจากการ์ตูนจากเรื่องเทพมรณะ เป็นอดีตยมทูตหัวหน้าหน่วยที่ 8 และปัจจุบันดำรงลงตำแหน่งหัวหน้าใหญ่แห่ง13หน่วยพิทักษ์ หัวหน้าหน่วยที่ 1
ลักษณะ/อุปนิสัย
[แก้]“ถ้าเรื่องแค่นั้นน่ะนะ ไปเต้นเอาซะหน่อยก็จบแล้ว”จากวิธีการพูดและความลมเพลมพัดแล้วไม่สามารถสัมผัสความจริงจังของหัวหน้าเคียวราคุได้เลยแม้แต่น้อยทว่าก็ยังมีอีกโฉมหน้าอันเฉียบแหลมดังคำของเก็นริวไซที่ว่า“การกระทำอาจดูเหลาะแหละ แต่มีความคิดลึกซึ้ง” เคียวราคุ ชุนซุย อดีตยมทูตหัวหน้าหน่วยที่ 8 หรือปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าใหญ่แห่ง 13 หน่วยพิทักษ์ หัวหน้าหน่วยที่1 ผู้มีเอกลักษณ์คือ สวมชุดคลุมสีชมพูลายดอกไม้ ปิ่นปักผมราคาแพงเสียบอยู่ โดยลักษณะนิสัยของชุนซุย คือ นอนคาบกิ่งไผ่ทั้งวัน ไล่จีบหญิงทั่วเซย์เรย์เทย์ และชอบดื่มเหล้าโดยเฉพาะกับมัตสึโมโตะ รันงิคุ แต่เมื่อเขาจับดาบแล้วจะแสดงถึงความมุ่งมั่นและความน่าเกรงขามได้อย่างไม่น่าเชื่อ หัวหน้าใหญ่ยามาโมโตะเคยออกปากว่า "ชุนซุยเป็นคนบ้าๆบอๆ แต่กลับมองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งกว่าผู้ใด" ดังนั้น เคียวราคุที่ดูไร้สาระ แท้จริงแล้วมีความคิดและทัศนคติที่กว้างไกล ฉลาดเฉลียวและเก่งกาจมากที่สุดอีกคนหนึ่งของบลีชเลยก็ว่าได้ ภายหลังได้เข้ามาเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 1 ของ 13 หน่วยพิทักษ์
ประวัติ
[แก้]ชุนซุยเกิดในตระกูลขุนนาง ร่ำเรียนวิชามาจาก ยามาโมโตะ เก็นริวไซ พร้อมๆกับ อุคิทาเกะ จูชิโร่ ซึ่งเป็นเพื่อนที่จบจากสถาบันมาด้วยกัน ชุนซุยเป็นคนเรื่อยเปื่อยคอยจีบหญิงไปวันๆ แต่ปัจจุบันได้เป็นมาเป็นหัวหน้าหน่วย 8 โดยมี อิเสะ นานาโอะ ซึ่งเป็นทั้งรองหัวหน้าและผู้คุม (ความประพฤติ) ไปพร้อมๆกัน สิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุด ดูจะเป็นวันที่อากาศดี และเขาขึ้นไปนอนเล่นบนหลังคาที่ทำการหน่วย ปากคาบกิ่งไผ่ ข้างๆตัวมีเหล้าอยู่ด้วยก็เป็นได้ แต่ทุกครั้งที่ทำอย่างนั้น อิเสะ นานาโอะก็จะปรากฏตัวขึ้น แล้วเทศน์ยกใหญ่อยู่เสมอ เคียวราคุสนิทกับอุคิทาเกะมาก ชอบไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ และคอยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมาตลอด แต่ปกติเคียวราคุจะห่วงอีกฝ่ายมากกว่า เพราะอุคิทาเกะจะล้มป่วยบ่อยๆเนื่องจากเป็นโรคปอด
- อายุ / 4,690ปี
- วันเกิด / 11 กรกฎาคม
- ส่วนสูง / 192 เซนติเมตร
- น้ำหนัก / 88 กิโลกรัม
- ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยที่8 / 2,500กว่าปี
- ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยที่1 / 10ปี
- ดาบฟันวิญญาณ / กะเท็นเคียวคตสึ(บุปผาสวรรค์กระดูกคลุ้มคลั่ง)
- คำปลดปล่อยชิไค / “ดอกไม้โปรยปรายในสายลม เทพบุบผาร่ำร้อง สายลมแห่งสวรรค์ปั่นป่วน มารฟ้ากำสรวล”
- ความชอบส่วนตัว / แวะเวียนร้านเหล้า
- ความถนัดส่วนตัว / นอนกลางวัน(บนหลังคาที่ทำการหน่วย) กินเหล้าได้ทุกวัน
- อาหาร / อาหารที่ชอบ - มันจูสาเก
- อาหารที่ไม่ชอบ - ชาเขียวชง
- การพักผ่อนสบายๆในวันหยุด / ลากคนที่หยุดงานเหมือนกันไปฉลองเหล้า
- ความสามารถในการรบของเคียวราคุแม้จะมีฝีมือร้ายกาจสมกับเป็นระดับหัวหน้าหน่วยแต่มีปัญหาใหญ่ที่สุดคือเจ้าตัวไม่เกิดความรู้สึกที่อยากจะต่อสู้จนทำให้เพลามือลง
- พลังวิญญาณ / ssr 90
ภาคโซลโซไซตี้
