เคนเนธ แมคดัฟฟ์
เคนเนธ แมคดัฟฟ์ | |
---|---|
เกิด | เคนเน็ธ อัลเลน แมคดัฟฟ์ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 โรสบัด เท็กซัส สหรัฐ |
เสียชีวิต | 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 (52 ปี) หน่วยฮันต์สวิลล์ ฮันต์สวิลล์ เท็กซัส สหรัฐ |
สาเหตุเสียชีวิต | ประหารชีวิตด้วยการฉีดสารพิษ |
ชื่ออื่น | ฆาตกรด้านไม้กวาด |
ส่วนสูง | 1.93 m (6 ft 4 in) |
สถานะทางคดี | ถูกประหารชีวิต |
พิพากษาลงโทษฐาน | การฆาตกรรมด้วยความอาฆาตพยาบาท (2511) ฆาตกรรมด้วยเหตุฉกรรจ์ (2536) |
บทลงโทษ | ประหารชีวิต, ลดเหลือ จำคุกตลอดชีวิตโดยมีโอกาสได้รับฑัณฑ์บน (2509) ประหารชีวิต (2536) |
คู่หู | รอย เดล กรีน อัลวา แฮ็งค์ วอร์ลีย์ |
รายละเอียด | |
ผู้เสียหาย | 9–14+ |
ระยะเวลาอาชญากรรม | 6 สิงหาคม พ.ศ. 2509–1 มีนาคม พ.ศ. 2535 |
ประเทศ | สหรัฐอเมริกา |
รัฐ | เท็กซัส |
วันที่ถูกจับ | 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 (การจับกุมครั้งสุดท้าย) |
เคนเน็ธ อัลเลน แมคดัฟฟ์ หรือฉายาฆาตกรด้านไม้กวาด (21 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541) เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวอเมริกัน ที่เคยถูกตัดสินประหารชีวิตโดยรัฐเท็กซัสในความผิดฐานฆาตกรรมเอ็ดนา ซิลลิแวน ,โรเบิร์ต แบรนด์ และมาร์ค ดันแนม ในปี พ.ศ. 2509 ซึ่งทั้งสามเป็นวัยรุ่น 3 คนที่เดินทางมาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยฉายาฆาตกรด้านไม้กวาดมาจากการที่ เขาใช้ด้านไม้กวาดในการรัดคอฆาตกรรมเอ็ดนา หลังจากที่ข่มขืนเธอซ้ำๆ
แมคดัฟฟ์ถูกตัดสินประหารชีวิต จากการฆาตกรรม 3 กระทง แต่ถูกลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตโดยมีโอกาสได้รับฑัณฑ์บน จากการยับยั้งโทษประหารชีวิตโดยศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2515 แมคดัฟฟ์ถูกลดโทษเรื่อยๆ เนื่องความแออัดยัดเยียดของเรือนจำ ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2532 แต่ก็ได้ก่อเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องซ้ำ ซึ่งส่งผลให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิตและถูกประหารชีวิตในปีพ.ศ. 2541
ชีวิตในวัยเด็ก
[แก้]แมคดัฟฟ์ เกิดที่เมืองโรสบัด เมื่อปี พ.ศ. 2489 เขาเป็นบุตรคนที่ห้าในพี่น้องหกคน ที่เกิดจากบิดาของเขาซึ่งทำธุรกิจคอนกรีตจนประสบความสำเร็จ ในช่วงที่การก่อสร้างในรัฐเท็กซัสเฟื่องฟูในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 โดยครอบครัวของเขาเลี้ยงแมคดัฟฟ์แบบตามใจ โดยเฉพาะมารดาของเขา ซึ่งเคยขู่คนขับรถบัสด้วยปืนพก หลังจากที่คนขับรถบัสไล่น้องชายฝาแฝดของแมคดัฟฟ์ลงจากรถบัส [1]
ที่โรงเรียนมัธยมโรสบัด แมคดัฟฟ์ได้รับชื่อเสียงว่าเป็นอันธพาล โดยเขามักจะรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า ต่อมาแมคดัฟฟ์แพ้การต่อสู้กับนักกีฬา ส่งผลให้แมคดัฟฟ์ลาออกจากโรงเรียนและทำงานให้กับธุรกิจของพ่อซึ่งต้องใช้แรงงาน [1]
ประวัติอาชญากรรมก่อนหน้า
[แก้]เมื่อเขาอายุ 18 ปี เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาลักทรัพย์ 12 กระทง และพยายามลักทรัพย์ใน 3 เทศมณฑลของรัฐเท็กซัสได้แก่ เบลล์ ,มิลาน และฟอลส์ ส่งผลให้ถูกตัดสินให้รับโทษจำคุก 4 ปี 12 ครั้งพร้อมกัน ก่อนจะได้รับทัณฑ์บน ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2508 [1]