[แก้]เคียวราคุได้ต่อสู้กับแช้ดจนแช้ดพ่ายแพ้จึงส่งแซ้ดไปรักษาพร้อมกับขังแช้ดไว้ที่คุกหน่วยที่ 4 เคียวราคุไม่เห็นด้วยกับคำสั่งประหารคุจิกิ ลูเคีย จึงตัดสินใจที่จะร่วมมือกับ "อุคิทาเกะ จูชิโร่" ทำลายโซเคียคุในที่สุด จนทั้งคู่ต้องมาต่อสู้กับ "ยามาโมโตะ เก็นริวไซ" (หัวหน้าหน่วย 1 และหัวหน้าของ 13 หน่วยพิทักษ์) ซึ่งเป็นอาจารย์ของพวกเขาแต่เมื่อแผนร้ายของไอเซ็นถูกเปิดเผย ทำให้การต่อสู้ยุติลง และเขาก็เป็นหนึ่งในหัวหน้ายมทูตที่เข้าล้อมจับไอเซ็นและพรรคพวกที่ลานประหาร แต่ไอเซ็นก็หนีไปได้ในที่สุด
ภาคอดีต
[แก้]เคียวราคุและอุคิทาเกะเดินพูดคุยกันโดยมีริสะซึ่งขณะนั้นเป็นรองหัวหน้าหน่วยที่ 8 เดินตามหลังทั้งสองอยู่ ทั้งสองได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าหน่วยของ 13 หน่วยพิทักษ์ว่าช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าหน่วยบ่อย จึงทำให้มีหัวหน้าหน่วยที่ดำรงตำแหน่งเกิน 100 ปีมีแค่เขา อุคิทาเกะ และหัวหน้าใหญ่เท่านั้น แต่อุคิทาเกะได้ท้วงขึ้นมาว่าลืมใครไปคนนึง ซึ่งก็คือหัวหน้าอุโนะฮานะ เคียวราคุลืมเสียสนิทถ้าเกิดไปรู้หูถึงอุโนะฮานะเข้ามีหวังเป็นเรื่อง ทันใดนั้นไอเซ็นซึ่งขณะนั้นเป็นรองหัวหน้าหน่วย 5 ได้ข้องใจเรื่องการเลื่อนยศหัวหน้าหน่วยว่าทำไมไม่มีอดีตยมทูตใน 46 วังกลางเลย และขณะเดียวกันเขาได้พูดถึงฮิคิฟุเนะอดีตยมทูตหัวหน้าหน่วยที่ 12 ที่ได้เลื่อนขั้นไปยังหน่วย 0 หรือหน่วยองครักษ์ราชันย์ ซึ่งทำเอาไอเซ็นถึงกับตกใจเลยทีเดียว
ภาคอารันคาบุกโลกมนุษย์
[แก้]การต่อสู้กับอารันคาร์เหนือเมืองคาราคุระ เคียวราคุต้องต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างสตาร์ค เอสปาด้าลำดับที่ 1 เคียวราคุถูกสตาร์คยิงเซโร่ไล่ต้อนจนเขาเกือบใช้บังไคออกมาแต่อุคิทาเกะมาขวางเอาไว้และเตือนว่าไม่ควรใช้ในที่โล่งแจ้งแบบนี้ เคียวราคุเริ่มสู้อย่างจริงจังโดยร่วมมือกับอุคิทาเกะในการต่อสู้ใน ขณะกำลังต่อสู้นั้นวันเดอร์ไวท์ได้ปรากฏตัวขึ้นและเข้ามาทำร้ายอุคิทาเกะทำให้เคียวราคุโกรธจัดจะเข้าไปฟันวันเดอร์ไวน์ ด้วยความโกรธที่กำลังครอบงำทำให้เคียวราคุเกิดช่องโหว่ส่งผลให้สตาร์คใช้โอกาสนั้นเข้ามาจัดการเคียวราคุโดยยิงเซโร่ใส่ข้างหลังเคียวราคุเข้าจังๆทำให้ทั้งเคียวราคุและอุคิทาเกะหมดสภาพการต่อสู้
หลังจากนั้นก็ได้มีกลุ่มไวเซิร์ดได้เข้ามาร่วมช่วยบรรดายมทูตต่อสู้กับเหล่าเอสปาด้า ซึ่งกลุ่มไวเซิร์ดก็คือบรรดายมทูตหัวหน้าหน่วย รองหัวหน้าหน่วย หน่วยวิถีมารที่ถูกไอเซ็นจัดการไปเมื่อภาคย้อยอดีต ในขณะก่อนที่ไวเซิร์ทจะเข้าต่อสู้นั้นหนึ่งในกลุ่มไวเซิร์ดซึ่งก็คือยาโดมารุ ริสะอดีตรองหัวหน้าหน่วยที่ 8 ก็ได้เข้ามาดูเคียวราคุที่ถูกสตาร์คยิงสลบไปก่อนหน้านั้นโดยริสะได้ใช้เท้ายีบเข้าที่หัวและเตะเคียวราคุพร้อมบอกว่า "จะแกล้งตายไปถึงเมื่อไหร่" เมื่อเคียวราคุได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเห่ยเกที่มีคนรู้ทัน(โดยอุปนิสัยของเคียวราคุเป็นพวกที่ใจเย็น ไม่ค่อยอยากเข้าไปวุ่นวายอะไรจึงทำให้แกล้งตายแล้วรอโอกาสจัดการที่หลัง) หลังจากริสะเข้ามาทักทายเสร็จเคียวราคุก็ดูการต่อสู้ของเหล่าไวเซิร์ดและเมื่อหาโอกาสได้เหมาะเจาะก็ได้เข้าแทงข้างหลังสตาร์คโดยใช้ความสามารถของดาบฟันวิญญาณซึ่งก็ถือว่าต่างฝ่ายต่างเจ็บตัวและเป็นเหมือนการเอาคืนของเคียวราคุที่สตาร์คได้เคยยิงตลบหลังก่อน หลังจากนั้นเคียวราคุก็ได้เริ่มเอาจริงสู้กับสตาร์คหนึ่งต่อหนึ่งจนสตาร์คเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำและถูกจัดการในที่สุด