โดยเขาติดคุกอีกครั้งหลังจากมีส่วนเกี่ยวข้องในการต่อสู้ แต่ก็ถูกปล่อยตัวหลังจากนั้นไม่นาน ถึงเขายังไม่ถูกตัดสินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม แต่รอย เดล กรีนซึ่งเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีฆาตกรรมในปี พ.ศ. 2509 ได้กล่าวว่าแมคดัฟฟ์มักโอ้อวดเกี่ยวกับประวัติอาชญากรรมของเขา และได้อ้างว่าแมคดัฟฟ์ก่อเหตุข่มขืนและสังหารหญิงสาวสองคน [1]
การฆาตกรรมด้ามไม้กวาด
[แก้]เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2509 แมคดัฟฟ์และกรีน ได้ขับรถไปรอบๆเมือง โดยแมคดัฟฟ์ บอกว่ากรีนกำลังมองหาผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อเวลา 22.00 น. โรเบิร์ต แบรนด์ อายุ 17 ปี เอ็ดน่า หลุยส์ ซัลลิแวน อายุ 16 ปี ซึ่งเป็นแฟนสาวของแบรนด์และ มาร์ค ดันแมน อายุ 15 ปี ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของแบรนด์ ได้ยืนอยู่ข้างรถที่จอดอยู่ในสนามเบสบอลในเมืองเอเวอร์แมน[1]
แมคดัฟฟ์ สังเกตเห็นซัลลิแวน จึงจอดรถห่างจากทั้งสามประมาณ 150 หลา แล้วข่มขู่ทั้งสามคนด้วยปืนพกโคลต์ .38 ก่อนสั่งให้พวกเขาเข้าไปในกระโปรงหลังรถฟอร์ด โดยแมคดัฟฟ์ได้ขับรถฟอร์ดของเหยื่อไปตามทางหลวง แล้วเข้าไปในทุ่ง แล้วสั่งให้ซัลลิแวนออกจากกระโปรงหลังรถและสั่งให้กรีนนำตัวของซัลลิแวนไปยังระโปรงหลังรถDodge Coronet หลังจากนั้นได้ยิงปืนใส่กระโปรงหลังรถฟอร์ดจำนวน 6 นัด ส่งผลให้แบรด์และดันแมนเสียชีวิต ถึงแม้ทั้งคู่จะร้องขอให้เขาไว้ชีวิตก็ตาม หลังจากที่แม็กดัฟฟ์สังหารทั้งคู่ เขาก็สั่งให้กรีนเช็ดลายนิ้วมือออกจากรถฟอร์ด
หลังจากขับรถไปยังสถานที่อื่น กรีนและแมคดัฟฟ์ ได้ข่มขืนซัลลิแวนหลายครั้ง แมคดัฟฟ์ได้ขออะไรบางอย่างจากกรีนเพื่อรัดคอเธอ ซึ่งกรีนมอบเข็มขัดให้เขา แต่แมคดัฟฟ์ได้ใช้ไม้กวาดยาว 3 ฟุต จากรถของเขา แล้วหักคอซัลลิแวน ก่อนจะทิ้งร่างไว้ที่พุ่มไม้
โดยกรีนสารภาพกับพ่อแม่ของบอยด์ ซึ่งเป็นคนที่โน้มน้าวแม่ของกรีนให้กรีนมอบตัว ส่วนแมคดัฟฟ์ถูกจับกุมโดยนายอำเภอของเทศมณฑลฟอลส์ อัลเบิร์ต เบรดี แพมพลิน
แมคดัฟฟ์ ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า โดยรัฐเท็กซัส ;ส่วนกรีนได้รับโทษจำคุก 25 ปี ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2522 [2] ต่อมาโทษประหารชีวิตของแมคดัฟฟ์ถูกลดเหลือจำคุกตลอดชีวิตจากการยับยั้งโทษประหารชีวิตโดยศาลสูงสุดสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2515 แมคดัฟฟ์ได้พยายามติดสินบนสมาชิกคณะกรรมการพิจารณาฑัณฑ์บน ในการยื่นขอทัณฑ์บน ส่งผลให้เขาได้รับโทษจำคุกสองปีในความผิดฐานพยายามติดสินบนเจ้าที่พนักงาน แต่สมาชิกของคณะกรรมการคิดว่าแมคดัฟฟ์ "ยังช่วยเหลือสังคมได้" จึงตัดสินใจให้ทัณฑ์บนแก่เขาส่งผลให้เขาถูกปล่อยตัวในปีพ.ศ. 2532 [1]
อาชญากรรมหลังจากการปล่อยตัว
[แก้]หลังจากการปล่อยตัว เขาทำงานที่ปั๊มน้ำมันซึ่งมีรายได้ 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง ระหว่างเรียนอยู่ที่ วิทยาลัยเทคนิคแห่งรัฐเท็กซัส ในเมืองเวโก[3] โดยเขาถูกเชื่อว่าเขาเริ่มการก่อเหตุฆาตกรรมอีกครั้ง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 1989 ซาราฟีน่า ปาร์คเกอร์ อายุ 29 ปี ถูกพบศพที่ทุ่งวัชพืชริมทางหลวงI-35 ที่เมืองเทมเพิล แต่แมคดัฟฟ์ไม่ถูกจับกุมในคดีนี้ ต่อมาเขาถูกส่งตัวกลับเข้าคุกฐานละเมิดทัณฑ์บนฐานขู่ฆ่าเยาวชนชาวแอฟริกันอเมริกันที่เมืองโรสบัด [1]