หลังจากจัดการสตาร์คได้สำเร็จแล้วทั้งเลิฟและโรจูโร่ได้เข้ามาขอบคุณเคียวราคุที่เข้ามาช่วยเหลือพร้อมกับที่เลิฟกล่าวประชดประชันเคียวราคุว่า"ไม่เปลี่ยนเลยนะครับ เข้ามาแทรกระหว่างการต่อสู้ของคนอื่น ไม่รักษามารยาทเหมือนเคย" เคียวราคุยิ้มแล้วตอบกลับว่า"มัวแต่รักษามารยาทจนทิ้งทางเอาชนะคือพวกปลายแถว คนเป็นหัวหน้าไม่มัวสนใจเรื่องแบบนั้นหรอก ไม่ต้องพยายามเป็นเด็กดีหรอก บุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ สงครามหนะทันทีที่มันเปิดฉาก จะฝ่ายไหนก็เลวพอกัน" หลังจากบรรดาหัวหน้าหน่วยรองหัวหน้าหน่วยและกลุ่มไวเซิร์ทจัดการพวกเอสปาด้าได้หมดแล้วก็เข้ามาช่วยอิจิโกะต่อสู้กับไอเซ็นโดยเคียวราคุก็คอยจ้องจะเล่นงานไอเซ็นช่วงทีเผลอจนไอเซ็นเอ่ยปากบอกว่า"ไม่เป็นเดือนเป็นร้อนเลยนะหัวหน้าเคียวราคุ ถึงจะทำท่าเหมือนตั้งใจลอบกัดอยู่ตลอดก็เถอะนะ"และอีกตอนที่เคียวราคุเข้าไปขัดจังหวะขณะไอเซ็นกำลังปั่นหัวของหัวหน้าฮิซึกายะจนไอเซ็นออกปากว่าเคียวราคุว่า"ใจดำจริงๆ ยังคุยกันไม่จบเลยนะหัวหน้าเคียวราคุ นิสัยเสียๆของนายที่ชอบสอดเนี่ยแก้ไม่หายจริงๆ" เคียวราคุจึงตอบกลับไปว่า"พอฟังผู้ชายยืนบ่นทีไรมันชวนให้หาวซะทุกทีนี่นะ มายืนพล่ามได้แบบนี้มันจะว่างไปหน่อยหละ" จากนั้นไอเซ็นก็ตอบปากรับคำว่างั้นจะสู้กันให้เป็นเรื่องเป็นราวสักทีหลังจากนั้นบรรดายมทูตกับกลุ่มไวซ์เซิร์ดก็ได้เข้าต่อสู้กับไอเซ็นอย่างจริงจังจนเหลือแค่เพียงเคียวราคุ ฮิราโกะ ฮิซึกายะและซุยฟงในการต่อสู้ซึ่งทั้งสี่คนรวมมือกันสู้โดยดูเหมือนว่ากำลังจะชนะไอเซ็นแต่ปรากฏว่าไอเซ็นได้ปลดปล่อยชิไคดาบฟันวิญญาณออกมาก่อนหน้านั้นทำให้ทั้งสี่คนคิดว่าสู้กับไอเซ็นและจัดการได้แล้วแท้จริงแล้วนั้นคนที่ตัวเองสู้อยู่ด้วยคือรองหัวหน้าหน่วยฮินาโมริ เมื่อเห็นดังนั้นหัวหน้าหน่วยฮิซึกายะก็โกรธจัดจนไม่ฟังคำเตือนของเคียวราคุ มุ่งจะเข้าไปจัดการไอเซ็นทำให้อีกสามคนที่เหลือที่หวังจะเข้าไปช่วยหัวหน้าหน่วยฮิซึกายะเกิดช่องโหว่เหมือนกันหมดทุกคนไอเซ็นจึงใช้โอกาสนี้เข้าจัดการทั้งสี่คนจนไม่สามารถสู้ได้
หลังจากอิจิโกะได้จัดการไอเซ็นเป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้งโซลโซไซตี้และโลกมนุษย์กลับมาสงบสุข บรรดาหัวหน้าหน่วย รองหัวหน้าหน่วยพักฟื้นจนอาการดีขึ้นแล้ว หัวหน้าใหญ่ยามาโมโตะได้เรียกเคียวราคุ เบียคุยะและซาราคิเข้าไปต่อว่าเนื่องจากว่าได้ทำเสื้อต่ำแห่งหัวหน้าหน่วยขาดจากการต่อสู้โดยหัวหน้าใหญ่ถามคำถามที่ว่าสำหรับเสื้อหัวหน้าหน่วยนั้นมีค่าอย่างไรสำหรับพวกเจ้า ทั้งสามก็ตอบกับตามสไตล์ของตัวเองโดยเคียวราคุให้เหตุผลว่า "เอาไว้ใส่โก้ๆ" จากนั้นทั้งสามคนก็โดนด่ายกใหญ่
ภาคสงครามเลือด 1000 ปี
[แก้]ในตอนที่เหล่าควินซี่ได้บุกมายังโซลโซไซตี้ครั้งแรกเคียวราคุได้สู้กับนักรบดวงดาราคนหนึ่งมีชื่อว่า โรเบิร์ต แอคคิวทรอน อักษร"N" โดยควินซี่มีข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถดาบฟันวิญญาณของยมทูตและสามารถช่วงชิงบังไคของเหล่ายมทูตได้จึงทำให้เหล่ายมทูตเสียเปรียบเป็นอย่างมากเคียวราคุกล่าวกับแอคคิวทรอนเกี่ยวกับเรื่องที่ควินซี่ขโมยบังไคเหล่ายมทูตไว้ว่า "ถึงแบบนั้นพวกเจ้าก็ไม่ใช่ศัตรูที่จะจัดการได้โดยที่ไม่ใช้บังไค"หลังจากพูดเสร็จแอคคิวทรอนก็เข้ามาโจมตีเคียวราคุจนสูญเสียตาไปข้างหนึ่งและขณะที่การต่อสู้ได้ดำเนินไปอยู่นั่นหัวหน้าใหญ่ยามาโมโตะเองก็ได้เข้าสู่แนวหน้าสนามรบโดยแรงดันวิญญาณของหัวหน้าใหญ่นั้นทำให้คนที่อยู่ในเซเรเทย์รับรู้ถึงแรงดันวิญญาณอันมหาศาลได้โดยตัวเคียวราคุเองก็สัมผัสได้ถึงแรงดันวิญญาณนั้นและได้กล่าวออกมาประมาณว่าน่าจะถูกปู่ยามะตำหนิเกี่ยวกับการต่อสู้ว่าทำไมปล่อยให้ตัวปู่ยามะเองต้องออกโรงมารับมือคู่ต่อสู้ด้วยตัวเองด้วยจากนั้นเคียวราคุก็ยกระดับการต่อสู้เข้าโหมดเอาจริงจนไล่ต้อนแอคคิวทรอนได้ แอคคิวทรอนถึงกับออกปากชมว่า"ยอดเยี่ยม น่าชื่นชมที่ยกระดับขวัญการต่อสู้ขึ้นมาได้" ตอนปู่ยามะเปิดศึกสู้เหล่ายมทูตก็รู้สึกว่าจะมีกำลังใจมากคาดว่าจะชนะได้แต่หลังจากที่ปู่โดนฟันแล้ว เหมือนกำลังใจหายโดยเฉพาะตัวเคียวราคุหลังจากรับรู้ว่าอาจารย์ที่เคารพรักและนับถืออย่างเป็นที่สุดพลาดท่าศัตรูทำให้เคียวราคุพลอยตกใจและเสียใจจนเปิดโอกาสให้แอคคิวทรอนใช้จังหวะที่เคียวราคุเผลอเข้าจัดการเคียวราคุ หลังจากควินซี่กลับไปแล้วเคียวราคุเข้ามาห้ามไม่ให้บรรดาหัวหน้าหน่วยทะเลาะกันหลังจากการสูญเสียหัวหน้าใหญ่และกล่าวเตือนสติกับบรรดาหัวหน้าหน่วย หลังจากนั้นไม่นานเคียวราคุก็ได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ของ 13 หน่วยพิทักษ์และหัวหน้าหน่วยที่ 1 แทน ยามาโมโตะ เก็นริวไซ ที่เสียชีวิตไป เคียวราคุได้รับการไว้วางใจและมีคุณสมบัติทั้งในเรื่องการต่อสู้ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานมากกว่า100ปีอีกทั้งในเรื่องของความรู้เคียวราคุจัดว่าเป็นพวกที่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่าแจ่มแจ้งเป็นพวกใจเย็นคอยเตือนสติเหล่ายมทูตได้อย่างดีอาทิ ตอนย้อนอดีตที่ อุราฮาร่า คิสึเกะ ได้ส่งรองหัวหน้าหน่วยฮิโยริไปทำภารกิจแต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นอันตรายเกินกว่าจะรับมือได้อุราฮาระจึงจะตามไปสมทบแต่ถูกหัวหน้าใหญ่ยามาโมโตะห้ามไม่ให้ไปจึงทำให้ฮุราฮาระเกิดความหวั่นใจกลัวว่ารองหัวหน้าหน่วยตัวเองจะไม่ปลอดภัยเคียวราคุเห็นดังนั้นจึงได้เสนอให้รองหัวหน้าหน่วยตนเอง ยาโดมารุ ริสะ ตามไปสมทบเพื่อให้อุราฮาระได้เบาใจบ้างและได้เตือนอุราฮาระว่า"ไม่ต้องห่วงน่า ฮิโยริจังนะเก่งนะ ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้ ให้ความเชื่อใจแล้วก็รอนั่นก็เป็นหน้าที่หนึ่งของหัวหน้านะ" แล้วอีกตอนที่แสดงถึงความเฉลียวฉลาดของเคียวราคุก็คือเคียวคารุน่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยคนแรกหรือคนแรกๆที่สงสัยเกี่ยวกับไอเซ็น(อ้างอิงจากมังงะตอน315ตอนที่เคียวราคุเห็นไอเซ็นยังไม่นอนและเดินถือเอกสารทำงานอยู่ที่ระเบียงแล้วกล่าวว่า"คิดมากไปหรือเปล่านะ") สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเคียวราคุนั้นเป็นผู้ที่สามารถมองหรือการคาดการณ์เหตุการณ์ได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียวจึงเป็นเหตุให้46ห้องวังกลางเลือกเคียวราคุเป็นหัวหน้าใหญ่(ในBleach13blades อ.คุโบะได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ชุนซุยได้เป็นหัวหน้าใหญ่ว่า"ผมค่อนข้างชอบตัวละคร ยามาโมโตะ นี้มากเลยนะครับ จนถึงตอนนี้ตัวตนของเขาเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ตำแหน่งของเขาก็สำคัญอย่างมาก ถ้าเขาไม่อยู่แล้วผมสงสัยจริงๆว่ามันจะเป็นยังไง ผมก็เลยอยากจะวาดความรู้สึกนี้ออกมา ผมจึงให้เขาได้มีชีวิตจนกระทั่งภาคสุดท้ายและให้เขาตายในภาคสุดท้ายนี้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยากมากที่จะตัดสินใจว่าใครควรจะขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าใหญ่คนต่อไปแล้วผมก็เลือกซุนซุยให้รับหน้าที่นี้ เพราะเขาเป็นคนเดียวที่มีขันติแบบเดียวกับเก็นริวไซแม้ว่าอุคิทาเกะจะคล้ายๆกันแต่ร่างกายเขาอ่อนแอ แล้วผมก็ได้ให้เขาไปทำอย่างอื่นแทนแล้วด้วย") โดยหน้าที่แรกที่เขาเลือกในฐานะหัวหน้าใหญ่คือการสอนเคมปาจิให้รู้ถึงศิลปะการฆ่าโดยมอบหน้าที่ให้กับ อุโนฮานะ เร็ตสึ ผู้ที่ถูกเรียกว่าเคมปาจิรุ่นแรก