มารดาของแมคดัฟฟ์จ่ายเงิน 1,500 ดอลลาร์ บวกค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 700 ดอลลาร์ ให้กับทนายความเพื่อให้แมคดัฟฟ์ได้รับการปล่อยตัว ในวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2533 แมคดัฟฟ์ได้รับการปล่อยตัวจากคุกอีกครั้ง ต่อมาในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2534 แมคดัฟฟ์รับเบรนดา ทอมป์สันซึ่งเป็นโสเภณี จากเมืองวาโก และมัดทอมป์สัน ในเวลาต่อมาเขาได้หยุดรถบรรทุกของเขาห่างจากจุดตรวจ ประมาณ 50 ฟุต เมื่อตำรวจเดินไปที่รถของแมคดัฟฟ์ ทอมป์สันได้เตะกระจกบังลมรถบรรทุกของแมคดัฟฟ์จนแตก
ส่งผลให้แมคดัฟฟ์เร่งความเร็วแล้วขับไปหาเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้เขาถูกตำรวจไล่ล่า แต่แมคดัฟฟ์ได้หลบหนีตำรวจโดยการปิดไฟรถและเดินทางไปผิดทางไปตามถนนเดินรถทางเดียว หลังจากนั้นเขาก็จอดรถไว้ในที่ป่าใกล้ทางหลวงหมายเลข 84 แล้วทรมานทอมป์สันจนเสียชีวิต โดยร่างของเธอถูกพบจนถึงปีพ.ศ. 2541
ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2534 แมคดัฟฟ์และโสเภณีวัย 17 ปีชื่อเรจินาร์ เดอแอนน์ มัวร์ได้ขับรถกระบะไปยังพื้นที่ห่างไกลข้างทางหลวงของรัฐเท็กซัสหมายเลข 6 ใกล้เมืองเวโก ก่อนที่แมคดัฟฟ์ มัดแขนและขาของเธอด้วยถุงน่องก่อนที่จะสังหาร โดยแมคดัฟฟ์ถูกสงสัยว่าฆาตกรรมซินเธีย เรเน่ กอนซาเลส อายุ 23 ปี โดยศพของเธอถูกพบเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2534 ที่ลำธารใกล้กับ County Road หมายเลข313 ในพื้นที่ป่าหนาทึบ 1 ไมล์ทางตะวันตกของ I-35 หลังจากที่เธอหายตัวไปจากเมืองอาร์ลิงตันเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2534 [4]
เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2534 แมคดัฟฟ์และผู้สมรู้ร่วมคิด อัลวา แฮ็งค์ วอร์ลีย์ ได้ลักพาตัวคอลลีน รีด อายุ 28 ปี จากร้านล้างรถในออสติน ก่อนจะข่มขืนเธอบนรถ แล้วฆาตกรรมด้วยการรัดคอ
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เขาได้รัดคอวาเลนเซีย โจซัว ซึ่งเป็นโสเภณีและเป็นนักเรียนของวิทยาลัยเทคนิคแห่งรัฐเท็กซัส โดยเธอถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายหลังจากเคาะประตูบ้านของแมคดัฟฟ์ ซึ่งศพของเธอถูกพบใกล้กับสนามกลอ์ฟของวิทยาลัยเทคนิคแห่งรัฐเท็กซัส เมื่อวันที่ 15 มีนาคมของปีเดียวกัน
เหยื่อรายต่อมาคือ เมลิสซา นอร์ธรัป วัย 22 ปี ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ และเป็นเสมียนร้าน Waco Quik-Pak ซึ่งเป็นร้านที่เขาเคยทำงาน และคนร้ายได้ขโมยเงินจำนวน 250 ดอลลาร์จากเครื่องบันทึกการเก็บเงิน แมคดัฟฟ์ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้เนื่องจากเขาถูกพบเห็นในบริเวณใกล้กับร้าน Waco Quik-Pak ขณะที่นอร์ธรัป หายตัวไป ในระหว่างการสอบสวนก่อนที่จะพบศพของ เพื่อนสมัยเรียนของแมคดัฟฟ์ บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เขาพยายามขอความช่วยเหลือจากแม็กดัฟฟ์ในการปล้นร้านWaco Quik-Pak ซึ่งนอร์ธรัป เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2535 ส่วนศพของเธอถูกพบโดยชาวประมงที่หลุมกรวดในเทศมณฑลดักลาส เมื่อวันที่ 26 เมษายนของปีเดียวกัน