เมื่อคราวที่เหล่าควินซี่ได้บุกมายังโซลโซไซตี้เป็นครั้งที่สองเคียวราคุในฐานะหัวหน้าใหญ่ไม่ได้ออกไปสู้ยังแนวหน้าด้วยแต่ปักหลักคอยสั่งการอยู่ที่หน่วยที่1 ขณะที่ควินซี่บุกมานั้นที่ปรึกษาของจูฮาบัสผู้นำของเหล่านักรบดวงดารา ยูแกรม ฮัชวาลต์ได้เข้ามาหาเคียวราคุยังที่ทำการหน่วยที่1 และได้แนะนำตัวเองและเคียวราคุก็ได้แนะนำตัวเองว่าเป็นหัวหน้าใหญ่กับไปพร้อมถามว่า "พอดีข้าพึ่งขึ้นรับตำแหน่งพวกเจ้าจึงอาจจะไม่รู้ หรือว่ารู้อยู่แล้วจึงมาที่นี่" ฮัชวาลต์จึงตอบกลับไปว่า "รู้อยู่แล้ว ข้ามาที่นี่ก็เพราะเหตุนั้น" หลังจากนั้นการต่อสู้ของเหล่ายมทูตก็ดำเนินไปทางฮัชวาลต์ก็ได้พยายามที่จะเข้ามาต่อสู้กับเคียวราคุแต่ก็ถูกวิถีมารของนานาโอะสกัดไว้จนการต่อสู้ของเรายมทูตกับควินซี่ผ่านไประยะหนึ่งฮัชวาลต์ได้กล่าวกับเคียวราคุว่า "ดูเหมือนการต่อสู้จะทัดเทียมกันแล้ว" เคียวราคุตอบกับไปว่า"เป็นการวิเคราะห์ที่ถ่อมตัวมากแต่ดูเหมือนพวกเราจะคิดคล้ายๆกัน ข้าเองก็รู้สึกแบบนั้น" ฮัชวาลต์จึงตอบกลับไปอีกว่า "ใช่...ไม่งั้นข้าคงไม่มาที่นี่ บทบาทของข้าคือการทำให้ตาชั่งเอียงมาข้างพวกเรา"(อ้างอิงจากมังงะตอน559 บทสนทนานี้แสดงให้เห็นว่าเคียวราคุนั้นนับว่ามีความสามารถเป็นอย่างสูงหรือด้วยความที่เป็นหัวหน้าใหญ่ของเหล่ายมทูตจนทำให้จูฮาบัสต้องส่งอัชวาลต์มาเพื่อจัดการเคียวราคุเพื่อให้เกิดความได้เปรียบมาทางเหล่าควินซี่) หลังจากนั้นเหมือนว่าการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างเคียวราคุกับฮัชวาลต์จะเริ่มนั้นตัวฮัชวาลต์ถูกเรียกตัวกับไปซะก่อนทำให้ทั้งสองไม่ได้สู้กัน หลังจากนั่นการต่อสู้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งจูฮาบัสบุกวังราชันย์และได้จัดการราชันย์วิญญาณสำเร็จทาง13หน่วยพิทักษ์ก็ได้รวบรวมกำลังบรรดาหัวหน้าหน่วย รองหัวหน้าหน่วยเพื่อจะบุกไปยังวังราชันย์เพื่อจัดการจูฮาบัสแต่การที่จะไปยังวังราชันย์ได้นั้นต้องสร้างประตูไปและต้องใช้แรงดันวิญญาณมหาศาลในการสร้างประตูขณะเดียวกันนั้นเองเคียวราคุก็ได้ไปหาไอเซ็นยังคุกใต้ดินเพื่อจะใช้ประโยชน์จากไอเซ็น
และในตอนที่13หน่วยพิทักษ์ขึ้นไปยังวังราชันย์เพื่อหยุดจูฮาบัสนั้นเคียวราคุนั้นได้เข้าปะทะกับลีเล่ บาร์โร(หัวหน้าเหล่าองครักษ์จูฮาบัส) ในการต่อสู้ช่วงแรกนั้นเคียวราคุได้ใช้ชิไคในการต่อสู้กับลีเล่ บาร์โรและได้เปรียบลีเล่อยู่จนทำให้ลีเล่จนมุมจนถึงขนาดที่ต้องยอมลืมดวงตาอีกข้างหนึ่งที่จะหลับไว้เสมอเพราะว่าจะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบคู่ต่อสู้(อ้างอิงจากมังงะตอนที่646)เมื่อลีเล่ลืมดวงตาทั้งสองขึ้นทำให้ใช้พลังของX-Axisได้ โดยพลังนั้นจะทำให้การโจมตีทุกอยากจะทะลุผ่านตัวลีเล่ได้หมดเมื่อลีเล่ได้เข้าโหมดเอาจริงทำให้สามารถไล่ต้อนเคียวราคุจนจนมุมได้ถึงขนาดที่เคียวราคุต้องใช้ที่พึ่งสุดท้ายของเขา นั่นคือ บังไคคาเตนเคียวคตสึ : คุโรมัสสึชินจู โดยเคียวราคุได้ใช้บังไคของเขาเข้าต่อสู้กับลีเล่จนเกือบฆ่าลีเล่ลงได้แต่ก็ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ลีเล่ที่เคียวราคุคิดว่าจัดการไปได้แล้วกลับยังไม่ตายและได้โจมตีใส่เคียวราคุโดยลีเล่พูดไว้ว่า"บังไคของยมทูตน่ะ ไม่ใช่สิ่งที่จะฆ่าผู้สงสารของพระเจ้าผู้นี้ได้" จากนั้นเคียวราคุผู้ซึ่งจนมุมและไม่รู้ว่าจะฆ่าลีเล่ได้อย่างไรก็รู้สึกถอดใจคิดจะหนีจนรองหัวหน้าหน่วยนานาโอะตามมาพบเข้าก่อนทำให้เคียวราคุบอกเรื่องราวเกี่ยวกับดาบฟันวิญญาณของนานาโอะและร่วมมือกับนานาโอะจัดการลีเล่ บาร์โรลงได้(จัดการได้แต่ลีเล่ บาร์โรยังไม่ตายเพียงแค่วงแหวนที่อยู่บนหัวลีเล่หายไปไม่สามารถใช้พลังในฐานะของเทพได้)เป็นอันปิดฉากการต่อสู้ของหัวหน้าใหญ่ฝ่ายยมทูตกับหัวหน้าองครักษ์ของจูฮาบัสลง
ดาบฟันวิญญาณ
[แก้]ขั้นต้น (ชิไค)
[แก้]- ชื่อ : กะเท็นเคียวคตสึ (ญี่ปุ่น: 花天狂骨; โรมาจิ: Katen Kyōkotsu; ทับศัพท์: บุปผาสวรรค์กระดูกคลุ้มคลั่ง)
- คำปลดปล่อย : "ดอกไม้โปรยปรายในสายลม เทพบุปผาร่ำร้อง สายลมแห่งสวรรค์ปั่นป่วน มารฟ้าเสสรวล" (ญี่ปุ่น: 花風紊れて花神啼き天風紊れて天魔嗤う; โรมาจิ: hana kaze midarete, kashin naki, tenpū midarete, tenma warau)
- ลักษณะ : เดิมที กะเท็นเคียวคตสึนั้นมี 2 เล่มอยู่แล้ว เล่มใหญ่หนึ่งเล่มเล็กหนึ่ง ซึ่งต่างจากดาบของอุคิทาเกะ โดยดาบทั้ง 2 เล่มนั้น จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบที่ด้ามดาบจะมีพู่คล้ายดาบจีน คมดาบจะมีลักษณะคล้ายคมง้าวคล้ายดาบแขก ทั้งสองด้ามมีขนาดต่างกันเล็กน้อย ซึ่งใช้ในการโจมตีในลักษณะที่แตกต่างกัน แต่เคียวราคุก็สามารถสลับดาบกับมือสองข้างได้อย่างคล่องแคล่ว
- รูปร่างที่แท้จริง : เป็นผู้หญิงสองคน คนแรก(ดาบเล่มใหญ่)เป็นสาวใหญ่สวมชุดกิโมโนสีม่วงทับกันหลายชั้น มีสวมรัดเกล้ากะโหลกและสวมผ้าหนังปิดตา ชอบเล่นไพ่พร้อมกับชุนซุยและอุคิทาเกะ ส่วนอีกคน(ดาบเล่มเล็ก)เป็นเด็กสาวแต่งตัวแบบนินจา มีที่ติดผมรูปหัวกะโหลกแบบเดียวกัน มีนิสัยไม่ค่อยพูด ชอบดอกไม้ และสนิทกับนานาโอะ
- ความสามารถ :
- แบบที่ 1 บุโชโกมะ(ญี่ปุ่น: 不精独楽; โรมาจิ: Bushōgoma; ทับศัพท์: เอือมระอาหรรษาโดดเดี่ยว): เพิ่มความเร็วในการโจมตี และสามารถสร้างความปั่นป่วนด้วยการหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดพายุได้ และคนที่โดนพายุนั้นครอบร่างกายแล้วจะรู้สึกเฉื่อยชา
- แบบที่ 2 คาเงะโอนิ(ญี่ปุ่น: 影鬼; โรมาจิ: Kageoni; ทับศัพท์: อสูรเงา): สามารถทำให้ตัวผู้ใช้สามารถแฝงตัวไปในเงาคู่ต่อสู้ได้ หรือสามารถแทงดาบลงบนเงาศัตรูเพื่อสร้างความเสียหายให้แก่ศัตรูได้
- แบบที่ 3 ทาคาโอนิ(ญี่ปุ่น: 嶄鬼; โรมาจิ: Takaoni; ทับศัพท์: อสูรสูง): ถ้าใครอยู่สูงที่สุดหรืออยู่สูงกว่าคู่ต่อสู้จนจบเกมส์ของกะเท็นเคียวคตสึ ก็จะเป็นผู้ชนะ ถ้าต่ำกว่าก็แพ้และต้องตาย //และถ้าใครอยู่ที่สูงกว่าจะแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสูง แต่ในขณะเดียวกันถ้าศัตรู อยู่เหนือกว่าก็จะเสียเปรียบทันที
- แบบที่ 4 อิโระโอนิ(ญี่ปุ่น: 艶鬼; โรมาจิ: Irooni; ทับศัพท์: อสูรสี): จะเป็นการเล่นเกมกับฝ่ายตรงข้าม โดยมีกติกาที่ว่า จะสลับกันเลือกสีที่มีความความ "เสี่ยง" ต่อ "ตัวเอง" ขึ้นมาหนึ่งสี ยิ่งสีนั้นมีเยอะบนร่างกายของเรา เราจะสามารถโจมตีใส่สีนั้นบนตัวศัตรูได้แรงยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างจากเนื้อเรื่อง ในการโจมตีครั้งแรกที่เคียวราคุโจมตีใส่สตาร์ค เคียวราคุเลือก "สีเทา" แต่สีที่เลือกนั้นไม่มีอยู่บนตัวของเคียวราคุเลยแม้แต่น้อย เมื่อเคียวราคุโจมตีใส่สตาร์คบริเวณที่มี "สีเทา" ก็จะมีความรุนแรงไม่มาก แต่ในการโจมตีนัดปลิดชีพสตาร์ค เคียวราคุเลือก "สีดำ" ก่อนโจมตีเคียวราคุถอดเสื้อคุมหัวหน้าหน่วยที่มีสีขาวทิ้งไป ทำให้ตัวของมีแค่ชุดยูกาตะสีดำทั้งตัว "สีดำ" จึงเป็นสีที่เสี่ยงที่สุดและอันตรายที่สุดสำหรับเขา ในทางกลับกันหากเคียวราคุสามารถโจมตีใส่บริเวณที่เป็น "สีดำ" บนตัวสตาร์คได้ การโจมตีนั้นจะทวีคูณความรุนแรงมหาศาล (สตาร์คเองก็รู้ถึงเรื่องนี้ และการโจมตีเพียงครั้งเดียวของสตาร์คนั้นก็มีความรุนแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะส่วนใหญ่ร่างกายเขาเป็น "สีขาว" และเทา เมื่อเขาเลือกสีขาวซึ่งเสี่ยงต่อตัวเขาเอง แน่นอนว่าเสื้อคลุมหัวหน้าหน่วย "สีขาว" จึงเป็นเป้าหมายที่รุนแรงต่อตัวเคียวราคุ)