ปัญหาหลักสำหรับชุดตำรวจสืบสวน คือเหยื่อหลังการปล่อยตัวของ แมคดัฟฟ์กระจายไปทั่วรัฐเท็กซัส ในหลายๆเทศมณฑล สิ่งนี้ทำให้การสอบสวนที่มีการประสานงานเพียงครั้งเดียวยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ตำรวจทราบว่า แมคดัฟฟ์ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย ซึ่งทั้งสองเป็นความผิดของรัฐบาลกลาง ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2535 อัยการเขตท้องถิ่นจึงออกหมายจับ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2535 เจ้าหน้าที่สืบสวนของเทศมณฑลเบลล์ ได้นำตัว วอร์ลีย์มาสอบปากคำบนพื้นฐานว่าเขารู้จักกับแมคดัฟฟ์ โดย วอร์ลีย์ยอมรับในการให้สัมภาษณ์โดยนายอำเภอเทศมณฑลเบลล์ ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักพาตัว ข่มขืนและทรมานรีดด้วยบุหรี่ แต่ไม่ได้ฆ่าเธอ โดยวอร์ลีย์ถูกคุมขังในคุกของเทศมณฑลทราวิส
แมคดัฟฟ์ได้ย้ายไปยังแคนซัสซิตี รัฐมิสซูรี โดยเขาได้ทำงานในบริษัทเก็บขยะ โดยเขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้นามแฝงว่าริชาร์ด ฟาวเลอร์ ต่อมาในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 เพื่อนร่วมงานของเขาที่ชื่อว่าแกรี่ สมิธธี ได้ดูรายการโทรทัศน์ในช่องFox ในรายการ America's Most Wanted โดยสมิธธีสังเกตว่าแมคดัฟฟ์ซึ่งปรากฏตัวในรายการคล้ายคลึงกับริชาร์ด ฟาวเลอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของเขา หลังจากพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานอีกคน สมิธธีจึงโทรศัพท์ไปยังกรมตำรวจแคนซัสซิตี้ เพื่อค้นหาชื่อของฟาวเลอร์ และพบว่าฟาวเลอร์เคยถูกจับกุมและถูกพิมพ์ลายนิ้วมือในข้อหาการชักชวนให้ค้าประเวณี โดยการเปรียบเทียบลายนิ้วมือที่นำมาจากฟาวเลอร์กับลายนิ้วมือของแมคดัฟฟ์พบว่าเป็นลายนิ้วมือเดียวกัน ในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ทีมเฝ้าติดตามพฤติกรรมซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 6 นายได้จับกุมแมคดัฟฟ์ ขณะที่เขาขับรถไปที่สถานที่ฝังกลบ ทางตอนใต้ของแคนซัสซิตี้ โดยเจ้าหน้าที่จับกุมได้แก่ ปลัด U.S. Marshal โธมัส พาร์เนลล์ แม็คนามารา จูเนียร์ พี่ชายของเขา ปลัด U.S. Marshal ไมค์ แม็กนามารา และนายอำเภอฟอลส์เคาน์ตี้ แลร์รี แพมพลิน ซึ่งพ่อของเขาเคยได้จับกุมแมคดัฟฟ์ในปี พ.ศ. 2509 [1]
การพิจารณาคดี
[แก้]แมคดัฟฟ์ถูกฟ้องในข้อหาฆาตกรรมด้วยเหตุฉกรรจ์ จากคดีฆาตกรรมนอร์ธรัป ในเทศมณฑลแมคเคลนแนน รัฐเท็กซัส เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดโดยรัฐเท็กซัสเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 1992 ซึ่งคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินว่าบุคคลที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆาตกรรมด้วยเหตุฉกรรจ์ จะได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือ โทษประหารชีวิต นักข่าวแกรี คาร์ทไรท์ ได้แสดงความคาดหวังว่า เขาจะถูกประหารชีวิต โดยกล่าวว่า"หากมีข้อโต้แย้งที่ดีเกี่ยวกับโทษประหารชีวิต คนนั้นแหละคือ เคเนธ แมคดัฟฟ์" [1]