- แบบที่ 5 ดารุมะซัง กะ โคโรนดะ(ญี่ปุ่น: だるまさん が ころんだ; โรมาจิ: Daruma-san ga koronda; ทับศัพท์: คุณตุ๊กตาล้มลุกได้ล้มลง) : เป็นการเล่นซ่อนหาของญี่ปุ่นโดยผู้หาจะต้องพูดว่า"คุณตุ๊กตาล้มลุกได้ล้มลงแล้ว"จากนั้นค่อยเริ่มค้นหา เพื่อที่จะเล่นเกมนี้ต้องให้คนนึงเป็นคนที่หาและปิดตาในขณะที่นับเลขถอยหลังคนแรกที่ถูกจับได้ว่าขยับในตอนที่นับเลขเสร็จจะเป็นคนที่แพ้ โดยเกมนี้มีอยู่3ส่วนคือ 1)คนที่หาต้องอยู่ในที่ที่คนซ่อนมองเห็น 2)หากว่าคนที่หาจับได้ว่ามีคนขยับในตอนนับเลขเสร็จคนที่ขยับจะเป็นผู้แพ้ และ3)ถ้าคนที่ซ่อนเตะตัวคนที่หาได้ก่อนที่ผู้หาจะจับใครได้คนที่ซ่อนจะกลายเป็นฝ่ายชนะ(อ้างอิงจากมังงะตอนที่645 หากใครสงสัยการการละเล่นนี้ของเคียวราคุสามารถไปอ่านได้จากตอน645เนื่องจากการละเล่นนี้อธิบายได้ยากอยู่เหมือนกัน)
การละเล่นนี้ไม่ได้บอกไว้แน่ชัดว่าเคียวราคุนั้นตั้งกฎไว้อย่างไรแต่ดูจากการออกแบบแอนิเมชันแล้วน่าจะประมาณได้ว่าเคียวราคุจะสร้างกรงที่สานเหมือนตระกร้าไม้ไผ่ล้อมศัตรูเอาไว้แล้วจึงสร้างเงาที่เหมือนกับตัวเองออกมาหลายๆเงาจากนั้นก็ร้องเพลงสำหรับการละเล่นที่จะจบว่า Ushiro no Shoumen Daare? แปลว่า คนที่อยู่ข้างหลังคือใครกัน? หากศัตรูไม่สามารถหาตัวจริงของเคียวราคุเจอก็จะถูกแทงจากด้านหลัง (สำหรับวิธีการเล่น Kagome จะคล้ายๆรีรีข้าวสานของบ้านเราโดยจะให้เด็ก 1 คนนั่งปิดตาอยู่กลางวงแล้วให้เด็กคนอื่นๆจับมือกันเดินเป็นวงกลมล้อมรอบเด็กที่ปิดตาพร้อมกับร้องเพลงไปด้วย เมื่อเพลงจบคนที่ปิดตาอยู่ตรงกลางจะต้องทายว่าคนที่อยู่ข้างหลังตนเองคือใคร)
ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ (บังไค)
[แก้]- ชื่อ : กะเท็นเคียวคตสึ คารามัตสึ ชินจู (ญี่ปุ่น: 花天狂骨·黑松心中; โรมาจิ: Katen Kyōkotsu Karamatsu Shinjuu; ทับศัพท์: บุปผาสวรรค์กระดูกคลุ้มคลั่งเคียงตายใต้สนแห้งกรัง)
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ความสามารถของบังไคเคียวราคุนั้นเมื่อปลดปล่อยความสามารถออกมาจะเป็นการสร้างแรงดันวิญญาณอันมหาสารออกมา (แรงดันวิญญาณที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นมากขนาดทำให้ผู้คนโดยรอบมองเห็นสถาพอากาศที่มืดมิด เกิดอาการหนาวสั่น หนาวสันหลังรวมถึงมองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินอะไรอาการที่เกิดขึ้นอาจเกิดขึ้นเฉพาะผู้มีแรงดันวิญญาณไม่สูงมากแต่สำหรับผู้มีแรงดันวิญญาณสูงอาจเกิดเพียงแค่อาการตกใจหรือเหงื่อตกเช่นอิจิโกะกับอัสคิน) แล้วดึงผู้คนที่อยู่ในอาณาเขตแรงดันวิญญาณให้เข้ามาร่วมงานมหรสพเสมือนกับว่าให้คู่ต่อสู้ได้เข้ามาอยู่ในบทบาทนั้นจริงๆเปรียบเสมือนโรงละครที่กำลังแสดงละครแต่ละฉากอยู่ซึ่งในแต่ละฉากนั้นจะว่าด้วยเรื่องของความรักโดยขณะที่เคียวราคุต่อสู้อยู่นั้นเขาก็จะพลางเล่าเนื้อเรื่องในแต่ละฉากให้คู่ต่อสู้ฟังประกอบกับการต่อสู้และใช้ท่วงท่าต่างๆ โดยบังไคของเคียวราคุนั้นจะแบ่งออกเป็น 4 องค์คือ
- องค์แรก ทาเมราอิคซู โนะ วาคาชิเออิ (ญี่ปุ่น: 一段目 躊躇疵分合; โรมาจิ: Temeraikzu no wakachiai; ทับศัพท์: ความลังเลของการแบ่งบันบาดแผล) : ในขั้นนี้หากตัวผู้ใช้หรือศัตรูมีบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้กัน บาดแผลนั้นจะเกิดขึ้นบนตัวของผู้ใช้หรือศัตรูเสมือนว่าเป็นการแบ่งปันกัน(เช่นตอนที่เคียวคาคุต่อสู้กับลีเล่ บาร์โรในการต่อสู้นั้นเคียวราคุได้มีแผลจากการถูกลีเล่โจมตี3แห่งเมื่อเคียวราคุบังไคในขั้นนี้แผลที่เคียวราคุได้รับก็จะไปปรากฏบนตัวของลีเล่เช่นเดียวกัน)
- องค์ที่สอง ซังกิ โนะ ชิโตเนะ (ญี่ปุ่น: 二段目 慚愧の褥; โรมาจิ: Zanki no shitone; ทับศัพท์: หมอนแห่งความละอาย) : ในขั้นนี้จะมีจุดด่างดำจะปรากฏบนกายศัตรูเปรียบเสมือนกับคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ในขณะที่นอนอยู่บนเตียงความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ทำให้ศัตรูได้รับบาดเจ็บและทรมารอย่างมากจากขั้นนี้
- องค์ที่สาม ดันเกียว โนะ ฟุชิ (ญี่ปุ่น: 三段目 断魚淵; โรมาจิ: Dangyo no fuchi; ทับศัพท์: ห้วงลึกที่ไร้ชีวิต) : เป็นการใช้แรงวิญญาณสร้างห้วงน้ำขนาดใหญ่ออกมารอบตัวผู้ใช้โดยตัวผู้ใช้และศัตรูจะตกไปอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของห้วงน้ำและต้องแข่งกันว่าใครจะหมดแรงดันวิญญาณก่อนกันถ้าแรงดันวิญาณหมดก็จะตกไปสู่ใต้ห่วงลึกที่ไร้ชีวิตและตายลง
ดูเพิ่ม
[แก้]- ด้วยความสามารถบังไคของเคียวราคุที่มีแรงดันวิญญาณมหาสารประกอบกับกินพื้นที่บริเวณกว้างทำให้อุคิทาเกะห้ามเคียวราคุใช้บังไคตอนสู้กับสตาร์คเพราะคนอื่นอาจได้รับผลกระทบไปด้วย
- เนื่องจากลีเล่เป็นเทพทำให้เป็นอมตะทำให้บังไคของเคียวราคุจึงไม่เป็นผลจากมังงะในตอน649
- บังไคนี้ของเคียวราคุจากที่ปรากฏในมังงะเป็นเพียงการใช้พลังเพียงดาบเล่มเดียวของเคียวราคุเนื่องจากว่าเคียวราคุนั้นมีดาบฟันวิญญาณเป็นดาบฟันวิญญาณคู่แต่ในมังงะปรากฏเพียงแค่พลังของดาบฟันวิญญาณหญิงสาวสวยหรือที่ชื่อซากุระโนะซึเกะหรือโอฮานะส่วนดาบฟันวิญญาณอีกเล่มของเคียวราคุนั้นชื่อว่าโอเคียวเป็นนิจจาเด็กหญิงโดยโอฮานะเป็นคนสร้างโอเคียวขึ้นมา(อ้างอิงจากมังงะตอนที่651)เพื่อให้โอเคียวคอยเก็บรักษาดาบของนานาโอะไว้(ดาบศักดิ์สิทธิ์ฮักเคียวเคน) จึงทำให้เคียวราคุไม่ได้ใช้พลังของดาบอีกเล่ม ดังนั้นด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้มีข้อสันนิษฐานว่าบังไคของเคียวราคุนั้นอาจยังไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของเคียวราคุซึ่งหากจะติดตามต่อไปว่าจะใช่จริงอย่างที่สันนิษฐานกันไว้ก็ต้องไปติดตามในนิยาย BLEACH : Can't Fear Your Own World ว่าจะมีการเปิดเผยหรือไม่
- เป็นที่ยืนยันแล้วว่าเคียวราคุมีดาบฟันวิญญาณทั้งหมดสองเล่มจากข้อมูล BLEACH CAN'T FEAR YOUR OWN WORLD ได้กล่าวว่า "รูปแบบการใช้ ดาบคู่หรืออาวุธคู่ เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในบรรดายมทูตด้วยกัน มีเพียงสองนักดาบในประวัติศาสตร์ของ Soul Society ผู้ครอบครอง ดาบฟันวิญญาณคู่ Katen Kyokotsu ของ Kyoraku shunsuiและSogyo no Kotowari ของ Ukitake Jushiro แต่ในทางเทคนิค Kurosaki Ichigo ก็ตกอยู่ในหมวดนี้ ดาบเล่มหนึ่งเป็นตัวแทนของ Hollow อีกทั้งยังมีเชื้อสายของ Quincy" หากใครยังสงสัยว่าเคียวราคุมีดาบฟันวิญญาณกี่เล่มกันแน่ก็คงคลายความสงสัยได้ ปล.สามารถหาอ่านเพิ่มเติมกระทู้พันทิปของคุณJust As SELEE Plannedซึ่งได้ทำการแปลนิยายฉบับนี้แบบคร่าวๆไว้แล้ว
ลับสุดยอด
[แก้]เขาเขียนนิยายรักเรื่อง “เส้นทางย่อยสีกุหลาบ” ลงในนิตยสารของเซย์เรย์เทย์แต่ไม่ได้รับความนิยม จดหมายจากแฟนๆก็ไม่มา แม้แต่ของขวัญวันเกิดก็ยังไม่มีแต่อัลบั้มรวมภาพถ่าย “หนุนแขน” ของเขากลับขายจนหมดเกลี้ยงเพราะเหตุใดก็มิอาจทราบได้ เจ้าตัวเขาก็บอกมาว่า“เหล่าลูกแมวน้อยของผมน่ะขี้อายทั้งนั้นล่ะ”โดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจความนิยมของนิยายที่ยอดขายต่ำเตี้ยเรี่ยดินแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ “หนุนแขน”ล็อตแรกนั้นพิมพ์ออกมาจำนวนน้อยถ้าเทียบกับหัวหน้าหน่วยอื่น จนบัดนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าเล่มนี้ไม่มีการจัดพิมพ์จำนวนมากด้วยซ้ำไป