ต่อมาวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 คณะลูกขุนได้ตัดสินประหารชีวิตเขา โดยหมายเลขนักโทษประหารของเขาคือ 999055 หลังจากเกิดความล่าช้าหลายครั้งระหว่างขณะที่มีการพิจารณาการอุทธรณ์ ศาลแขวงสหรัฐประจำเขตตะวันตกของรัฐเท็กซัสได้ปฏิเสธการหมายศาลที่เรียกตัวบุคคลให้มาปรากฏต่อหน้าผู้พิพากษาหรือศาล และกำหนดวันประหารชีวิตใหม่เป็นวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการประหารชีวิต หลังจากที่เขาถูกปฏิเสธคำอุทรณ์ เขาจึงบอกสถานที่ฝังศพของรีด
การประหารชีวิต
[แก้]ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 เขาถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษ เมื่อเวลา 18.26 น. ตามเวลาที่หน่วยฮันต์สวิลล์ ในเมืองฮันต์สวิลล์ รัฐเท็กซัส โดยคำพูดสุดท้ายของเขาคือ ฉันพร้อมที่จะถูกปล่อยตัวแล้ว ปล่อยฉัน.[5] ส่วนอาหารมื้อสุดท้ายของเขาตามที่เชฟผู้ต้องโทษประหาร ไบรอัน ไพรส์ กล่าวไว้ เป็นแฮมเบอร์เกอร์ที่ทำขึ้นให้มีลักษณะคล้ายกับคำขอสเต็กของเขา ศพของแมคดัฟฟ์ถูกฝังอยู่ใน สุสานกัปตันโจ เบิร์ดในเมืองฮันต์สวิลล์ รัฐเท็กซัส [6] โดยนักโทษที่จะถูกฝังอยู่ที่นี่คือผู้ที่ครอบครัวเลือกที่จะไม่อ้างสิทธิ์ในศพของพวกเขา โดยศิลาจารึกหลุมศพของเขามีเพียงวันที่ถูกประหารชีวิต (11-17-98) และ"X" (หมายความว่าเขาถูกประหารชีวิตโดยรัฐเท็กซัส) [1][ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 Cartwright, Gary (August 1992). "Free to Kill". สืบค้นเมื่อ 27 July 2017.
- ↑ "In the Shadow of the Tower (Part 2) : A "Savage Individual" | Hometown by Handlebar". hometownbyhandlebar.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-18. สืบค้นเมื่อ 2022-01-16.
- ↑ Cochran, Mike. "McDuff likely to take grisly secrets to grave". Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 26, 1997. สืบค้นเมื่อ July 26, 2007.
- ↑ Pete Kendall (March 30, 2009). "Dead man prime suspect in Gonzalez murder". Cleburne Times-Review. สืบค้นเมื่อ 27 July 2017.
- ↑ Death Row Information
- ↑ Alan Turner, "Eternity's gate slowly closing at Peckerwood Hill." Houston Chronicle. August 3, 2012. Retrieved on March 16, 2014.
บรรณานุกรม
[แก้]- Lavergne, Gary M. (1999). Bad Boy from Rosebud. University of North Texas Press. ISBN 9781574410723.
- Bob Stewart (1996). No Remorse. Kensington Publishing Corporation. ISBN 978-0-7860-0231-3.
- Christopher Berry-Dee (23 May 2003). Talking with Serial Killers: The Most Evil People in the World Tell Their Own Stories. John Blake Publishing. ISBN 978-1-84358-617-3.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- The Many Faces of Kenneth Allen McDuff. Gary M. Lavergne. Retrieved on 2012-01-
- U.S. Executions Since 1976
- เคนเนธ แมคดัฟฟ์ ที่ไฟน์อะเกรฟ
- "Murderer Once Freed Dies for Killing Again". Los Angeles Times. November 18, 1998. สืบค้นเมื่อ October 10, 2013.
- Cartwright, Gary (August 1992). "Free to Kill". Texas Monthly. สืบค้นเมื่อ October 10, 2013.